เสียงบรรยายธรรมของหลวงพ่อไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ (จัดทำโดยลูกศิษย์)

30 ส.ค. 68 - ถอนใจออกจากความหลงในตัวกู : เบื้องหลังความอยากก็คือ ความสำคัญหมายในตัวกู อยากพูด อยากแสดงความคิดเพื่อให้คนชมว่า กูเก่ง กูเก่ง ในเบื้องหลังความอยาก ที่อยากจะพูด อยากจะแสดงความคิดเห็นก็คือ ตัวกู หรือความสำคัญหมายในตัวกู ความยึดมั่นในตัวกู ซึ่งจะว่าไปก็คือ มานะ ก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ฉะนั้นการปฏิบัติ เริ่มต้นด้วยการรู้กาย เห็นกาย ต่อไปก็จะเห็นใจ เห็นความคิด ต่อไปก็จะเห็นแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังความคิดและอารมณ์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกิเลส โลภะบ้าง โทสะบ้าง ต่อไปก็จะเห็นลึก ว่าเบื้องหลังโลภะ โทสะ ก็คือความยึดมั่นในตัวกู หรือมานะ ฉะนั้น ถ้าเห็นแบบนี้ มันก็จะเริ่มรู้เท่าทันแล้ว รู้เท่าทันตัวกู หรือความยึดมั่นในตัวกู ไม่ปล่อยให้มันมาครองใจ แต่ก่อนไม่รู้ทัน มันก็เลยมาครองใจ เหมือนกับเราไม่รู้ทัน ไปปรุงแต่งว่ามีผี พอไปเชื่อว่ามีผีเข้า ก็ทำให้นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ทั้งที่ไม่มีอะไรเลยข้างนอก การปรุงแต่ง การจินตนาการ ก็ทำให้มีผลต่อจิตใจและร่างกายของเราได้ แต่พอเรามีสติรู้ทัน ความปรุงแต่งหายไป จิตใจก็โปร่งโล่ง ให้ปฏิบัติแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วเดี๋ยวมันก็จะเห็นเอง จนกระทั่งเห็นความจริงที่ลึกไปกว่านั้น ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

29 ส.ค. 68 - อดกลั้นได้ใจงอกงาม : แต่ว่าการอั้นความคิดอารมณ์กับการอั้นอุจจาระปัสสาวะนี่ มันต่างกันอย่างหนึ่ง ที่สำคัญก็คือว่า เวลาอั้นอุจจาระปัสสาวะมันต้องระบายออกมา ต้องระบายเร็ว ๆ ด้วย แต่ว่าอั้นความคิด อั้นอารมณ์ แม้บางครั้งใหม่ ๆ มันรู้สึกเหมือนอกจะแตกแต่ว่าถ้าเรามีสติเห็นมัน ดูมัน มันก็จะค่อย ๆ คลี่คลายไปได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะต้องระบายเหมือนกับระบายปัสสาวะอุจจาระในยามที่ต้องอั้นนาน ๆ อุจจาระปัสสาวะนี่มันต้องระบาย แต่ว่าความคิดอารมณ์แม้ในภาวะแรก ๆ รู้สึกว่าต้องอั้น ต้องใช้ความอดกลั้น แต่พอเวลาผ่านไป มันค่อย ๆ หายไป ค่อย ๆ คลี่คลาย ละลายหายไป หรือยิ่งถ้าเกิดว่าเรามีท่าทีที่ถูกต้องกับมัน เราก็ดูมันเฉย ๆ มันจะหายไปเอง อาจจะไม่ต้องระบายเลยก็ได้ แต่คนใหม่ ๆ ก็ต้องระบาย คนที่ไม่ได้ฝึกมาก็ต้องระบาย แต่ถ้าระบายเป็นอาจิณ ไม่รู้จักอดกลั้นเสียบ้าง มันก็มีผลเสียต่อตัวเราเองอย่างที่ว่ามา ฉะนั้นการรู้จักอดกลั้นมันเป็นเรื่องสำคัญมากแต่ต้องอดกลั้นให้ถูก ใหม่ ๆ ก็ต้องใช้ขันติ อดกลั้นเอาไว้ โกรธแล้วไม่พูด เพราะรู้ว่าถ้าพูดไปแล้วมันจะเกิดความเสียหายตามมา อยากจะนินทาว่าร้ายใครแต่ก็ไม่พูด เพราะรู้ว่าถ้านินทาไปแล้ว เดี๋ยวเกิดปัญหาตามมาเมื่ออีกฝ่ายก็ได้ยิน เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน เราก็ไม่พูด แน่นอนว่าใหม่ ๆ มันก็ต้องใช้ความอดกลั้นมาก อาจจะรู้สึกเหมือนกับอกจะแตก แต่พอเราทำไปนาน ๆ ไม่ใช่แค่ฝึกขันติอย่างเดียวแต่ว่าเราฝึกสติไปด้วย เราจะเห็นความคิดเห็นอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น เห็นแล้วจะเรียกว่าปล่อยหรือวาง มันจะเกิดสิ่งที่หลวงพ่อเรียกว่า มันจะเกิดความราบเรียบขึ้นมา สติเหมือนกับตัวไถให้ราบเรียบ สิ่งที่เคยอัดแน่นอยู่ในใจมันก็ค่อย ๆ คลี่คลายหายไป ก็โปร่งโล่ง และนี่เป็นวิธีที่เราต้องฝึกเหมือนกัน ความรู้จักอดทนรอคอย และอดกลั้นต่อความอยาก ไม่ว่าจะเป็นความอยากชนิดใดก็ตาม อยากรู้อยากเห็น อยากได้คำตอบ อยากเสพ อยากบริโภค อยากพูด อยากบ่น อยากโวยวาย อันนี้มันเป็นเรื่องที่เราต้องฝึก เพราะถ้าหากว่าคนเรามีความคิดอยากจะพูดก็พูด มีความคิดอยากจะโวยวายก็โวยวาย อยากจะได้อะไรก็ไปหาสิ่งนั้นมาสนองความอยาก เราจะไม่มีความเจริญเติบโตงอกงามภายในเลย สุดท้ายเราก็พ่ายแพ้ต่อกิเลสได้ง่าย และคนเราถ้าหากว่าพ่ายแพ้ต่อกิเลสแล้ว มันก็มีแต่ความทุกข์สถานเดียว

