เด็กฟังได้ ผู้ใหญ่ฟังดี. นิทานธรรมะ วรรณกรรมเรื่องเล่า จากชาดกและธรรมบท ฟังแล้วจะรู้ถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยพุทธกาล ในบริบทที่เกี่ยวข้องกับธรรมะน่าชวนติดตาม. New Episode ทุกวันศุกร์ เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประ…
วัดป่า ดอนหายโศก ฟังธรรมะ donhaisok
เตมิยราชกุมาร พระราชโอรสของพระราชาผู้ครองนครพาราณสี เมื่อพระกุมารถือกำเนิดก็แสร้งทำเป็นคนง่อย เป็นคนหูหนวก และเป็นใบ้ แม้จะถูกทดสอบอย่างไรก็ไม่แสดงอาการให้ปรากฏ เหล่าพราหมณ์ต่างทูลทำนายว่าพระกุมารเป็นคนกาลกิณี หากให้อยู่ในพระราชวังจะมีภัยเกิดขึ้น พระราชาจึงตรัสสั่งให้นำพระกุมารไปฝังเสียที่ป่า โดยมอบให้นายสุนันทสารถีรถม้าบรรทุกพระกุมารไป ในขณะที่กำลังขุดหลุมเพื่อฝังพระกุมารในป่า พระองค์ทรงแสดงให้นายสารถีที่กำลังเร่งขุดหลุมฝังพระองค์เห็นว่า พระองค์ไม่ได้พิการแต่อย่างใดเลย และทรงกล่าวกับนายสุนันทว่า “หากท่านฝังเราเสียในป่า ท่านก็ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม บุคคลนั่ง หรือนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนลามก พระราชาเป็นเหมือนต้นไม้ เราเป็นเหมือนกิ่งไม้ ตัวท่านเป็นเหมือนคนอาศัยร่มเงา ถ้าท่านฝังเราเสียในป่า ท่านก็ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม” Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พระเจ้าพรหมทัตมีมเหสีที่ประพฤตินอกใจ แต่นางไม่ยอมรับจึงสาบานว่าหากนอกใจพระราชา ขอให้เกิดเป็นยักษิณีที่มีหน้าเหมือนม้า หลังจากสิ้นพระชนม์นางได้ไปเกิดเป็นยักษิณีที่มีหน้าเหมือนม้า อาศัยอยู่ที่เชิงเขาเพื่อคอยจับมนุษย์กินเป็นอาหาร วันหนึ่งมีพราหมณ์รูปงามพลัดหลงเข้ามาในเขตของนางยักษิณี เมื่อได้เห็นความงามของพราหมณ์หนุ่ม ก็เกิดความรักใคร่จึงนำตัวไปอยู่ด้วยในถ้ำ ต่อมาพระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในครรภ์ของนาง เมื่อเติบใหญ่เด็กน้อยสังเกตเห็นว่าใบหน้าของพ่อต่างกับแม่ เมื่อรู้ความจริงจึงพาบิดาหนี นางยักษิณีรีบตามหาและอ้อนวอนลูกน้อยให้กลับมา ก่อนนางจะสิ้นใจได้สอนมนต์ชื่อ จินดามณี ให้แก่ลูกน้อยเป็นวิชาสังเกตรอยเท้า เป็นความสามารถพิเศษที่ติดตัวไป Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
มีพญาวานรตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าลึก มันเที่ยวหากินอยู่ในชายป่าใกล้กับแม่น้ำใหญ่ ซึ่งมีเกาะกลางน้ำที่อุดมสมบูรณ์ ในแม่น้ำนั้นมีจระเข้ผัวเมียอาศัยอยู่ วันหนึ่งนางเห็นพญาวานรกระโจนข้ามแม่น้ำไปหากินที่เกาะ นางปรารถนาอยากกินหัวใจวานรมาก รบเร้าสามีเพื่อให้นำวานรมาเป็นอาหาร หลังจากหาอาหารพญาวานรก็มุ่งหน้ากลับที่อยู่ของตน สังเกตเห็นแผ่นหินที่ผิดไปจากเดิม จึงวางอุบายแกล้งตะโกนเรียกแผ่นหิน เจ้าจระเข้หลงกลจึงขานรับ พญาวานรรู้ได้ว่าเป็นจระเข้นอนอยู่ จึงวางอุบายให้จระเข้อ้าปากรอเพื่อที่ตนจะโดดเข้าไปในปาก ทันทีที่อ้าปากพญาวานรก็รีบเหยียบหัวจระเข้ แล้วถีบตัวข้ามไปยังฝั่งในชั่วพริบตา พญาวานรรอดพ้นจากความตายมาได้เพราะสติปัญญาอันฉลาดหลักแหลม Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ในอดีตกาล มีมาณพน้อยนักฟ้อนชื่อ ปาฏลี อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไม่ไกลจากนครพาราณสีมากนัก วันหนึ่งมีมหรสพในเมือง เขา และภรรยาต่างขับร้องฟ้อนรำเป็นที่ถูกใจของผู้ชม จึงได้ทรัพย์มามากมาย เขานำเงินไปซื้อสุรา และอาหารเป็นจำนวนมาก เมื่อเดินมาถึงริมฝั่งแม่น้ำเห็นน้ำไหลเย็น เขาจึงนั่งกินอาหาร และดื่มสุราจนเมามาย เขาเอาพิณผูกคอแล้วลงน้ำเพื่อจะว่ายข้ามแม่น้ำ น้ำได้เข้าไปตามช่องพิณ และได้ถ่วงเขาจนจมลงใป ภรรยาของเขาจึงคิดว่า สามีของเราจักตายแล้ว เราควรขอเพลงไว้สักบทหนึ่ง เพื่อเอาไว้ขับร้องในการเลี้ยงชีพ ปาฏลีได้กล่าวกับภรรยาว่า “ชนทั้งหลายย่อมรดผู้ที่ได้รับความทุกข์ด้วยน้ำใด ชนทั้งหลายย่อมรดผู้ที่เร่าร้อนด้วยน้ำใด เราจักตายในท่ามกลางน้ำนั้น ภัยเกิดแต่ที่พึ่งอาศัยแล้ว” Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พระเจ้าพรหมทัตผู้ครองนครพาราณสีทรงไม่มีโอรส และธิดาที่จะสืบราชสมบัติ วันหนึ่งพระราชาทรงพบไข่นก 3 ฟอง เป็นไข่ของนกฮูก นกสาลิกา และนกแขกเต้า จึงรับสั่งให้นำลงมาจากต้นไม้ แล้วมอบหมายให้อำมาตย์รับผิดชอบดูแลไข่นกทั้ง 3 ฟองนั้น เมื่อไข่นกฟักออกมาพระองค์ก็ได้ทรงรับลูกนกทั้งสามตัวเป็นโอรส และธิดา ทรงได้ตั้งชื่อนกตัวแรกที่ออกมาจากไข่เป็นตัวผู้ว่า เวสสันดร นกตัวที่สองที่ออกจากไข่เป็นตัวเมียว่า กุณฑลินี และนกตัวที่สามที่ออกจากไข่เป็นตัวผู้ว่า ชัมพุกะ นกทั้งสามได้รับการเลี้ยงดูจนเติบโตอยู่ในบ้านของอำมาตย์ อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาได้เรียกนกทั้งสามเพื่อไปแสดงวาทะข้อแนะนำในการปกครองแก่พระราชา หลังจากที่ได้ฟังแล้วพระราชาทรงตั้งตนอยู่ในโอวาทของมหาสัตว์ ทรงบำเพ็ญบุญกุศล ทานบารมี เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า เหตุเพราะทรงตั้งมั่นอยู่ในศีล Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
มีพรานป่าชื่อ สุระ เที่ยวออกหาของป่าเพื่อนำไปขาย เขาพบต้นไม้ใหญ่ตรงกลางมีโพรงที่เต็มไปด้วยน้ำและลูกไม้ รวมทั้งข้าวสาลีที่นกทำหล่นไว้ เมื่อฝูงนกกระหายน้ำมักบินมากินน้ำที่โพรงไม้นี้ แล้วมีอาการมึนเมา พรานสุระเห็นก็เกิดสงสัยจึงลองดื่มกินน้ำนั้น เขานำน้ำนั้นไปถวายพระราชา เมื่อทรงเสวยก็เกิดติดใจในรส ราชา ข้าราชการและชาวเมือง ต่างพากันดื่มกินสุราจนมัวเมาไม่ใยดีในการงาน เมื่อเห็นว่าชาวเมืองไม่มีกำลังทรัพย์ที่จะซื้อสุราของตน พรานป่าจึงนำไปขายที่เมืองอื่น ไม่นานเมืองที่สุราไปถึงก็พังพินาศจนมาถึงเมืองสาวัตถี ท้าวสักกะเทวาราชจึงจำแลงกายเป็นพราหมณ์ ถือหม้อที่เต็มไปด้วยสุราและแสดงโทษของการดื่มสุรา เมื่อได้ยินดังนั้นราชาและประชาชนต่างสมาทานศีล บริจาคทาน เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า เหตุจากรู้โทษของสุราเมรัยที่เป็นประตูสู่อบาย Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พระโพธิสัตว์ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์แห่งเมืองพาราณสี มีชื่อว่า “ธรรมปาลกุมาร” คนในตระกูลนี้ต่างรักษาศีลอุโบสถเป็นประจำ เมื่อเติบโตได้ไปเรียนศิลปวิทยากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ วันหนึ่งลูกชายของอาจารย์ได้เสียชีวิตลง อาจารย์และลูกศิษย์คนอื่นๆ ต่างร้องไห้คร่ำครวญ มีเพียงธรรมปาลกุมาร ผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ร้องไห้ เหล่าลูกศิษย์ต่างสนทนากันว่าเหตุใด ลูกชายของอาจารย์ต้องมาตายเมื่อยังหนุ่ม ธรรมปาลกุมารจึงเล่าว่าในหมู่บ้านของเขามีแต่คนตายในวัยแก่ ตายในวัยหนุ่มนั้นไม่มี เมื่ออาจารย์ได้ฟังจึงต้องการพิสูจน์ความจริง เขาได้นำกระดูกแพะมาเผาแล้วล้างอย่างดีถือติดตัวไปด้วย เมื่อถึงบ้านของธรรมปาลกุมาร ก็เข้าไปพูดคุยกับบิดาแล้วนำกระดูกแพะออกมาพร้อมแจ้งว่าธรรมปาลกุมารได้ตายเสียแล้ว เมื่อบิดาได้ฟังดังนั้นก็ตบมือหัวเราะลั่น กล่าวว่าพวกเราประพฤติธรรม งดเว้นกรรมชั่ว ฟังธรรมของสัตบุรุษ เพราะประพฤติธรรมอย่างนี้พวกเราจึงไม่ตายเมื่อยังหนุ่ม Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
มีนางเปรตตนหนึ่ง เวลาเช้าคลอดบุตร 7 ตน เวลาเย็นคลอดอีก 7 ตน แล้วนางก็กลืนกินบุตรของตนเองทั้งหมด แต่ก็ไม่อาจบรรเทาความหิวของนางได้ หัวใจของนางมีแต่ความเร่าร้อนเพราะความโหยหิว เหมือนถูกเผาด้วยไฟอันร้อนหาความเย็นใจไม่มีเลย เหตุจากวิบากแห่งกรรมที่นางนั้นกระทำบาปไว้ ด้วยมีใจประทุษร้ายต่อผู้อื่น และกล่าวมุสาวาทอย่างแรง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
พรานป่าคนหนึ่งกำลังเคี้ยวกินเนื้อปิ้งอย่างอร่อย ด้วยความเค็มของเนื้อทำให้เขากระหายน้ำมาก จึงเดินไปสู่วิหารของพระเถระรูปหนึ่ง เมื่อเปิดหม้อน้ำดื่มกับไม่มีน้ำสักหยด ด้วยความโกรธจึงกล่าววาจาล่วงเกินภิกษุ พระเถระรูปนั้นนำสังข์ใส่น้ำดื่มจนเต็มให้เขาดื่มจนหมด เมื่อดื่มน้ำหมดแล้วเขาเกิดมีจิตสลดกล่าวขอบวช เมื่อบวชแล้วก็มีจิตเร่าร้อนถูกความไม่ยินดีบีบคั้นอยากลากลับไปครองเรือน พระเถระจึงให้ไปตัดไม้สดที่มียางเหนียวทำเป็นกอง และนำไฟจากนรกประมาณเท่าแสงหิ่งห้อยใส่เข้าในกองไม้นั้น ไม้ทั้งกองไหม้โดยฉับพลันเหมือนเผาใบไม้แห้ง พระเถระจึงกล่าวว่า หากสึกไป เธอจักไหม้เหมือนดังไม้นี้ ได้ยินดังนั้นมิลกสามเณรเร่งทำควรเพียรอย่างมาก เพียรพยายามทำสมณธรรมบำเพ็ญปฏิบัติ แม้เมื่อถูกความหลับบีบคั้น เขานำฟางที่ชุ่มน้ำวางไว้บนศีรษะ เพียรพยายามเพื่อให้พ้นจากภัยแห่งไฟนรก Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ในอดีตมีหมู่บ้านช่างไม้ซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่พันครอบครัว พวกเขาพากันไปกู้เงินเพื่อลงทุนทำการค้าแต่ไม่สำเร็จ ทำให้เป็นหนี้มหาศาล ถูกเจ้าหนี้เร่งรัดหนักจึงคิดกันว่าจะพากันไปอยู่ที่อื่น เมื่อตกกลางคืนพากันมารับลูกเมียขึ้นเรือแล้วรีบแล่นสู่มหาสมุทร จนพากันมาถึงเกาะแห่งหนึ่ง บนเกาะนั้นอุดมไปด้วยผลไม้ต่างๆ และมีชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ เขาได้เล่าเรื่องทั้งหมดแก่เหล่าช่างไม้ฟัง และบอกว่าภัยอย่างอื่นน่ะไม่มีในเกาะนี้ แต่ว่าเกาะนี้มีเทวดาครอบครอง หากเหล่าเทวดาเห็นอุจจาระ และปัสสาวะของพวกท่านจักพึงโกรธได้ เมื่อจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะพึงขุดทรายแล้วก็กลบเสีย ภัยในเกาะนี้มีเพียงเท่านี้อย่างอื่นไม่มี ในวันหนึ่งเหล่าเทวดาโกรธช่างไม้ ได้บันดาลให้คลื่นซัดมาสู่เกาะ มีเหล่าช่างไม้ที่รอดชีวิต และเหล่าช่างไม้ที่ถึงซึ่งความพินาศ เหตุเพราะช่างไม้ผู้ฉลาดได้ทำกิจที่ควรทำก่อน Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
มีกษัตริย์ทรงพระนามว่าพระเจ้ากาลิงคราช ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นปุโรหิตชื่อภารทวาชะ เมื่อพระราชาขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงช้างเผือกเพื่อเหาะไปหาพระชนกและพระชนนีในป่า เมื่อไปถึงมณฑลต้นศรีมหาโพธิที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ช้างพระที่นั่งไม่สามารถเหาะผ่านมณฑลนั้นได้ ปุโรหิตเห็นดังนั้นก็สงสัยว่าไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ ในอากาศ เหตุใดช้างจึงไม่สามารถผ่านไปได้ จึงลงไปสำรวจดูก็เห็นโพธิมณฑลอันเป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธองค์ จึงเข้าใจว่าชนทั้งหลายแม้แต่ท้าวสักกเทวราชก็ไม่สามารถเหาะเหนือโพธิมณฑลได้ พระราชามีประสงค์จะพิสูจน์ถ้อยคำของปุโรหิต พระองค์ทรงเสด็จลงจากอากาศและทอดพระเนตรเห็นโพธิมณฑล ทรงสรรเสริญปุโรหิตว่าเป็นผู้รู้ผู้เห็นเหตุทั้งปวง แต่ปุโรหิตทูลว่าตนเป็นผู้รู้เหตุทั้งปวงเพราะอาคม แต่พระพุทธองค์ตรัสรู้เหตุทั้งปวงด้วยพระสัพพัญญุตญาณ