28 ส.ค. 68 - เปิดลิ้นชักใจให้เป็น : คนที่ทำงาน แค่งานเช้า งานบ่ายวันนี้ ก็เยอะอยู่แล้ว ยังต้องไปนึกถึงงานเช้าบ่ายของวันพรุ่งนี้ มีตั้ง 10 ชิ้น ถ้าเรานึกถึงงานทั้ง 10 ชิ้น มันก็เหมือนกับเปิดทั้ง 10 ลิ้นชัก ใจมันห่อเหี่ยวเลย แม้ว่าเราจะมี 40 ลิ้นชัก 40 เรื่องที่ต้องครุ่นคิด แต่ถ้าเราเปิดทีละลิ้นชัก เสร็จลิ้นชักนี้ก็เปิดลิ้นชักนั้น เสร็จลิ้นชักนี้ก็ปิด เปิดลิ้นชักใหม่ อะไร ๆ มันก็จะง่ายขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องการฝึกใจให้อยู่กับปัจจุบัน แล้วถ้าเราทำอย่างนี้เป็นนิสัย ถึงเวลานอน นอน ถึงเวลากิน กิน เรื่องอื่นวางไว้ก่อน ถึงเวลาอาบน้ำ ใจราก็อยู่กับการอาบน้ำ ถึงเวลาฟังธรรม ใจก็อยู่กับการฟังธรรม ถึงเวลาสวดมนต์ ใจก็อยู่กับการสวดมนต์ ชีวิตมันจะเป็นระเบียบ แล้วมันจะโปร่งโล่งเบาสบาย การซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง ด้วยการคิดหลาย ๆ เรื่องพร้อมกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลาจะคิด ไม่ใช่เวลาจะขบแก้ปัญหา มันก็จะเกิดขึ้นน้อยลง เดี๋ยวนี้เราคิดแต่จะทำบ้านให้เป็นระเบียบ แต่เราไม่สนใจที่จะทำใจเราให้เป็นระเบียบ การฝึกสตินี่มันช่วยทำให้ใจเป็นระเบียบมากขึ้น ยังไม่ต้องพูดถึงการพ้นทุกข์ ยังไม่ต้องพูดถึงการที่เข้าถึงโลกุตรธรรม แค่เรื่องที่เป็นโลกิยธรรมพื้น ๆ เช่น เรื่องงานเรื่องการ เรื่องการใช้ชีวิต ถ้าเรารู้จักทำอะไรทีละอย่าง คิดทีละเรื่อง เปิดทีละลิ้นชัก ชีวิตมันจะเบา มันจะสบายกว่าเดิมมาก บ่อยครั้ง ความวุ่นวาย ความเครียด มันเกิดจากใจของเราเอง ไม่ใช่เพราะเรามีงานเยอะ ไม่ใช่เพราะเรามีภาระมาก แต่เป็นเพราะเราจัดการกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่เป็นต่างหาก

27 ส.ค. 68 - มองเขาแล้วกลับมามองตน : แต่ว่าเราก็ต้องเผื่อใจไว้ด้วยว่า สิ่งที่ราได้ยิน สิ่งที่เรา รับรู้มา มันอาจจะไม่ใช่ความจริง เผื่อใจไว้ว่าความจริงอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่เราได้รับรู้มาก็ได้ พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ให้เราระแวงทุกอย่างที่เราได้ยิน เพียงแต่ให้ระวังเอาไว้ว่า สิ่งที่ได้ยินมา สิ่งที่เห็น สิ่งที่ปรากฏกับสายตาของเรา อาจจะไม่ใช่ความจริง 100% เผื่อใจไว้บ้าง เผื่อใจสำหรับความผิดหวัง อันนี้เรียกว่าระวัง แต่อย่าถึงกับระแวง เพราะถ้าระแวง มันก็จะเรียกว่า ไม่เชื่ออะไรเลย ตั้งคำถามกับทุกอย่าง ซึ่งมันก็เกินไป ระวังดีแล้ว แต่อย่าระแวง แล้วที่สำคัญคือ ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ตัวบุคคลที่เราได้ยินมา ได้เห็นมา เป็นข่าวปรากฏ จะย่ำแย่อย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องกลับมาดูตัวเรา อย่าไปมองแต่คนอื่น อย่าไปตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์ ทำไมเขาแย่แบบนี้ ทำไมเขาหลอกเราแบบนี้ ต้องกลับมาถามตัวเองว่า แล้วทำอย่างไรเราจึงจะไม่เป็นอย่างเขา นี่คือคำถามที่หลายคนมองข้ามไป ไม่ได้กลับมาดูตัวเองเลยว่า เราจะดูแลรักษาตัวอย่างไรไม่ให้เป็นอย่างเขา ต้องเอาคนที่เขาพลาดพลั้งมาเป็นครูสอนเรา แล้วคนเหล่านี้ก็เป็นครูให้กับเราได้ว่า ทำอย่างไรเราจะไม่เป็นอย่างเขา หรือไม่ไปเดินตามเขา เพราะถ้าเมื่อไหร่เราไม่ระวัง เราอาจจะแย่กว่าเขาก็ได้ ถ้าเรามีโอกาส ที่เราไม่แย่อย่างเขา เพราะเรายังไม่มีโอกาส อาจจะยังไม่มีเงินมีทองมาก ยังไม่มีฐานะ ตำแหน่งสูงเหมือนเขา ยังไม่ได้สมณศักดิ์เหมือนเขา อันนี้ก็รวมไปถึงเวลาเราได้ข่าวคราวเกี่ยวกับนักการเมือง ข้าราชการชั้นสูงที่ทุจริตคอร์รัปชัน ก่อนที่เราจะไปวิจารณ์หรือประณามเขา ต้องกลับมาถามตัวเองว่า ถ้าเราเป็นอย่างเขา เราจะดูแลตัวเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้อย่างไร หรือว่าให้อยู่ในศีลในธรรมได้อย่างไร อยู่ในความถูกต้องได้อย่างไร เพราะถ้าเราอยู่ในฐานะเดียวกับเขา เราก็อาจจะเป็นอย่างเขา หรือแย่ยิ่งกว่าเขาก็ได้ แต่ที่เรายังไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเรายังไม่มีโอกาส เราแค่ไม่มีโอกาสเท่านั้นแหละ ถ้ามีโอกาสแบบเขา อยู่ในสถานะเดียวกับเขา เราก็อาจจะไม่ได้ต่างจากเขาเท่าไหร่ก็ได้ อันนี้คือสิ่งที่ต้องระวัง

26 ส.ค. 68 - ป่วยกาย แต่ใจไม่ทุกข์ : แล้วถ้าเห็นด้วยความรู้สึกตัว มันก็จะค่อย ๆ ราบเรียบหายไป เวลาป่วยแล้ว ปรากฏว่าป่วยทั้งกายทุกข์ทั้งใจ ถ้ายอมรับได้ว่า เรายังปฏิบัติมาไม่มากพอ ยังมีความหงุดหงิดหัวเสีย ยังมีความทุรนทุรายในใจ เห็นความทุรนทุรายนั้นด้วยใจที่เป็นกลาง มันก็จะไม่มีธนูดอกที่ 3 เข้ามาทิ่มแทง แล้วถ้าเกิดว่าดูไปเรื่อย ๆ สุดท้าย ธนูดอกที่ 2 ก็จะหลุด ก็จะมีแต่ธนูดอกแรก แต่ถึงแม้ธนูดอกที่ 2 ยังอยู่ก็ยอมรับมันด้วยใจที่เป็นกลาง อย่างน้อยก็ทำให้ไม่ต้องเจอธนูดอกที่ 3 มาทิ่มแทง การปฏิบัติธรรมนี้ แม้เราจะรู้ว่า การตายอย่างสงบเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แม้เราจะรู้ว่าความทุกข์ทรมานในยามเจ็บป่วย เกิดขึ้นได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเกิดว่าเราทำตรงนั้นไม่ได้ ไปไม่ถึง ก็ยอมรับได้ ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย ไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง

25 ส.ค. 68 - ความไม่รู้ที่ควรรู้ : เราก็ต้องรู้จักแยกแยะให้ได้ว่า อะไรที่ควรรู้ อะไรที่ไม่ควรรู้ แล้วก็ไม่ควรเสียใจว่าเราไม่รู้อะไรเลย หรือไม่รู้อะไรมากมาย หรือกระหยิ่มยิ้มย่องว่าฉันรู้เยอะ มันไม่มีประโยชน์ถ้าสิ่งที่เรารู้นั้นมันเป็นขยะ ไม่มีประโยชน์ แล้วที่จริง อันนี้ก็คือวิสัยของบัณฑิต ปราชญ์ที่แท้ไม่ใช่เขารู้ทุกเรื่อง ไม่ใช่เขารู้มากมาย ปราชญ์ที่แท้คือคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร ซึ่งอันนี้ต่างจากเจ้าหญิง เจ้าหญิงนั้นไม่รู้ว่า ตัวเองไม่รู้อะไร แต่ปราชญ์ที่แท้เขา รู้ว่าเขาไม่รู้อะไร แล้วยิ่งรู้เยอะ เขาก็จะรู้ว่า โอ้โห สิ่งที่เขาไม่รู้นี้มีเยอะมาก ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ก็พบว่าความรู้ที่ตัวเองมีมันแค่ 10% หรือไม่ถึง 10% แล้วอีก 90% หรือ 99% คือ ตัวเองไม่รู้ พรมแดนแห่งความไม่รู้นี้ มันจะกว้างใหญ่ไพศาลมากสำหรับคนที่มีความรู้มาก พูดง่าย ๆ คือ ยิ่งรู้เยอะ ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรมาก อย่างที่นักปราชญ์แห่งเต๋า เล่าจื๊อ บอกว่า ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้ ผู้รู้ไม่พูด เพราะรู้ว่าตัวเองนี้ไม่รู้อะไรมากมาย ก็เลยรู้ว่าตัวเองไม่ได้เก่งกล้าสามารถอะไร ความไม่รู้ทำให้ตัวเองถ่อมตัว จึงไม่อยากโอ้อวด ไม่อยากสอน ส่วนคนที่ไม่รู้ก็คิดว่าตัวเองรู้เยอะแล้ว ก็เลยอยากจะพูด อยากจะสอน ดังภาษิตโคลงโลกนิติว่า รู้น้อยว่ามากรู้ เริงใจ กลกบเกิดอยู่ใน สระจ้อย ไป่เห็นชเลไกล กลางสมุทร ชมว่าน้ำบ่อน้อย มากล้ำลึกเหลือ กบนี่มันรู้น้อย แต่มันคิดว่ามันรู้มาก เห็นบ่อน้ำ ก็นึกว่าเป็นทะเลกว้างใหญ่ เพราะมันไม่เคยเห็นทะเล ถ้ามันเคยเห็นทะเล มันจะรู้ว่าบ่อที่มันอยู่นี้ เล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับทะเล แต่เพราะมันคิดว่ามันรู้มาก ฉะนั้นที่เล่าจื๊อพูดถูกแล้ว ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้ จะว่าไปแล้วคำตอบที่ตอบยากที่สุด คือคำตอบว่าไม่รู้ หลายคนจะพบว่าตอบคำว่าไม่รู้ นี่ยากมาก โดยเฉพาะครู หมอ พระ นักวิชาการ จะตอบยากมากหรือไม่ตอบเลยว่าไม่รู้ เพราะถ้าตอบแล้วเดี๋ยวคนเขาจะหาว่าเราไม่มีความรู้มากพอ เจ้าหญิงนิ่งอึ้งแทนที่จะตอบว่าไม่รู้ ก็เพราะกลัวว่าตอบไปแล้ว จะเสียภาพลักษณ์ความฉลาด

24 ส.ค. 68 - ธรรมนำใจให้พ้นทุกข์ : เมื่อไม่ยึดติดถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ ไม่ยึดว่ามันเที่ยง ไม่ยึดว่ามันเป็นสุข ไม่ยึดว่ามันเป็นของเรา ครั้นมันเสื่อมสลายหายไป ไม่เป็นดั่งใจ ก็ไม่ทุกข์ เพราะทุกข์เกิดขึ้น เนื่องจากมีความยึดติดถือมั่น พอมันไม่เป็นไปอย่างที่ยึดอย่างที่อยาก ก็เลยทุกข์ มันทุกข์เพราะความยึดความอยาก แต่พอไม่มีความยึดไม่มีความอยาก เพราะเห็นความจริงว่าไม่มีอะไรที่ยึดติดถือมั่นได้ ความทุกข์ใจก็ไม่เกิดขึ้น ความสูญเสียยังมีอยู่ แต่ความทุกข์ใจไม่มีแล้ว อันนี้ก็คือสิ่งที่เราจะประสบได้ ถ้าหากเราตระหนักว่า ความทุกข์ใจนี่มันไม่ใช่เพราะสิ่งอื่น เหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจเราแล้วถ้าเราดูแลรักษาใจให้ดี หรือฝึกใจให้ดี จนกระทั่งเหตุแห่งทุกข์มันตั้งอยู่ไม่ได้ ความทุกข์ก็ไม่อาจเกิดขึ้นกับจิตใจของเราได้ อาจจะเกิดขึ้นกับกาย เกิดขึ้นกับทรัพย์ เกิดขึ้นกับคนที่เราเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์ได้

23 ส.ค. 68 - เห็นนอกเห็นใน ใจปกติ : ถ้าเรากลับไปที่บ้าน เวลาทำอะไร ขณะที่ใช้ตา ใช้หู ขณะที่กำลังเคี้ยว ขณะที่กำลังขับรถ ขณะที่กำลังเดิน อย่าเห็นแต่ข้างนอก ให้เห็นข้างใน เห็นใจ เห็นอารมณ์ เห็นความคิดที่เกิดขึ้น ซึ่งอันนี้เป็นงานของสติ เพราะสติเปรียบเหมือนตาใน แล้วก็อย่าไปเผลอ ขณะที่เราดูกายหนึ่งดูใจ ก็อย่าไปจ้อง ไปเพ่ง หรือบังคับจิต เพื่อจะไม่ให้มันไปไหน เพราะถ้าทำเช่นนั้น เราก็จะเห็นแต่ข้างใน แต่ไม่เห็นภายนอก บางคนทำผิด ๆ ถูก ๆ แต่งตัวลืมรูดซิป เพราะว่าขณะที่ใส่เสื้อ ใส่กางเกง ก็เอาแต่เพ่งดูข้างในใจว่าจิตมันกระเพื่อม จิตมันคิดอะไรไหม จนกระทั่งลืมไปว่าไม่ได้รูดซิป อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะการเพ่ง เพ่งเข้าใน จนกระทั่งไม่รับรู้สิ่งที่กำลังเกี่ยวข้อง สิ่งนอกตัวที่กำลังเกี่ยวข้องอยู่ ก็เลยทำผิด ๆ ถูก ๆ ถ้าเรา รู้นอกหนึ่งรู้ใน ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ สติเราก็จะโตไว เวลามีความคิดที่ไม่ได้รับเชิญเกิดขึ้น ความลักคิดเกิดขึ้น โผล่มาตอนกลางคืนขณะที่กำลังเคลิ้มหลับ เห็นมันก็ไม่ไหลไปตามมัน มันมาแล้วก็ไป ไม่ได้ทำให้เราพัวพันกับมันจนตื่น จนนอนไม่หลับ พอมันมาแล้วก็ไป เราก็หลับได้ในที่สุด ไม่ใช่ว่าไม่มีความคิดเลย มันมี เหมือนกับมีแขกแปลกหน้ามาเรียกแต่ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะว่าเรามีสติเป็นเครื่องรักษาใจ

23 ส.ค. 68 - เห็นให้เป็น ก็ไม่เป็นทุกข์ : คำว่า “เห็น” มันมีความสำคัญมาก เห็นข้างใน ไม่ว่าจะเป็นความคิดอารมณ์ โดยเฉพาะตัวทุกข์ อารมณ์ทุกข์ที่เกิดขึ้น เห็นแล้วไม่ยึด เห็นแล้วไม่ผลักไส ไม่กดข่ม ใจก็จะพ้นทุกข์ได้ เห็นข้างนอกก็เช่นกัน ผู้คน สิ่งของ เห็นว่ามันเป็นตัวทุกข์ แม้มันจะทำความพอใจให้กับเรา แต่มันก็เป็นตัวทุกข์ที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ถ้าเราเห็นอย่างนั้นก็จะพ้นทุกข์ได้ เห็นข้างในด้วยสติ ทีแรกก็เห็นข้างนอกด้วยปัญญา ก็ช่วยทำให้เราพ้นทุกข์ได้ในที่สุด ฉะนั้นเราที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ก็อย่าคิดแต่ว่าได้ใกล้ท่านแล้วใจจะสงบเย็น เพราะนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว มีความสามารถในการเห็น เห็นโดยไม่เข้าไปเป็น แล้วก็เห็นทั้งข้างนอกและข้างใน รวมทั้งเห็นทุกข์ที่มันปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ทุกข์ในใจ แล้วก็ตัวทุกข์ข้างนอก เราก็จะพ้นทุกข์ได้ในที่สุด ก็ขอให้เราได้นำคำสอนของหลวงพ่อไปปฏิบัติ และเชื่อแน่ว่าถ้าเราเห็นอย่างที่หลวงพ่อได้สอน เราก็จะพ้นทุกข์ได้ในที่สุด

18 ส.ค. 68 - รักตัวต้องฝึกใจ : การเจริญสติสำคัญมาก ถ้าจิตของเราไม่มีสติ หรือไม่รู้จักฝึกฝนให้มีสติ เราก็แย่ ร่ำรวยแค่ไหน อายุยืนเพียงใด แต่สุดท้ายลงเอ่ยด้วยความทุกข์ กลัดกลุ้ม เศร้าโศกเสียใจ เวลาเจอสิ่งที่ไม่สมหวัง เวลาเจอความพรากสูญเสียจากคนรัก ของรัก เวลาเจอความเจ็บป่วย ถึงแม้ว่าจะไม่สนใจศาสนา แต่ถ้ารักตัว รักชีวิต ก็ควรจะใส่ใจกับเรื่องการฝึกจิตเอาไว้ มันมีประโยชน์ที่คุ้มค่ามาก แม้ว่าใหม่ ๆ จะทำไม่ได้ง่าย แต่ต่อไปจะให้ผลคุ้มค่า

14 ส.ค. 68 - อย่าเพลินในสุข อย่าปลื้มในโชค : เวลาเรามีความสุข ไม่ว่าสุขเพราะอะไรก็ตาม โดยเฉพาะสุขจากการเสพ หรือสุขจากการที่ประสบอิฏฐารมณ์ ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเอาไว้ อย่าเพลินในสุข มันมีก็ดีแล้ว แต่อย่าเพลิน อย่าหลงใหลกับมัน พอถึงเวลาที่มันเสื่อมไป ก็จะคร่ำครวญ โวยวาย หรือจมในทุกข์ นี่ต้องหมั่นเตือนใจอยู่เสมอ ฝึกใจให้มีสติเอาไว้ ให้มีสติรู้เท่าทัน เวลาเจอสิ่งที่ถูกใจ บางคนเก็บอาการไม่อยู่นะ โอ๊ย ดีใจ พูดจาคุยโม้ อารมณ์ดี อันนี้เรียกว่าเก็บอาการไม่อยู่ เพราะว่าเพลินในสุข แล้วก็ไม่รู้ตัวนะว่า เก็บอาการไม่อยู่ บางทีคุยจ้อเลย รู้จักเฉลียวใจบ้างว่า นี่เรากำลังดีใจ เห็นความดีใจอย่างที่เด็กคนนั้นว่า แล้วถึงเวลาที่ความเสียใจเกิดขึ้น มันก็ทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ เพราะเราเห็นมันซะก่อน

13 ส.ค. 68 - หมั่นสร้างเหตุ แต่อย่ายึดผล : เราทำได้คือการสร้างเหตุสร้างปัจจัย แต่ผลมันไม่อยู่ในอำนาจของเรา เราต้องแยกให้ถูก เราสามารถสร้างเหตุสร้างปัจจัยได้ แต่ผลไม่อยู่ในอำนาจของเรา แล้วเราก็ต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัยไปเรื่อย ๆ ด้วย ซึ่งต่างจากคนที่เชื่อในเรื่องของโชควาสนา หรือว่าการดลบันดาลของเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนที่เชื่อแบบนั้นไม่สนใจสร้างเหตุปัจจัยเลย ก็เอาแต่การอธิษฐาน ขอร้องทวยเทพ จะสร้างเหตุสร้างปัจจัยก็ไม่ทำ แต่การสร้างเหตุปัจจัยก็ต้องระวัง ว่าเราทำได้แค่นั้น คือ สร้างเหตุสร้างปัจจัย แต่ผลไม่อยู่ในอำนาจของเรา หน้าที่ของเราคือสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้มันดี เข้าใจเหตุปัจจัยว่า อะไรจะก่อให้เกิดผลอย่างที่ต้องการ แต่ทำแล้วมันก็อาจจะไม่เกิดผลอย่างที่ต้องการก็ได้ เพราะเหตุปัจจัยไม่ถึงพร้อม ซึ่งอันนี้เป็นทางสายกลาง ทางสายกลางระหว่างความเชื่อว่า ทุกอย่างควบคุมได้ กับความเชื่อว่าทุกอย่างเป็นความบังเอิญ แล้วแต่โชคชะตา แล้วแต่พรหมลิขิต แล้วแต่การดลบันดาล ชาวพุทธเรามีความเห็นที่อยู่ตรงกลาง ที่ว่าทางสายกลาง คือ ไม่ได้คิดว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องของโชคชะตา ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะทำอะไรได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้คิดว่า ทุกอย่างเราควบคุมได้หมด สิ่งที่เราทำได้คือสร้างเหตุสร้างปัจจัย แต่ผลเราควบคุมไม่ได้ เพราะถึงที่สุดแล้ว เหตุปัจจัยเราก็ไม่สามารถจะควบคุมทั้งหมดได้เหมือนกัน อันนี้เราก็ต้องระวังในมายาภาพ หรือความหลงที่ว่าเราควบคุมอะไรได้หากว่ามันออกมาจากมือไม้ของเรา ออกมาจากการเลือกของเรา อย่างนี้มันเป็นความหลงแบบหนึ่ง