มีราชานามว่า พระเจ้ากาลิงคะ พระองค์ทรงมีกองทหารที่แข็งแกร่ง เป็นที่ยำเกรงของเหล่าราชาทั้งหลาย พระองค์มีประสงค์จะสู้รบ จึงให้พระราชธิดาทั้ง 4 ผู้มีรูปงาม ประทับในราชรถส่งไปตามเมืองต่างๆ และประกาศว่า หากราชาพระองค์ใดปรารถนาราชธิดาของตน ก็ขอให้ประกาศท้ารบ เมื่อมาถึงแคว้นอัสสกรัฐ มีอำมาตย์ผู้มีปัญญา ชื่อ นันทเสน นันทเสนคิดว่าสามารถเอาชนะราชากาลิงคะได้ จึงสั่งให้เปิดประตูรับพระธิดา และนำถวายแด่เจ้าเมือง โดยตนจะขอบัญชาการรบครั้งนี้เอง ฝ่ายราชากาลิงคะใคร่อยากรู้ว่าศึกครั้งนี้จะเป็นเช่นใด จึงปลอมพระองค์เพื่อเข้าไปถามดาบสผู้ทรงศีลว่า หากทำการศึกท่านดาบสคิดว่าผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ เมื่อได้ยินคำทำนายก็เกิดความประมาทในใจ แต่เหตุใดกันแม้แต่เทวดายังไม่อาจกีดกันความพยายามของมนุษย์ ผู้มีความตั้งใจแน่วแน่ ให้ได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้
ในกาลก่อน พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเกิดเป็นโค ชื่อ นันทิวิสาล อาศัยอยู่กับพราหมณ์ผู้ที่รักและเอ็นดูโคนันทิวิสาลเหมือนลูก วันหนึ่งนันทิวิสาลต้องการตอบแทนพระคุณของพราหมณ์ โดยให้ไปท้าพนันกับท่านเศรษฐีในการลากเกวียณด้วยเงินเดิมพันหลายกหาปณะ แต่การลากเกวียณในครั้งนี้พราหมณ์เป็นผู้แพ้พนัน เพราะก่อนแข่งได้พูดกับนันทิวิสาลด้วยวาจาหยาบกระด้าง นันทิวิสาลได้ยินดังนั้นจึงไม่ยอมลากเกวียณ แต่เมื่อท้าพนันครั้งที่ 2 ได้มีการเพิ่มเงินเดิมพันเป็น 2 เท่า แต่ครั้งนี้พราหมณ์ได้พูดจาไพเราะกับนันทิวิสาล เมื่อนันทิวิสาลได้ยินดังนั้นจึงเกิดพลังในการลากเกวียณ และเป็นผู้ที่ชนะในการเดิมพัน เหตุจากวาจาอันปราณีของพราหมณ์
ในอดีตมีดาบสผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในป่า เหล่าสัตว์ทั้งหลายต่างเข้ามาสู่บรรณศาลาเพื่อฟังธรรมตามโอกาส มีนกพิราบสามีภรรยาคู่หนึ่งบินออกหาอาหารในป่า ฝ่ายภรรยาถูกนกเหยี่ยวโฉบจับไปต่อหน้านกผู้เป็นสามี นกสามีนั้นโศกเศร้าอาลัยอย่างยิ่งเพราะไม่ปรารถนาจะพลัดพรากจากนางอันเป็นที่รัก แต่จำต้องพลัดพรากจากไป จึงคิดได้ว่าเพราะการพลัดพรากจากคนรัก ทำให้ได้เสวยเวทนาทางใจอย่างยิ่ง หากยังข่มความรักไม่ได้จะไม่ออกมาหากินอีก เจ้านกนั้นได้สมาทานอุโบสถศีล อดทนต่อความหิวกระหาย เพื่อรักษาศีลข่มราคะ เหตุเพราะเห็นโทษจากกาม
ครั้งอดีตกาล มีอาจารย์ช่างไม้คนหนึ่งชาวกรุงพาราณสีและลูกศิษย์ ได้เข้ายึดครองเมือง ทำการอภิเษกตนขึ้นเป็นราชาพระนามว่า พระเจ้ากัฏฐวาหนะ พระราชาทรงดำรงตนอยู่ในธรรมและสงเคราะห์เหล่าศิษย์ด้วยสังคหวัตถุ 4 จึงเป็นแคว้นที่มีความมั่งคั่งสมบูรณ์ อยู่มาวันหนึ่ง เหล่าพ่อค้าจากกรุงพาราณสีเดินทางมาค้าขาย เมื่อพระราชาทราบจึงพระราชทานเสบียงแก่พ่อค้าเหล่านั้น เหล่าพ่อค้ากลับไปยังกรุงพาราณสีได้กราบทูลให้พระราชาของตนทราบ ทั้งสองเมืองจึงเป็นมิตรที่ดีต่อกันเรื่อยมา ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า “กัสสปะ” ประทับอยู่ ณ กรุงพาราณสี ครั้งนั้น พระราชาได้มีดำริว่า สิ่งอื่นจะสูงสุดยิ่งกว่าพระรัตนตรัยไม่มี เราจะส่งข่าวแก่สหายของเรา พระราชากัฏฐวาหนะได้ทรงทราบความว่า สหายของท่านทรงส่งรัตนบรรณาการ ซึ่งหาได้ยากยิ่งตลอดแสนกัป พุทฺโธ โลเก อุปปนฺโน พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วในโลกดังนี้ ทรงดำริว่าควรจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าและฟังพระธรรม พวกเขาออกเดินทางพักเพียงราตรีเดียว ก็ถึงนครพาราณสี เมื่อยังไปไม่ถึงที่หมาย พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเสียแล้ว ต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญว่า เรามาไกล แต่ไม่ได้แม้เพียงเห็น พระโอวาทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานไว้ยังมีอยู่หรือไม่ พระสาวกกล่าวว่า มีอยู่อุบาสก “คือ พึงตั้งอยู่ในพระรัตนตรัย พึงสมาทานศีล 5 พึงเข้าอยู่จำอุโบสถประกอบด้วยองค์ 8 พึงให้ทานและพึงปฏิบัติธรรม”
พระมหาโมคคัลลานะเดินลงจากเขาคิชฌกูฏ ท่านเห็นสัฏฐิกูฏเปรต มีค้อนเหล็กติดไฟลุกโพลงทุบลงบนหัวแตกกระจายแล้วกลับเป็นดังเดิมอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยมา เปรตผู้นี้เคยเป็นบุรุษผู้เรียนวิชาการดีดก้อนกรวดจากชายเปลี้ยผู้หนึ่ง ชายเปลี้ยนั้นสามารถดีดกรวดใส่ใบไม้บนต้นไม้ทะลุเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ได้ เมื่อพระราชาทรงทราบจึงขอให้ไปแอบดีดขี้แพะใส่ปากอามาตที่ชอบพูดมาก ทำให้อามาตนั้นไม่กล้าพูดมากต่อหน้าพระราชาอีก ชายเปลี้ยได้รับของพระราชทานจำนวนมาก มีชายหนุ่มผู้หนึ่งรู้ถึงความสามารถของชายเปลี้ย จึงขอมาปรนนิบัติจนชายเปลี้ยยอมสอนศิลปะให้ เมื่อชายผู้นั้นชำนาญในศิลปะแล้ว เขาได้แอบดีดกรวดใส่พระปัจเจกพุทธเจ้าระหว่างเดินบิณฑบาต ก้อนกรวดได้เข้าช่องหูทำให้ช่องหูทะลุ พระปัจเจกทรงปรินิพพาน ชายหนุ่มขาดีผู้นั้นเกิดในนรก เศษอกุศลกรรมนั้นทำให้มาเกิดเป็น “สัฏฐิกูฏเปรต”