12 ส.ค. 68 - เป็นพุทธอย่าลืมธรรม : เพราะอย่างนี้สิ่งสำคัญต้องย้ำก็คือว่า ธรรมะแสดงออกที่คำพูดและการกระทำ และแน่นอนว่าต้องมาจากธรรมะในใจด้วยและนี่ก็เป็นเหตุผลที่คนสมัยก่อนแม้จะนับถือพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้เรียกตัวว่าเป็นชาวพุทธ หรือพุทธศาสนิกชน แต่เรียกตัวเองว่าเป็นธรรมจารี ธรรมวิหารี เพราะเป็นการให้ความสำคัญกับธรรมะมากกว่ายี่ห้อ หรือภาษาสมัยใหม่เรียกว่าอัตลักษณ์ ต้องระวัง รักศาสนาแต่ว่าลืมธรรมะ อันนี้อันตรายมาก แล้วก็เป็นบาดแผล เป็นจุดอ่อนของศาสนาจำนวนมากที่ติดในยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็นคริสต์ อิสลาม แต่ว่าย่อหย่อนในธรรม พวกเราจะต้องไม่ไปหลงยึดติดในยี่ห้อ อย่าไปสำคัญมั่นหมายในความเป็นพุทธ แต่ให้ความสำคัญกับธรรมะที่เราปฏิบัติ อันนี้จะสำคัญกว่า

11 ส.ค. 68 - ทำดีทำไมในเมื่อไม่มีตัวกู : คำถามที่ว่า ในเมื่อไม่มีตัวกูแล้วปฏิบัติธรรมไปทำไม คำตอบมันก็ชัดอยู่แล้วว่า ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมถึงเวลาความทุกข์เกิดขึ้น มันก็จะมีความรู้สึกว่า กูทุกข์ ๆ อยู่ เพราะความสำคัญมั่นหมายว่ากูยังมีอยู่ ความสำคัญมั่นหมายเกิดจากการที่ยังมีอวิชชาครอบงำใจ เช่นเดียวกันกับในเมื่อไม่มีตัวกู แล้วทำไมเราไม่ควรกินเหล้า สูบบุหรี่ เพราะอะไร เพราะว่าถ้ากินเหล้าเยอะ ๆ สูบบุหรี่มาก ๆ พอเกิดความเจ็บความป่วยขึ้นมา จะรู้ว่ามีตัวกูหรือไม่มันก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเกิดความเจ็บป่วยกับร่างกาย เกิดมะเร็ง มะเร็งปอด มะเร็งตับ ตับแข็ง และตราบใดที่ยังไม่มีการเจริญสติ ไม่มีปัญญา มันก็ยังมีความสำคัญมั่นหมายว่า กู มี กู อยู่

10 ส.ค. 68 - เจออะไรใจก็นิ่งได้ : ความสุขที่แท้ คือจิตที่สงบ ที่ประกอบไปด้วยธรรม แม้ปัญญายังไม่มีมากพอ หมายความว่า พอเจอสิ่งที่ถูกใจก็เกิดความยินดี สิ่งเย้ายวนก็เกิดความเพลิดเพลิน พอเจอสิ่งที่ยั่วยุก็ทำให้เกิดความโกรธ สิ่งที่ไม่ถูกใจก็เกิดความหงุดหงิด ความหวั่นวิตก แต่ถ้ามีสติมันก็จะช่วยรักษาใจได้ อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ความอยาก ความกลัว ความโกรธมีขึ้นในใจ แต่ก็มีสติรักษาใจไม่ให้มันครอบงำ หรืออาจจะเผลอปล่อยใจจมเข้าไปในอารมณ์เหล่านั้น ก็มีสติดึงจิตออกมาจากอารมณ์เหล่านั้นได้ สุดท้ายมันจะเกิดความสงบขึ้นมา อันนี้จะว่าไปแล้วมันคือจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา ในมงคลสูตร 4 ข้อสุดท้ายนี้ก็เป็นเรื่องนี้แหละ จิตของผู้ใดอันโลกธรรมถูกต้องแล้ว ไม่หวั่นไหว ไร้ธุลีกิเลส เป็นจิตเกษมศานต์ ไม่โศกเศร้า นี้เป็นมงคลอันสูงสุด ถ้าคนเราถือว่านี่เป็นจุดมุ่งหมาย ก็ต้องพยายามไปให้ถึง แต่ถ้าเราไม่คิดว่านี่คือสิ่งที่วัดความก้าวหน้า เราก็ปล่อยใจไปตามอำนาจของสิ่งล่อเร้าเย้ายวน แล้วเราก็คิดว่าใคร ๆ เขาก็ทำกัน ใคร ๆ เขาก็ทำกัน ใคร ๆ เขาก็เป็นกัน คิดแบบนี้ก็ถือว่ามองข้ามศักยภาพที่เรามี เราสามารถจะทำได้มากกว่านั้น หรือเป็นได้มากกว่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่า สิ่งที่จะวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของเราคืออะไร คำตอบง่าย ๆ คือการรู้จักรักษาใจให้นิ่งสงบ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบ หรือไม่ว่าประสบกับอะไรก็ตาม

8 ส.ค. 68 - ยิ่งอยากหนี ก็ยิ่งเจอ : ธรรมดาคนป่วยก็อยากหาย แต่ความอยากหายที่ทำให้ป่วยได้นานขึ้น เพราะว่าพอไม่หายอย่างที่หวังก็เครียด ไม่พอใจ ความเครียดมันก็ทำให้การฟื้นตัวของร่างกาย หรือการหายจากโรคเป็นไปได้ช้าลง ของแบบนี้ถ้าไม่มีสติ มันก็ทำได้ยาก เพราะว่ามันอดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ความอยากเข้ามาครอบงำ ไม่ว่าจะอยากถูกหวย อยากหายจากโรคภัยไข้เจ็บ อยากหายจากความฟุ้งซ่าน อยากระงับความโกรธ อยากเลิกเหล้า พวกนี้ถ้าวางใจไม่เป็น มันกลับเป็นตัวซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้มากขึ้น มีสติรู้ทันความอยากนะ ความอยากมันก็ดีพาให้เรามาที่นี่ แต่พอลงมือปฏิบัติก็ต้องวางความอยาก อยากหายโกรธนี่เป็นเรื่องดี แต่ว่าพอพยายามฝึกใจให้มีสติ เพื่อจะรู้ทันความโกรธ ก็วางความอยากลง แล้วถ้าเราสามารถเอาชนะ หรือรู้ทันความอยากได้ รู้ทันความคาดหวังได้ มันก็จะมารบกวนจิตใจเราน้อยลง

7 ส.ค. 68 - ชีวิตที่ต้องมีตัวกวน : ถ้าจะว่าไปแล้วการที่มีความคิดปรุงขึ้นมา มันก็เป็นตัวป่วนตัวกวนอย่างหนึ่งซึ่งมีประโยชน์ ในการปฏิบัติธรรมเราต้องการตัวกวนตัวป่วน ต่างจากทางโลก ทางโลกพยายามหนี ใครที่คิดหนีสิ่งที่มาปั่นป่วนกวนจิตใจ แสดงว่ายังคิดแบบทางโลกมาก แต่ถ้าคิดแบบทางธรรมแล้ว กลับอยากจะให้มีมากๆ ถ้าไม่มีอาจารย์ ก็ทำหน้าที่เองเป็นตัวป่วนเสียเอง แล้วก็ทำให้ได้บทเรียน ถึงแม้ไม่มีอาจารย์มาคอยเป็นตัวกวนตัวป่วน แต่ในชีวิตประจำวันเราก็จะมีพวกนี้อยู่แล้ว เรียงหน้าเข้ามาเป็นระยะๆ สิ่งนั้นก็คืออนิฏฐารมณ์ หรือบางทีเราก็เรียกว่าทุกข์นั่นเอง ทุกข์ก็เป็นตัวป่วนตัวกวนที่มีประโยชน์มาก เหมือนกับเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกายแล้วทำให้เรามีภูมิคุ้มกัน บางทีเชื้อโรคไม่มีก็ต้องฉีดยาเข้าไป ยาในที่นี้คือการเอาเชื้อโรคเข้ามาในร่างกายเพื่อไปกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน นักปฏิบัติธรรมต้องมี ต้องเจอทุกข์ แล้วทุกข์นี้จะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันความทุกข์ ก็คือเกิดปัญญา เกิดสติ หลวงปู่กงมาท่านเคยพูดว่า ถ้ากลัวทุกข์ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ แต่ถ้าอยากพ้นทุกข์ก็ต้องเข้าหาทุกข์ แต่ก็อย่างที่บอก เราไม่จำเป็นต้องเข้าหาก็ได้ เพราะมันก็มาหาเราอยู่แล้ว แต่บางทีเราต่างหากที่หนีมัน หรือเรียกร้องที่จะไม่ให้มีสิ่งที่เป็นตัวกวนตัวป่วน แต่ถ้าเรายอมรับมันได้ ก็จะทำให้เราเติบโตได้ จนกระทั่งสามารถออกจากทุกข์ หรืออยู่เหนือทุกข์ได้