ชายผู้หนึ่งเมื่อบิดาตายไป ได้ทิ้งเรือกสวนไร่นาไว้ให้จำนวนมาก เขาทำกิจการงานอย่างขยัน และปฏิบัติต่อมารดาด้วยดี ต่อมามารดาคิดจะหาภรรยาให้เพื่อช่วยกิจการงาน มารดาจึงไปสู่ขอผู้หญิงมาให้ แต่ปรากฏว่าหญิงนั้นเป็นหมัน มารดาจึงรบเร้าให้เขามีภรรยาอีกคนหนึ่ง เมื่อหญิงสะใภ้ได้ยินจึงคิดว่าจะหาภรรยาให้เอง จึงไปนําหญิงที่คุ้นเคยกันผู้หนึ่งมาเป็นภรรยาอีกคน เมื่อนานวันเข้านางก็มีจิตริษยาจึงบอกภรรยาใหม่ว่า ถ้าตั้งครรภ์ขอให้บอกนาง เมื่อภรรยาใหม่ตั้งครรภ์ก็แจ้งข่าวแก่นาง นางจึงแอบใส่ยาในอาหาร เป็นผลให้ภรรยาใหม่แท้งลูกไปถึงสองครั้ง ก่อนสิ้นใจนางได้ผูกอาฆาตและปรารถนาว่า ขอให้ตนได้เกิดเป็นยักษิณีจะได้กินลูกนางคืน ด้วยอำนาจของเวรกรรมที่ผูกพันกันมา ภรรยาใหม่นั้นได้เกิดเป็นนางยักษิณี ส่วนภรรยาเก่าได้เกิดเป็นหญิงสาว ในเมืองสาวัตถี เมื่อนางมีบุตร นางยักษิณีต้องการจะกินบุตรนาง นางจึงรีบอุ้มบุตรน้อยวิ่งไปสู่วิหารเชตวันด้วยความกลัว นางขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรม นางยักษิณีได้ส่งจิตไปตามกระแสพระธรรม ครั้นเมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นางยักษิณีนั้นก็ได้บรรลุมรรคผล เหตุจากการเลิกจองเวร
มีชายคนหนึ่งถูกไล่ออกจากเรือน เพราะมีนิสัยเกียจคร้าน เขาจึงไปที่ท่าเรือเพื่อสมัครเป็นคนงาน และโดยสารเรือไป ครั้นเมื่อเรืออับปางกลางทะเล เขาอาศัยนอนบนแผ่นกระดานจนไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง บนเกาะมีหมูนอนหลับอยู่ และมีแก้วมณีอยู่ข้างกาย เขาจึงย่องเข้าไปลักเอาแก้วมณีนั้น แล้วเหาะขึ้นไปบนอากาศด้วยอานุภาพของแก้วมณี เขาคิดขึ้นว่าเราควรฆ่าหมูตัวนี้เพื่อกินเสีย ชายผู้นี้ไม่เพียงแต่ฆ่าหมูเขาได้ฆ่าดาบสสามพี่น้องเพื่อชิงของวิเศษ เมื่อได้ของวิเศษสมใจ เขาส่งสาส์นถึงพระราชาเพื่อท้ารบ พระราชาออกไปสู้รบกับชายคนนั้น เขาสั่งพร้าโต้ของวิเศษที่มีไปตัดเศียรของพระราชามาวางไว้แทบเท้าของเขา เขาได้เป็นพระราชามีนามว่า “ทธิวาหนะ” ทรงครองราชย์โดยธรรมมาตลอดสมัย เหตุจากมะม่วงหวานเปลี่ยนเป็นเปรี้ยว และเปรี้ยวกลับเป็นหวาน ที่ทำให้ราชามีธรรม
ณ กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ออกบวชเป็นฤาษีได้มาบิณฑบาตที่บ้านของนายหัตถาจารย์คนเลี้ยงช้าง นายคนเลี้ยงช้างเห็นฤาษีมีความสงบสำรวมก็เกิดศรัทธาจึงอุปัฏฐากตลอดมา ในชายป่ามีชายผู้หนึ่งเข้าไปหาฟืนเเต่กลับเข้าเมืองไม่ทันจึงต้องไปอาศัยนอนที่ศาลา บนกิ่งไม้ที่ศาลามีไก่มาเกาะคอนนอนอยู่ เขานอนฟังมันคุยกันได้ความว่า ไก่ตัวบนปล่อยอึรดไก่ตัวล่าง ไก่ตัวล่างเลยอวดบารมีว่าใครเอาเนื้อฉันไปกินจะได้ทรัพย์ทุกวัน เจ้าไก่ตัวบนอวดตัวว่า ใครได้กินเนื้อของฉันคนนั้นจะได้เป็นพระราชา ส่วนใครที่กินเนื้อติดกระดูก ถ้าเป็นผู้ชายจะได้เป็นขุนคลัง ถ้าเป็นนักบวชจะได้เป็นพระประจำตระกูลของพระราชา ชายตัดฝืนได้ยินดังนั้นจึงปีนขึ้นไปจับไก่ตัวบน เมื่อถึงบ้านให้ภรรยาปรุงเนื้อไก่เตรียมจะรับประทาน ด้วยเหตุใดกันสองสามีภรรยาผู้ปรุงอาหารกลับไม่ได้กินเนื้อไก่ ส่วนนายคนเลี้ยงช้าง และฤาษีนั้นไม่ได้แป็นคนปรุงแต่กลับได้กินเนื้อนั้น เหตุเกิดจากโภคะนั้นเกิดแก่ผู้มีบุญ
เมื่อสุวรรณสามทราบว่าพระราชาเป็นผู้ยิงลูกศรใส่ตน ก็ไม่ได้มีความโกรธเคืองยังคงมีจิตเมตตาต่อพระราชา ก่อนที่สุวรรณสามจะสิ้นสติไปพระราชาทรงรับปากจะดูแลบิดามารดาของสุวรรณสามเป็นอย่างดี บิดาและมารดาของสุวรรณสามได้ทราบว่า พระราชาเป็นผู้ยิงลูกศรใส่บุตรของตนก็มิได้โกรธเคืองแต่กลับขอร้องให้พระราชานำพวกตนไปหาร่างของบุตร เมื่อไปถึงทั้งคู่ต่างร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับร่างอันไร้สติของบุตรอย่างน่าเวทนา ทั้งสองได้ตั้งสัจอธิษฐานถึงคุณความดีแห่งการกตัญญูของสุวรรณสาม รวมกับแรงอธิษฐานของเทพธิดาพสุนธรี ผู้เป็นมารดาในอดีตชาติของสุวรรณสาม ด้วยแรงอธิษฐานทำให้สุวรรณสามฟื้นขึ้นมามีสติอีกครั้งและส่งผลให้ดวงตาของฤๅษีและฤๅษิณีกลับมามองเห็นได้ดังเดิม
ฤาษีสองสามีภรรยา อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมิคสัมมตา ทั้งสองเจริญเมตตาภาวนาเป็นประจำจึงเป็นที่รักของเหล่าสัตว์ทั้งหลาย เมื่อสุวรรณสามกุมารซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ได้เสด็จมาอุบัติ จึงกำเนิดอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์ที่รักใคร่ เหล่าสัตว์ต่างคอยติดตามสุวรรณสามไปทุกที่เป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งบิดาและมารดาของสุวรรณสาม ถูกพิษงูจึงทำให้ตาบอด นับตั้งแต่นั้นมาสุวรรณสามก็ได้เลี้ยงดูบิดาและมารดา มาตลอด มีราชาชื่อว่า ปิลยักขราช เป็นผู้ที่ชอบล่าสัตว์ป่ามาก เมื่อมาถึงท่าน้ำได้ทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าของสัตว์ป่ามากมาย จึงทรงซ่อนพระองค์เพื่อดักยิงสัตว์เหล่านั้น ได้เห็นชายหนุ่มเดินถือหม้อดินมา และแวดล้อมไปด้วยหมู่กวางที่กำลังเดินมุ่งสู่ท่าน้ำ ชายหนุ่มคนนั้นตักน้ำจนเต็มหม้อแล้วเดินแบกน้ำเพื่อกลับบ้าน พระราชาทรงยิงชายผู้นั้นด้วยลูกศรอาบยาพิษ ชายผู้นั้นได้รับความเจ็บปวดทรมานมาก แต่กลับพยายามประคองหม้อน้ำและวางลงอย่างระมัดระวัง เหตุเพราะกลัวว่าบิดาและมารดาที่ตาบอด จะไม่มีน้ำไว้เพื่อดื่มกิน
ในอดีตกาลเมื่อพระโพธิสัตว์กำเนิดเป็นหนู มีร่างกายอวบอ้วนเหมือนลูกสุกรและมีเหล่าหนูหลายร้อยตัวเป็นบริวาร เจ้าหมาจิ้งจอกผ่านมาหวังจะลวงกินหนูอ้วนเหล่านี้ จึงทำทีเป็นแหงนหน้าจ้องดวงอาทิตย์ อ้าปากกินลมและยืนเท้าเดียวเหมือนผู้ทรงศีล พระโพธิสัตว์เห็นก็เข้าใจไปว่าเป็นนักพรตผู้มีศีล อยู่มาวันหนึ่งพวกหนูเกิดความสงสัยเพราะเหตุใดจำนวนหนูถึงลดลงอย่างมาก จึงนำความมาเล่าให้พระโพธิสัตว์ฟัง เพราะเหตุใดหนอ บริวารหนูของตนจึงลดจำนวนลง หรือจะเป็นเหตุจากผู้ทรงศีลหมาจิ้งจอกแอบอ้างเอาธรรมเป็นธง เอาความดีบังหน้า เพื่อเบียดเบียนสัตว์อื่น