6 ส.ค. 68 - แม้ถูกกวนแต่ใจไม่ขุ่น : ที่จริงในชีวิตประจำวันก็มีสิ่งพวกนี้อยู่แล้วที่มากวนเรา ไม่ว่าจะเป็นแมลง อากาศร้อน เสียงดังจากข้างนอก หรือว่าพฤติกรรมที่น่ารำคาญน่าระอาของใครบางคนที่อยู่รอบตัวเรา หลายคนพอเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจก็โวยวายตีโพยตีพาย หารู้ไม่ว่านี่เป็นของดีที่เขามาฝึกใจเรา หนองป่าพงบางทีก็ไม่ค่อยมีสิ่งนี้ หลวงพ่อชาท่านก็เลยทำเสียเองเลย สวดปาฏิโมกข์ก็แกล้งให้สวดผิดสวดถูก ใครที่ภาคภูมิใจว่าสวดเก่ง พอเจอแบบนี้เข้าก็อายขายหน้า แต่ที่จริงแล้วแม้ใครมาแกล้ง แม้สวดไม่ดี ไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าหากไม่ไปหลงใหลเพลิดเพลินในความสำเร็จ นี่เป็นสิ่งที่เราต้องฝึกเอาไว้ ทำอะไรก็ตาม ทำเต็มที่แต่ว่าอย่าไปคาดหวังความสำเร็จ มีความสำเร็จก็แค่รู้เฉยๆ ถ้าไม่สำเร็จไม่มีคนชมก็รู้เฉยๆ เราทำดี ไม่มีคนเห็น ก็เฉย ใครชมเรา เราก็เฉย เพราะเรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ แล้วจริงๆ เราไม่ต้องรอให้ครูบาอาจารย์มากวนใจเราให้ขุ่น เพราะว่าจริงๆ แล้วมันมีสิ่งต่างๆ ที่จะคอยกวนใจเราอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าเราพยายามหลีกพยายามเลี่ยง แต่ถ้าเกิดว่าเรารู้จักเผชิญกับมันบ้าง แล้วมองว่าเขามาฝึกใจเรา ทำอย่างไรแม้จะมีสิ่งมากวนใจแต่ว่าใจไม่ขุ่นใจ ยังสงบได้ ถ้าทำได้อย่างนี้ถึงเรียกว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า แต่ถ้าใจสงบเพราะไม่มีอะไรมากวน พอมีอะไรมากวนเข้า ใจนี่ขุ่นมัวหงุดหงิดหัวเสีย แสดงว่าเรายังต้องฝึกอีก

5 ส.ค. 68 - เจออะไรไม่สำคัญเท่ากับมองมันอย่างใร : ความทุกข์เป็นสิ่งที่เราทุกคนหลีกหนีไม่พ้น ไม่ว่าร่ำรวยหรือยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ต้องพบกับความไม่สมหวัง รวมทั้งความพลัดพรากสูญเสีย ดูแลรักษาสุขภาพดีอย่างไร ก็ยังต้องเจ็บป่วย ตั้งใจทำงานเพียงใดก็ยังเจอความล้มเหลว ระมัดระวังเพียงใด ก็ยังต้องเสียทรัพย์ แต่ไม่ว่าจะเกิดเหตุร้ายอย่างไร ใจเราก็ยังสามารถเป็นปกติ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ เพราะความสุขนั้นแท้ที่จริงอยู่ที่ใจ ป่วยกาย แต่ใจไม่ป่วย เสียทรัพย์ แต่ใจไม่เสีย เป็นสิ่งที่เราทำได้ หาเกินความสามารถของเราไม่ ไม่ว่าเจออะไร ย่ำแย่แค่ไหน ก็ยังมีความสุขให้เราสัมผัส หรือพบได้แม้ในท่ามกลางความทุกข์ ดังมีพุทธภาษิตว่า “ผู้มีปัญญา แม้ประสบทุกข์ ก็ยังหาสุขพบ” ความสุขอย่างหนึ่งที่เราพบได้ในทุกหนแห่งก็คือความสุขที่ใจ ขอเพียงแต่เรารู้จักรักษาใจ หรือหันกลับมาดูแลใจ รวมทั้งคิดให้ถูก มองให้เป็น ก็พบความสุขได้ไม่ยาก

4 ส.ค. 68 - ฝึกใจให้เป็นนายความคิด : คำว่า รู้ มีประโยชน์ แต่ถ้า รู้งี้ ไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่มันมักจะเกิดขึ้นกับคนที่รู้แต่ไม่ทำ เพราะห้ามใจไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่ได้ฝึกใจ และถ้าฝึกใจไว้อยู่เสมอ แม้จะรู้ไม่มากแต่ว่าถ้าฝึกใจเอาไว้ รู้เท่าไหร่ก็ทำเท่านั้น มันก็ทำให้ชีวิตเลี่ยงทุกข์แล้วก็ประสบสุขได้ แต่รู้มากเพราะใช้ความคิดเยอะ ได้ยินได้ฟังมาเยอะ แต่ว่าไม่ได้ฝึกจิตเลย แล้วบางทีก็รู้ว่าควรจะฝึกแต่ว่ามันก็มีข้ออ้างในการไม่ฝึก ก็มักจะลงเอย จบไม่สวยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นนอกจากการฝึกหรือการรู้จักใช้ความคิดให้มีประโยชน์ รู้จักคุมความคิด ใช้ความคิดเพื่อกระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิตแล้วมันต้องฝึกด้วย ต้องฝึกจิต ฝึกให้มีสติ ฝึกให้มีความรู้สึกตัว ฝึกให้มีปัญญา ซึ่งจะช่วยทำให้ไม่ว่าคิดอะไร ใจก็จะไม่คล้อยตาม แล้วก็ช่วยทำให้กิเลส อวิชชา ครอบงำจิตใจเราน้อยลง และช่วยทำให้รู้จักพาใจไม่ให้ทุกข์ได้แม้จะเจอความทุกข์ คือความเจ็บ ความป่วย ก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย แม้กระทั่งตายก็มีแต่ความตายแต่ไม่มีผู้ตาย ไม่มีผู้ทุกข์

3 ส.ค. 68 - ทำดีแล้ว ทำใจด้วย : ถ้าหากว่ารู้จักเอาธรรมะพื้น ๆ นั้นมาใช้ นั่นก็คือการวางใจให้เป็น เช่น การให้อภัย การรู้จักมีเมตตากับคนที่เขาสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น อย่าปล่อยให้ใจมันเกิดความโกรธเกลียด เพราะถ้าเรานึกไปถึงชะตากรรมที่เขาต้องประสบในวันข้างหน้าอันเป็นผลจากการทำไม่ดีของเขา มันจะทำให้เรามีแต่ความสงสาร ความโกรธ ความแค้น ก็จะน้อยลง ยิ่งตระหนัก หรือมีสติระลึกว่า หรือเห็นภัยของความโกรธว่ามันมีแต่จะกัดกร่อนจิตใจเรา ถ้ารักตัวเอง ก็อย่าให้ความโกรธครองใจ ให้มีสติ รู้จักวางมันบ้าง หลายคนเจอปัญหานี้ไปไม่เป็น แม้จะรู้เข้าใจเรื่องอนัตตา เรื่องปรมัตถธรรม แต่มันรู้แค่หัว บางทีรู้ว่าไม่มีตัวกู-ของกู แต่พอเจอปัญหาแบบนี้นี่ก็จมอยู่ในความทุกข์ มันไม่ใช่เรื่องโลกุตตรธรรม มันเป็นเรื่องโลกียธรรม ซึ่งต้องรู้จักเอามาใช้เพื่อแก้ปัญหาชีวิตของตัว แก้ปัญหาจิตใจ และไม่ใช่แค่ความโกรธเกลียดพี่สาว ความน้อยใจพ่อแม่ก็เหมือนกัน ถ้าวางใจให้เป็น มองให้ถูก มันก็มีแต่ความเข้าอกเข้าใจเขา แล้วก็มันก็มีแต่การรู้จักปล่อย รู้จักวาง เพราะเห็นว่าจริง ๆ แล้วเหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจเรานั่นเอง คาดหวังให้เขาเห็นความดีของเรา คาดหวังว่าเขาควรทำสิ่งที่ถูกต้อง การไปคาดหวังคนอื่นมันมีแต่จะสร้างความทุกข์ เมื่อพบว่าเขาไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด อย่างที่เราคาด แต่เรามาปรับใจของเราดีกว่า วางใจให้ถูก มองให้เป็น มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทุกข์

2 ส.ค. 68 - เห็นธรรมในทุกสิ่ง : ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าหมายถึงอะไร หมายถึงทุกสิ่งเลย ทั้งที่เป็นความคิด อารมณ์บวกและลบ รวมทั้งเสียง รูป ที่เกิดขึ้น ถ้าเราเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้น ๆ อย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน แล้วทำเช่นนั้นบ่อย ๆ ก็จะเห็นธรรม เราจะเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ ก็เพราะมีสติ เมื่อเห็นธรรมะที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เห็นมันอย่างที่มันเป็น ปัญญาก็เกิด ปัญญา คือ ความเข้าใจความจริงของสรรพสิ่ง ฉะนั้นฝึกเอาไว้ เจออะไร ก็มองเห็นธรรมจากสิ่งนั้น นักดนตรีอย่างซานตาน่า เขาเห็นทำนองเพลงจากทุกสิ่ง แต่ว่าผู้ใฝ่ธรรมอย่างพวกเรานี้ ต้องหรือควรจะมองเห็นธรรมะจากทุกสิ่งได้ด้วย แล้วเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเราไม่เห็นธรรมจากทุกสิ่ง เราก็จะตกหลุมแห่งความทุกข์ได้ง่าย จะหลุดจากทุกข์ได้ ก็เพราะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรม ถ้าไม่เห็นมัน มันก็ทุกข์สถานเดียว

1 ส.ค. 68 - ผ้าขี้ริ้วสอนธรรม : ถ้าเรากลับมาดูตัวเองเราก็จะไม่ปล่อยให้กิเลสเหล่านั้น หรือสิ่งที่เป็นอกุศลของคนที่อยู่ข้างนอกหรือคนที่อยู่รายรอบเรา เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา เราก็ต้องรู้จักขัดเกลาตัวเองบ้าง ไม่ใช่ว่ายิ่งทำไปตัวเองก็ยิ่งแย่ จิตใจก็ตกต่ำดำมืด แล้วขณะเดียวกันถ้าดูตัวเองมันช่วยทำให้เรารู้จักขัดเกลาตัวเองด้วย ไม่ใช่ขัดเกลาแต่คนอื่น อย่างที่บอกผ้าขี้ริ้วมันทำความสะอาดให้กับทุกอย่าง แต่มันทำตัวมันเองให้สะอาดไม่ได้ เราไม่เหมือนผ้าขี้ริ้ว จิตใจเราสามารถจะขัดเกลาตัวเองได้ ถ้าเรารู้จักฝึกฝน กลับมามองใจอยู่เสมอ เราก็จะเห็นกิเลส เราก็จะรู้เท่าทันกิเลส ไม่ปล่อยให้กิเลสมันมาครองใจ ยิ่งเราขัดเกลาคนอื่นมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องกลับมาดูใจเรา อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ไปซึมซับรับเอาความไม่ดีของคนที่อยู่รอบ ๆ เราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของใจเรา ฉะนั้นการหมั่นมองตนมันก็จะทำให้เกิดทั้งความสุข ช่วยทำให้ความทุกข์จางคลาย และมันช่วยทำให้ความดีหรือกุศลธรรมในจิตใจเราก็ยังดำรงคงอยู่ เพราะไม่อย่างนั้นทั้ง ๆ ที่เราพยายามทำความดี อยากช่วยใครต่อใครมากมาย สอนคนโน้นคนนี้ แต่สุดท้ายเราต้องกลับแย่ลง ขัดเกลาคนอื่นได้มากมาย ถากคนอื่นมากมาย แต่ว่าลืมถากใจตัวเอง อันนี้ต้องระวังมากเลย อันนี้คือสิ่งที่คนที่ทำความดีทำประโยชน์ต้องระมัดระวัง เห็นผ้าขี้ริ้วแล้วก็เอามาเตือนใจว่า ตอนนี้ใจของเราหรือชีวิตของเราเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วหรือเปล่า เอาผ้าขี้ริ้วมาสอนใจ ก็จะทำให้เราสามารถจะทำประโยชน์ตนควบคู่ไปกับประโยชน์ท่านได้ หรือว่าทำประโยชน์ท่านโดยที่ไม่ได้ทิ้งประโยชน์ตน ขัดเกลาคนอื่นแล้วก็ขัดเกลาตัวเองไปด้วย