พระโพธิสัตว์ได้เกิดในตระกูลที่ร่ำรวยตระกูลหนึ่งในแคว้นกาสี เลี้ยงชีพด้วยการค้า พระองค์เลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่งจนตัวอ้วนพี น่ารัก เจ้าสุนัขน้อยเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนที่พบเห็น วันหนึ่งมีพ่อค้าผ่านมาเห็นสุนัขตัวนี้แล้วชอบใจ จึงให้เงินเพื่อแลกกับสุนัขแสนน่ารักตัวนี้ เขาเอาเชือกหนังมาล่ามมันไว้แล้วเดินถือปลายเชือกจูงสุนัขไปยังศาลา และผูกสุนัขไว้ ตัวเขาก็เอนนอนเพื่อพักผ่อน สุนัขนี้คิดว่าความปรารถนาของตนนั้น คือ การหนี ด้วยเหตุนี้ จึงอดทนรอเพื่อให้พ่อค้าหลับสนิท แล้วกัดเชือกที่ผูกมัดมันไว้ และรีบหนีไปยังเรือนของเจ้าของเดิม
ณ นิคมของชาวกาสี มีพราหมณ์คนหนึ่งเป็นผู้มั่งคั่งแต่ไม่มีบุตร พระโพธิสัตว์ได้มาบังเกิดเป็นบุตร จึงตั้งชื่อว่า “โพธิกุมาร” เมื่อเติบโตขึ้นเหล่าญาติก็จัดงานวิวาหมงคลให้ แต่ทั้งสองหนุ่มสาวนั้นไม่เคยมีความฟุ้งซ่านด้วยอำนาจแห่งราคะ เมื่อบิดามารดาเสียชีวิต เขาทั้งสองได้ให้ทานเป็นมหาทาน แล้วออกบวช อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปยังอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นนางปริพาชิกา เกิดมีใจปฏิพัทธ์ พระองค์ทรงสะท้านด้วยอำนาจแห่งราคะ ไม่อาจจะห้ามใจของตนได้ จึงนำนางผู้ร้องไห้คร่ำครวญไปยังพระราชวัง นางเอาแต่พรรณนาโทษของยศและคุณของการบรรพชา จึงทรงดำริว่า นางผู้นี้มีศีล ไม่ปรารถนาในลาภยศ แม้แต่ดาบสนั้น เมื่อตนพานางมา ก็มิได้มีความโกรธชัง เหตุเพราะพระโพธิสัตว์ดาบส ทรงสละสิ่งที่ตนรัก เพื่อสิ่งที่ตนรักยิ่ง
มีพราหมณ์ผู้หนึ่งได้สมาทานศีลเพื่อปรารถนาบุตร ไม่นานนักนางพราหมณีภรรยาของเขาได้ตั้งครรภ์ จึงตั้งชื่อบุตรว่า กัณหกุมาร เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปแล้ว เขาเป็นผู้ครองทรัพย์สมบัติทั้งหมด กัณหกุมารได้ตรวจเรือนคลังเมื่อเขาเห็นอักษรที่จารึกไว้ จึงคิดขึ้นว่าผู้ที่ทำทรัพย์นี้ให้เกิดขึ้นตายไปหมดแล้ว ปรากฏอยู่แต่ทรัพย์อย่างเดียว ผู้ที่จะถือเอาทรัพย์นี้ไปด้วยแม้คนเดียวก็ไม่มี ไม่มีใครขนเอาทรัพย์ติดตัวไปปรโลกได้ คิดได้ดังนี้ เขาจึงได้ออกบวชเป็นฤๅษี ได้เห็นโทษจากความโกรธ โลภ โทสะ และสิเนหา เหตุจาก มีชายคนซื่อนำกระต่ายจากป่ามาวางไว้ที่ฝั่งแม่น้ำแล้วลงอาบน้ำ คนโกงผู้หนึ่งจึงจับเอากระต่ายตัวนั้นวางไว้บนศีรษะของเขาแล้วลงอาบน้ำ ชายคนซื่อขึ้นมาจากน้ำแล้วไม่เห็นกระต่าย คนโกงจึงรีบบอกว่า กระต่ายที่วางไว้ที่ฝั่งหนีไปแล้ว ตัวเขาเองยังต้องเอากระต่ายวางไว้บนศีรษะอาบน้ำด้วยเลย ชายคนซื่อเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น จึงหลีกไป
พ่อค้าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่งบรรทุกสินค้านานาชนิดไปขายยังต่างเมืองเป็นประจำ วันหนึ่งพ่อค้าผู้นี้ต้องนำกองขบวนสินค้าข้ามทะเลทรายเพื่อนำสินค้าไปขาย ในการเดินทางครั้งนี้ต้องเดินทางผ่านผืนทรายอันร้อนจัด จึงต้องหยุดพักในเวลากลางวัน และออกเดินทางในเวลากลางคืน เขาจึงหยุดให้คนและโคได้พักผ่อนเช่นนี้เสมอๆ เมื่อเดินทางใกล้จะพ้นเขตทะเลทราย ทุกคนต่างชะล่าใจจึงดื่มน้ำ และกินอาหารจนหมดเกลี้ยง พ่อค้าผู้เป็นหัวหน้ากองจึงต้องออกสำรวจหาแหล่งน้ำกลางทะเลทราย ด้วยความดีใจที่พบแหล่งน้ำต่างระดมพลังกันขุดหาน้ำที่อยู่ใต้ผืนทรายนี้ ยิ่งออกแรงขุดมากยิ่งท้อแท้ เหตุเพราะลงแรงไปกลับเจอแต่แผ่นหินปกคลุม
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เมื่อเจริญวัยแล้วได้ออกบวชเป็นฤๅษี ที่เชิงจอมปลวกใกล้อาศรมมีนกกระทาตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ในทุกๆ วันมันมักจะยืนอยู่บนยอดจอมปลวกแล้วส่งเสียงขันดังลั่น ไม่ไกลมากนักมีนายพรานคนหนึ่งเที่ยวล่าสัตว์อยู่ในป่า ได้ยินเสียงนกกระทาจึงต้องการนำมาเป็นนกต่อ เขาล้อมจับนกนั้นนำมาใส่กรงเลี้ยงไว้อย่างดี นายพรานนำนกกระทาตัวนี้เข้าไปในป่าแล้วล้อมจับเหล่านกกระทาได้อีกมากมาย เหตุเพราะเหล่านกพากันมาเพราะเสียงร้องของนกกระทาต่อตัวนั้น
พระเจ้ามหากัปปินะกษัตริย์แห่งพระนครกุกกุฏวดี ทรงมีรับสั่งให้เหล่าอำมาตย์เที่ยวสืบข่าวเกี่ยวกับการบังเกิดขึ้นของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่มาวันหนึ่งพระองค์ และเหล่าบริวารได้พบพ่อค้าซึ่งเดินทางมาจากนครสาวัตถี ทรงตรัสถามจึงทราบความว่า พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า ได้บังเกิดขึ้นแล้วในโลก พระองค์ทรงบังเกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงรีบเดินทางเข้าพบพระพุทธองค์ เมื่อได้สดับพระธรรมเทศนาแล้ว ท่านพระมหากัปปินะมักเที่ยวเปล่งอุทานว่า "สุขหนอ สุขหนอ" อยู่เสมอๆ เหล่าภิกษุต่างสำคัญว่าท่านเปล่งวาจาเช่นนั้น เหตุเพราะยังระลึกถึงความสุขในราชสมบัติของพระราชา
ทีฆาวุราชกุมารเจ้าชายผู้ผลัดจากถิ่นกำเนิด ทรงคิดจะแก้แค้นแทนพระบิดาพระมารดาที่ถูกประหารชีวิตโดยพระเจ้าพรหมทัตกาสีราช ด้วยความโศกเศร้า และอาลัยในพระบิดาพระมารดา ทีฆาวุราชกุมารทรงขับร้อง และดีดพิณคลอเสียงขับขานที่ทุกข์ระทมอยู่ที่โรงเลี้ยงช้างในยามค่ำคืน พระเจ้าพรหมทัตกาสีราชทรงสดับเสียงพิณนั้น จึงทรงให้นำตัวมาเข้าเฝ้าเพื่อให้อยู่รับใช้พระองค์ และทรงแต่งตั้งให้เป็นอำมาตย์คนสนิท ในที่สุดเจ้าชายทีฆาวุราชกุมารก็สบโอกาสที่จะลงมือสังหารศัตรู แต่ด้วยระลึกถึงคำพระบิดาจึงระงับความโกรธและอภัยให้ศัตรู ปราศจากการผูกเวรต่อกันและกัน
พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในตระกูลพ่อค้าในกรุงพาราณสี เมื่อถึงวัยทำงานได้นำสินค้าบรรทุกเกวียนไปขายยังต่างถิ่นเป็นประจำ มีบุตรพ่อค้าเกวียนอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนหูเบาเขาจึงมักตัดสินใจผิดพลาดเป็นประจำ วันหนึ่งพ่อค้าเกวียนผู้หูเบาคิดว่าตนควรจะออกเดินทางไปก่อนพระโพธิสัตว์ ในขณะเดินทางได้พบกับยักษ์กลุ่มหนึ่งที่ได้จำแลงแปลงกายเป็นคนและเดินทางสวนมา ต่างพากันเคี้ยวกินเหง้าบัวอย่างเอร็ดอร่อย ทำทีว่าหนทางที่พวกตนผ่านมานั้นมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ พ่อค้าผู้หูเบาไม่คิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ จึงสั่งบริวารให้เทน้ำในตุ่มทิ้งเสียหวังจะได้พบน้ำบ่อหน้าแต่เดินทางไปตลอดวันหาน้ำสักหยดก็ไม่มี จึงรู้ว่าถูกหลอกจากพวกยักษ์เสียแล้ว เพียงเพราะความเขลาของตน
กลางป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์รายล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เจ้านกน้อยทำรังอยู่บนตันไม้ ในบึงที่กว้างขวางเป็นที่อาศัยของเต่า และป่าอันอุดมมีกวางอาศัยอยู่ สัตว์ทั้งสามต่างรักใคร่และดูแลกันตลอดมา จนวันหนึ่งเจ้ากวางโชคร้ายถูกบ่วงเชือกของนายพราน มันจึงร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนรักทั้งสอง เมื่อนกและเต่าได้ยินต่างรีบรุดเข้าช่วย เจ้าเต่ารีบกัดเชือกอย่างสุดกำลังแม้ฟันทุกซี่ของมันจะโยกคลอนจนเลือดไหลเต็มปากแล้วก็ตาม เพียงเพื่ออยากช่วยเพื่อนรักให้พ้นภัย
ชายผู้หนึ่งร่วมเดินทางไปกับคณะพ่อค้า กลุ่มเกวียนบรรทุกสินค้าเริ่มเคลื่อนออกจากเมืองมุ่งสู่อีกเมืองเพื่อค้าขาย เมื่อตะวันลับขอบฟ้า กลุ่มพ่อค้าต่างพากันหยุดพัก ส่วนชายหนุ่มผู้ร่วมเดินทางมาด้วยนั้นหยิบท่อนไม้มาจุดไฟ และเดินจงกรมไปรอบ ๆ เกวียน ในขณะนั้น มีโจรแอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้เพื่อปล้นคณะพ่อค้า เหล่าโจรป่ายังคงเฝ้ารอคอยรอบแล้วรอบเล่า แต่ชายหนุ่มผู้นั้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักหรือเดินไปทางอื่นแม้แต่น้อย จนเวลาล่วงผ่านไปใกล้เช้าหัวหน้าโจรจึงตัดสินใจยุติการปล้น เหตุเพราะเห็นว่าบุรุษผู้นี้ คือ ผู้ที่ดำรงตนในความไม่ประมาท
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้เกิดในตระกูลที่มีโภคะมาก ครั้นเจริญวัยแล้วได้ออกบวชเป็นฤาษีอาศัยอยู่ในบรรณศาลาที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง เหล่าคนเลี้ยงแพะได้ปล่อยฝูงแพะเที่ยวหากินอยู่ในซอกเขาแห่งนี้เรื่อยมา วันหนึ่งมีเสือเหลืองผู้หิวโซได้เห็นแม่แพะออกไปหากินไกลฝูง เดินรั้งท้ายอยู่ตัวเดียว จึงคิดว่าจะจับแม่แพะนั้นกินเสียจึงยืนขวางแม่แพะอยู่ เมื่อแม่แพะเห็นดังนั้นก็มีน้ำใจปราศรัยด้วยวาจาอ่อนหวานกับเสือเหลืองตัวนี้ ด้วยอุบายเพื่อรักษาชีวิตของตนไว้
พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นราชกุมารของพระราชาผู้ครองเมืองพาราณสี เมื่อมีอายุได้ 7 ขวบ พระบิดาก็สวรรคต เหล่าอำมาตย์ต่างเห็นว่าราชาองค์น้อยยังไม่สามารถปกครองเมืองได้ จึงพากันทดสอบภูมิปัญญาและได้ทราบถึงอัจฉริยะของพระกุมารจึงได้อภิเษกให้ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่บัดนั้น ส่วนทาสผู้เคยรับใช้พระราชาองค์ก่อนเช่นนายคามณิจันท์ เมื่อสิ้นรัชกาลของพระองค์แล้ว เขาได้ปลีกตัวออกไปประกอบอาชีพกสิกรรมที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขานั้นไม่มีโคในการทำนาจึงได้ไปยืมโคจากเพื่อนบ้านเพื่อมาไถนา ตกเย็นจึงได้นำโคไปคืน เห็นเจ้าของโคกำลังนั่งกินข้าวอยู่ก็เกิดความเกรงใจจึงปล่อยโคเข้าคอกไป ตกดึกมีโจรมาลักโคเหล่านั้นไปหมด เจ้าของโคถึงแม้รู้อยู่ว่าโคถูกขโมยไปก็ไปทวงโคกับนายคามณีจันท์พร้อมกับปรับสินไหมและนำความไปแจ้งยังเมืองหลวง เหตุเพราะต้องการหาผู้รับผิดในครั้งนี้
พราหมณ์ตระกูลหนึ่งได้ให้กำเนิดลูกน้อยเป็นทายาท สองสามีภรรยาต่างเลี้ยงดูลูกน้อยอย่างมีความสุข จนกระทั่งวันหนึ่งนางพราหมณ์มณีผู้เป็นภรรยาได้มาจากไป พราหมณ์จึงอุ้มลูกน้อยเข้าสู่ป่าและบวชเป็นฤาษี ส่วนบุตรน้อยบวชเป็นดาบสกุมาร ครั้นเข้าสู่ฤดูฝน มีลิงตัวหนึ่งถูกความหนาวจากฝนเบียดเบียนเดินหนาวจนตัวสั่น ลิงนั้นได้นุ่งห่มผ้าของดาบสที่ตายไปแล้วปลอมตัวมายืนหลอกลวงอยู่ที่ประตูบรรณศาลาของดาบสสองพ่อลูก ดาบสกุมารเห็นลิงนั้น จึงกล่าวกับบิดาว่า “มีดาบสผู้หนึ่งยืนหนาวสั่นอยู่ พ่อเรียกดาบสนั้นเข้ามา ที่นี้เถิด” เหตุเพราะถูกเจ้าลิงลวงหลอกให้เข้าใจว่านั้นคือ ดาบส
ฤๅษีตนหนึ่งได้ใช้บริการเรือจ้างของนายอาวาริยปิตาเพื่อข้ามฝาก เขารีบถามขึ้นทันทีว่าจะให้ค่าจ้างเรือเท่าไร ฤๅษีตนนั้นตอบกลับไปว่าจะให้ของดีที่ทำให้ร่ำรวยทรัพย์สิน เมื่อถึงที่หมายฤๅษีจึงให้คาถาความเจริญแห่งอรรถและธรรมแก่เขาพร้อมกล่าวกับคนแจวเรือว่านอกจากโอวาทนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งใดจะให้ ทำให้คนแจวเรือโกรธมากและผลักฤๅษีให้ล้มลงแล้วนั่งทับอกตบปากฤาษีตนนั้นทันที
พระโพธิสัตว์ได้กำเนิดในตระกูลพ่อค้าพาณิชย์ในเมืองพาราณสี มีชื่อว่า สุชาตกุมาร วันหนึ่งปู่ของเขาได้เสียชีวิตลง ผู้เป็นบิดาตกอยู่ในอาการเศร้าโศกตลอดมา เทียวไปไหว้กระดูกนั้นแล้วนั่งร้องไห้คร่ำครวญเป็นประจำ สุชาตกุมารเห็นบิดาตกอยู่ในอาการเช่นนี้ทุกวันจึงคิดหาวิธีเตือนสติ วันหนึ่งเขาเดินไปนอกบ้านเห็นวัวตาย จึงนำหญ้าและน้ำมาวางไว้ข้างหน้าแล้วพูดว่ากับซากวัวว่า จงกินหญ้า จงดื่มน้ำ ผู้คนต่างกล่าวกันไปว่าสุชาตกุมารเป็นบ้าแล้ว นั่งป้อนอาหารวัวที่ตาย เพียงเพื่อต้องการเตือนสติบิดา
ณ กรุงพาราณสี ชาวเมืองมักจะแขวนกระเช้าหญ้าไว้ตามที่ต่างๆเพื่อเป็นที่อาศัยของนกทั้งหลาย มีนกพิราบตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในกระเช้าหญ้าที่อยู่ในโรงครัว อยู่มาวันหนึ่งเจ้ากาบินผ่านโรงครัวได้กลิ่นหอมอบอวลของอาหารคาวหวาน จึงนึกอยากลิ้มลองรสชาติของอาหารนั้น มันจึงหาอุบายเพื่อมาอยู่ใกล้ชิดกับนกพิราบ ในโรงครัวพ่อครัวกำลังนำปลาและเนื้อมาวางไว้บนกระชอนส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว เจ้ากาได้กลิ่นจึงคิดวางแผนเพื่อจะกินเนื้อนั้น จึงแกล้งทำเป็นปวดท้องบินไม่ไหว ในที่สุดเจ้ากาผู้โลเลกลับได้รับทุกข์ใหญ่หลวงเหตุจากความโลภของมัน
พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดในพระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตราชาผู้ครองนครพาราณสี เมื่อพระโพธิสัตว์เจริญวัยขึ้นทรงศึกษาศิลปทุกชนิด ทรงเรียนมนต์รู้เสียงทุกอย่าง อยู่มาวันหนึ่งแม่สุนัขจิ้งจอกพาลูกน้อย 2 ตัวเข้ามาทางช่องระบายน้ำ เพื่อจะแอบเข้าไปอาศัยยังข้างห้องบรรทมของพระโพธิสัตว์ ในขณะนั้นที่ศาลามีชายเข็ญใจถอดรองเท้าวางไว้ที่พื้นและนอนอยู่ พระโพธิสัตว์ได้ยินสิ่งที่แม่จิ้งจอกพูดกับลูกน้อย พระองค์ทรงเสด็จออกไปเพื่อเตือนให้ชายเข็ญใจเก็บรองเท้านั้นเสีย สร้างความโกรธแค้นให้แก่แม่สุนัขจิ้งจอกเป็นอย่างมากร้องขู่พระโพธิสัตว์ว่า เมื่อพระเจ้าสมันตราชเสด็จมาล้อมพระนคร พระราชบิดาของท่านจักส่งท่านไปเพื่อต้องการให้พระเจ้าสมันตราชจตัดศีรษะของท่าน ณ ที่นั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจักดื่มเลือดในลำคอของท่านเสีย
ณ คุ้งน้ำกรุงพาราณสีมีปลาหนุ่มตัวหนึ่งหลงใหลรักใคร่ในนางปลาสาวจึงพยายามว่ายวนเวียนอยู่ไม่ห่าง เจ้าปลาหนุ่มมีความรักมอบให้แก่ปลาสาวเพียงตัวเดียวเท่านั้น และแล้วคราวเคราะห์ร้ายก็มาเยือนเมื่อมีชาวบ้านพายเรือมาทอดแหในบริเวณที่ปลาสองตัวนี้ว่ายวนอยู่ ปลาหนุ่มผู้ตกอยู่ในความประมาทเพลิดเพลินยินดีไปกับการเกี้ยวพาราสีจึงติดแหชาวประมงไป แต่เจ้าปลาหนุ่มมิได้รู้สึกกลัวความตายที่อยู่ตรงหน้าเอาแต่คร่ำครวญถึงนางปลาสาวที่ตนจากมา เหตุเพราะความลุ่มหลงที่มีต่อนาง
หญิงสาวผู้นึงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงได้เกิดตั้งครรภ์ขึ้น นับตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านทั้งหมู่บ้านเกิดความอดอยากขัดสน จึงขับไล่นางและครอบครัวออกจากหมู่บ้าน เมื่อนางคลอดบุตรและเลี้ยงจนเดินได้ก็ทิ้งเด็กชายไว้หากินเพียงลำพัง เด็กชายร่อนเร่เที่ยวเก็บเศษอาหารกินเพื่อประทังชีวิต ต่อมาได้อุปสมบทฉายาว่า “โลสกติสสะ” เพราะเศษแห่งผลของกรรมที่เคยกระทำไว้ในอดีต ส่งผลให้ไม่เคยได้กินอาหารจนอิ่มเต็มท้องเลยตลอดชีวิต
พระเจ้ากรุงพาราณสีมีอำมาตย์ 5 คนช่วยในการบริหารบ้านเมือง อำมาตย์คนที่ 1 เชื่อว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย บุญบาปไม่มี การฆ่าสัตว์ไม่ใช่บาปกรรม อำมาตย์คนที่ 2 เชื่อว่า ผู้เป็นใหญ่สร้างโลก สร้างชีวิต สร้างกรรมดีกรรมชั่ว อำมาตย์คนที่ 3 เชื่อว่า สุข ทุกข์เพราะกรรมเก่า อำมาตย์คนที่ 4 เชื่อว่า โลกหน้าไม่มี โลกนี้เป็นอันขาดสูญและอำมาตย์คนที่ 5 เชื่อว่า การฆ่าพ่อแม่พี่น้อง ถ้าเป็นประโยชน์ ก็ควรทำ ด้วยความเชื่อที่แตกต่างกันนั้น ทำให้เมื่อต้องตัดสินคดีต่างตัดสินไปตามอำเภอใจของตน ประชาชนจึงได้รับความเดือดร้อนและไม่เป็นธรรม ต่างเรียกร้องให้พระเจ้ากรุงพาราณสีนิมนต์โพธิกุมารช่วยในการตัดสินคดีความ
ในหมู่บ้านจัณฑาลแห่งหนึ่ง มีเด็กชายจัณฑาลชื่อจิตตกุมาร และคนหนึ่งชื่อสัมภูตกุมาร ครั้นเมื่อทั้งสองเติบโตขึ้นได้เรียนศิลปศาสตร์ที่ชื่อว่า จัณฑาลวังสโธวนะ วันหนึ่งทั้งสองก็ชักชวนกันไปแสดงศิลปะใกล้กับประตูเมือง โดยคนหนึ่งแสดงศิลปะที่ประตูด้านทิศเหนือ อีกคนหนึ่งแสดงศิลปะที่ประตูด้านทิศใต้ ในขณะนั้น ธิดาของท่านเศรษฐี และธิดาของท่านปุโรหิตาจารย์มีความประสงค์จะเดินทางไปยังอุทยานเพื่อพักผ่อน เมื่อนางกุมารีพบเห็นจัณฑาลทั้งสองแสดงศิลปะอยู่ ก็เกิดความไม่พอใจอย่างมากสั่งเหล่าคนรับใช้โบยตีเด็กทั้งสองให้ถึงความบอบช้ำย่อยยับ เพียงเพราะชาติกำเนิดแห่งจัณฑาล
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จไปรับภัตตาหารยังบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เหล่าพระมหาสาวกผู้มีอภิญญาสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ต่างเหาะเหินบนอากาศเพื่อติดตามพระพุทธองค์ ขณะนั้นพญานาคชื่อนันโทปนันทะกำลังเสวยทิพยสมบัติด้วยความสำราญใจ ครั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าและเหล่าพระมหาสาวกจำนวนมากเหาะมา ก็เกิดความโกรธขึ้นในใจตามประสาผู้มีมิจฉาทิฏฐิ จึงแปลงกายให้ตัวใหญ่ขึ้น เอาหางรัดเขาพระสุเนรุ ใช้พังพานปิดภพดาวดึงส์และบันดาลให้เกิดหมอกควันตลบไปทั่วพิภพเพื่อให้เหล่าสาวกไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ เพียงเพราะทิฏฐิที่หลงผิด
พระเจ้ามันธาตุราชทรงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ประกอบด้วยรัตนะ 7 และอิทธิฤทธิ์ 4 เมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงคู้พระหัตถ์ซ้ายปรบด้วยพระหัตถ์ขวาฝนก็ตกลงมาดุจฝนทิพย์ในอากาศ และรัตนะ 7 ประการของพระองค์นั้นประกอบไปด้วย ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว กระทั่งจักรแก้ว หากพระองค์ต้องการสิ่งใดก็ได้ดังใจปรารถนา พระเจ้ามันธาตุราชทรงเป็นมนุษย์ที่อัศจรรย์ถึงปานนี้ แต่พระองค์ก็ทรงเบื่อหน่าย ปรารถนาที่จะอยากได้สมบัติในเทวโลกของเทวดา เหตุเพราะตัณหาที่ไม่มีวันเต็ม
พราหมณ์คนหนึ่งมีลูกสาวทั้งหมด 4 คน ลูกสาวของพราหมณ์นั้นล้วนสวยงามน่ารัก และเป็นที่หมายปองของหนุ่ม ๆ พราหมณ์นั้นไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะยกลูกสาวให้แก่ชายใด ระหว่างคนที่มีรูปงาม คนที่มากด้วยปัญญา คนอุดมด้วยทรัพย์ และชาติตระกูล หรือคนที่สมบูรณ์ด้วยศีล พราหมณ์คิดหนักว่าจะเลือกชายใดเป็นลูกเขยดี เพราะแต่ละคนก็มีความดีแตกต่างกันไป เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปปรึกษาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เพื่อเลือกคู่ครองให้กับลูกสาว
พระเจ้าสีวิชราชทรงมีดำริในการทำทานที่ทำได้ยากยิ่ง โดยทรงดำริว่าเมื่อไหร่ก็ตามเมื่อมีใครมาเอ่ยปากขอหัวใจ จะควักให้ดุจเด็ดบัวขึ้นจากสระ หากใครมาขอเนื้อจะเฉือนเนื้อไม่ลังเล หรือผู้ใดขอเพียงโลหิต จะรีบวิ่งเข้าเครื่องบดเพื่อสละเลือดให้ แม้ขอให้ไปช่วยรับใช้ทำงานบ้าน ก็เต็มใจสละราชสมบัติทันที ทว่าหากขอดวงตา จะควักให้ทั้งหมดโดยไม่ลังเล ครั้นเมื่อมีบุรุษชรามาขอดวงตาของพระองค์ ทรงรับสั่งให้หมอหลวงบดยาใส่เบ้าพระเนตรโดยไม่ลังเล ในพริบตาความเจ็บปวดแสนสาหัสเกิดแก่พระองค์ ทุกขเวทนารุมเร้าเหลือประมาณ หากแต่ในพระหฤทัยกลับปิติเบิกบานในทานนั้น เพราะในพระทัยของพระองค์มีแต่ความปรารถนาพระสัพพัญุตญาณเพียงเท่านั้น
พระโพธิสัตว์ได้ขึ้นครองราชสมบัติในนครอินทปัฏฏ์ แคว้นกุรุ ทรงประพฤติตนอยู่ในศีล 5 ชื่อว่ากุรุธรรม ทรงรักษาศีลให้มีความบริสุทธิ์ แม้แต่พระมารดา พระอัครมเหสี พระอุปราช พราหมณ์ปุโรหิต อำมาตย์ผู้รังวัดนา สารถีผู้ขับยาน เศรษฐี นายประตู นางวัณณทาสีผู้เป็นนครโสเภณี ล้วนรักษาศีล 5 ชนทั้งหลายนี้รักษาศีลเหมือนดังพระโพธิสัตว์ วันหนึ่งอำมาตย์ฝ่ายรังวัด ได้ออกไปวัดที่นาในชนบท เขาจึงเอาเชือกผูกที่ไม้ ให้เจ้าของนาจับปลายข้างหนึ่ง ตนเองจับปลายอีกข้างไว้ ไม้ที่ผูกปลายเชือกซึ่งอำมาตย์ถือไปจรดตรงกลางรูปูเข้าพอดี เขาได้ปักท่อนไม้นั้นลงในรูปู เจ้าปูตัวน้อยก็ส่งเสียงร้องกริ๊ก ๆ อำมาตย์ผู้นั้นจีงคิดว่า ท่อนไม้ปักลงบนหลังปู เจ้าปูก็จักตาย เพราะเหตุนั้นเองศีลของเขาคงจะแตกและถูกทำลายเสียแล้ว “บัณฑิตทั้งหลาย แม้ครองเรือนอยู่ยังกระทำความรังเกียจในการผิดศีล แม้มีประมาณน้อย”
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้เตรียมประกอบยัญญพิธี โดยเอาโคผู้ 700 ตัว ลูกโคผู้ 700 ตัว ลูกโคเมีย 700 ตัว แพะ และแกะ อย่างละ 700 ตัว นำผูกติดไว้กับเสาเพื่อเตรียมนำมาบูชายัญ กูฏทันตพราหมณ์ผู้ปกครองหมู่บ้านแห่งนี้ได้เกิดมีจิตเลื่อมใสในพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า และประกาศตนเป็นอุบาสกถึงซึ่งพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต จึงปล่อยสัตว์ทั้งหลายให้เป็นอิสระ เว้นขาดจากการเบียดเบียนชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย การให้ทานนั้นเป็นบาทฐานเบื้องต้นของการบรรลุธรรม เหตุเพราะผู้ให้สิ่งประเสริฐ ย่อมถึงฐานะที่ประเสริฐ
พ่อค้าหนุ่มผู้เดินทางมาจากเมืองพาราณสี ทุกครั้งที่เขานั้นรับประทานอาหารอิ่มแล้ว มักจะให้อาหารที่เหลือแก่ปลาในแม่น้ำ แล้วอุทิศส่วนบุญกุศลให้สรรพสัตว์ รวมถึงเทวดาที่สถิต ณ แม่น้ำแห่งนั้น เหล่าเทวดาต่างร่วมอนุโมทนาในส่วนแห่งบุญที่เขาอุทิศให้ ส่วนเจ้าน้องชายตัวร้ายของเขา มักมีนิสัยขี้ขโมยมาตั้งแต่เด็ก น้องชายจอมขโมยกำลังคิดวางแผนจะฉกเอาทรัพย์ในห่อเงินมาเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว โดยวางอุบายทำทีเป็นเสียหลัก และโยนถุงเงินถุงหนึ่งลงน้ำไป เทวดาได้เห็นเหตุการณ์นั้นโดยตลอดจึงดลบันดาลให้ปลาปากกว้างตัวหนึ่งมากลืนกินถุงเงินนั้นเสีย บุคคลทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของพี่น้อง และบิดามารดา ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้มีจิตชั่ว ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่สรรเสริญ บุคคลผู้มีจิตไม่ประทุษร้าย แม้เทวดาก็สรรเสริญยกย่องบุคคลผู้นั้น
ในกรุงพาราณสีมีพราหมณ์ผู้หนึ่งเชี่ยวชาญในมนต์วิเศษ ชื่อ เวทัพพะ หากคราใดถึงคราวฤกษ์ดี คือ ดวงอาทิตย์ ดวงดาว และดวงจันทร์เรียงบรรจบในทิศทางที่เหมาะสม พราหมณ์ผู้นี้จะสามารถร่ายมนต์วิเศษเพื่อให้เพชรนิลจินดา และทรัพย์สินทั้งปวงไหลหลั่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับสายฝนที่โปรยปราย หากแต่ทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ที่ต้องคำสาปนำมหาภัยมาสู่ผู้ครอบครอง “ผู้ใดปรารถนาประโยชน์ โดยเหตุมิใช่อุบาย ผู้นั้นย่อมเดือดร้อน โจรชาวเจติรัฐฆ่าพราหมณ์เวทัพพะเสียแล้ว คนเหล่านั้นก็พลอยถึงความย่อยยับหมดสิ้น”