31 ก.ค. 68 - ใฝ่สร้าง อย่าใฝ่เสพ : ความสงบนี่เราต้องรู้จักสร้างให้เกิดขึ้นมาในใจ อย่าไปหวังพึ่งพาสิ่งแวดล้อม อย่าไปคาดหวังจากคนนั้นคนนี้ อย่าไปคาดหวังจากสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติ แต่พร้อมที่จะเอาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และเกิดขึ้นในใจเรา มาเปลี่ยนให้กลายเป็นความสงบ และไม่ใช่ความสงบอย่างเดียว กลายเป็นความสว่างด้วย จากความสงบกลายเป็นปัญญา จะทำอย่างนี้ได้มันต้องมีท่าทีแบบผู้ใฝ่สร้าง แต่ถ้ามาวัดด้วยท่าทีของผู้ใฝ่เสพ มันจะไม่มีความสุขเลย เดี๋ยวโน่นเดี๋ยวนี่ ไม่เห็นสงบ ไม่เห็นราบรื่น ไม่เห็นเรียบร้อยเลย เพราะว่าพอเจออะไรที่ไม่ถูกใจก็เป็นทุกข์ เหมือนกับคนที่ไปเที่ยวโรงแรม พอเจอเสียงดัง เจอพนักงานไม่เรียบร้อย ก็มีความทุกข์ อันนั้นก็ธรรมดาเพราะเขาไปเที่ยว ไปในฐานะผู้ใฝ่เสพ แต่เรามาวัดเราต้องมาในฐานะผู้ใฝ่สร้าง สร้างคือสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่ารอบตัวเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม

30 ก.ค. 68 - ค้นพบคุณค่าในตัวเอง : อย่าให้อารมณ์ที่เป็นลบเข้ามารบกวน แล้วก็อย่าไปเติมอารมณ์ลบๆ ให้กับใจด้วยการเสพสิ่งที่ไม่ดี มันอาจจะถูกใจ แต่จริงๆ แล้วมันถูกกิเลสมากกว่า แต่มันทำร้ายจิตใจของเรา สื่อรอบตัว ถ้าเราไม่รู้จักแยกแยะในการเสพ ก็เท่ากับเรากำลังเอายาพิษมาทำลายใจของเรา อันนี้ก็เป็นเรื่องยาก เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราแยกไม่ออกระหว่างสิ่งที่ถูกใจกับสิ่งที่ถูกต้อง ถูกใจจริงๆ มันคือถูกกิเลสนั่นเอง ส่วนสิ่งที่ถูกต้องมันไม่ถูกกิเลส แต่ว่ามันเกื้อกูลต่อจิตใจ เกื้อกูลต่อสุขภาพ ต่อความผาสุก เราจะรู้จักแยกแยะได้ก็ต่อเมื่อรู้จักหมั่นเฝ้าดูจิตใจ รับรู้ว่าเวลารับอะไรเข้าไป ใจเป็นอย่างไร เวลาคิดลบคิดร้ายใจเป็นอย่างไร เวลาคิดบวก ใจเป็นอย่างไร เวลาใจมันแบกทุกข์แบกอารมณ์ ใจเป็นอย่างไร เวลาใจปล่อยวาง มันเป็นอย่างไร เวลาช่วยเหลือคนอื่น ใจมีความสุขไหม แต่เวลาเราคิดแต่จะเอา ใจมันเป็นอย่างไร อาจจะถูกใจกิเลส แต่ลึกๆ เราก็มีความทุกข์ พวกนี้ต้องอาศัยการเฝ้าดูจิตใจ จะเฝ้าดูจิตใจก็ต้องมีเวลากับใจ อย่าปล่อยเวลาให้เพลิดเพลินกับความสนุกสนานชั่วครู่ชั่วคราว เพราะถึงเวลาที่เกิดทุกข์ เกิดความเจ็บป่วย เกิดความพลัดพรากสูญเสีย กิเลสไม่ได้ช่วยเราเลย มีแต่ซ้ำเติมเรา แต่ว่าใจที่ฝึกไว้ดีแล้ว จะช่วยให้ความทุกข์เบาบาง หรือสามารถจะพบสุขท่ามกลางความทุกข์ได้ อย่างที่พุทธเจ้าตรัสว่าผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ก็ยังหาสุขพบ

29 ก.ค. 68 - เตรียมการแล้วอย่าลืมเตรียมใจ : ถ้าฝึกจิตเอาไว้อยู่เสมอ เวลามีอะไรที่ไม่พอใจ ไม่ถูกใจมากระทบ ก็นึกถึงพุทโธเอาไว้ เวลาแม่ค้าพูดไม่ถูกหูเรา หรือว่าเอาอาหารที่เราไม่ได้สั่งมาให้ หรือสั่งแล้ว แต่ว่าเขาเอาอาหารที่ไม่ดี ไม่ถูกใจเรา แทนที่จะปล่อยให้ความหงุดหงิดไม่พอใจครองใจ เราก็มีสติรู้ทัน ฝึกจิตรับมือกับความไม่ถูกใจ กับความหงุดหงิดที่มันเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ถ้าฝึกจนคล่อง ถึงเวลาเจอใครมาต่อว่าด่าทอแรงๆ ซึ่งๆ หน้า สติมันก็มารับหน้าได้ทัน รับมือกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่มันจะกลายเป็นความโกรธ มันก็แค่เกิดอาการหวั่นไหวใจกระเพื่อม แล้วมันก็ดับไป ไม่กลายเป็นความโกรธจนลืมเนื้อลืมตัว เวลาเราจะทำอะไร การเตรียมการเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็อย่าลืมการเตรียมใจ และไม่มีการเตรียมใจอะไรที่ดีเท่ากับการฝึกใจ อย่าเตรียมแค่คิดเอา หรือนึกเอาจากการฟัง การจินตนาการเท่านั้น แต่ว่าต้องฝึกจากของจริงด้วย ควบคู่กับการฝึกในรูปแบบ

28 ก.ค. 68 - ห้ามทุกข์ไม่ได้ แต่ใจไม่ทุกข์ได้ : ถ้ามีสติ รู้ทันความกลัว ความกลัวนั้นก็ทำร้ายจิตใจไม่ได้ หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือว่า รู้ทันว่าใจเผลอคิดไป ใจมโนไป จินตนาการไป ฉะนั้นจะพาให้ใจหยุดมโน หยุดจินตนาการ ก็ด้วยการกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ด้วยการตามลมหายใจเข้าออก หรือทำความรู้สึกตัว หรือว่าสวดมนต์ เพื่อใจจะได้ไม่ไปมโน จินตนาการในสิ่งที่น่ากลัว พอใจไม่คิดถึงสิ่งที่น่ากลัว ความกลัวก็หายไป นี่เรียกว่ารู้ทันความคิด ซึ่งเป็นต้นตอของอารมณ์ ง่ายกว่าการไปรู้ทันอารมณ์ แล้วจะไม่หลงจมเข้าไปในอารมณ์ เช่น ความกลัว การรู้ทันความคิดมันง่ายกว่ารู้ทันอารมณ์ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่คุ้มกันใจไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้อารมณ์เหล่านี้มาทำร้ายจิตใจเราได้ แม้ว่าเราจะห้ามทุกข์ไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ แต่เรารักษาใจไม่ให้ทุกข์ ทำได้ ถ้าเรามีปัญญา หรือว่ามีสติ แต่ปัญญากับสติ ก็ต้องฝึกต้องสร้างเพราะว่าเป็นของใหม่ ถ้าใช้แต่ความคิด พอเกิดเหตุเข้า เอาไม่อยู่แล้ว ความคิด เหตุผล มันเป็นเรื่องสมอง มันต้องฝึกใจด้วย ฝึกใจให้มีปัญญา ฝึกใจให้มีสติ จึงจะเอาอยู่ได้ เพราะฉะนั้น ให้เรามั่นใจว่า แม้จะห้ามทุกข์ไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ แต่เราสามารถดูแลรักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้

27 ก.ค. 68 - อย่าหลงสมมุติจนลืมความเป็นมนุษย์ : อันนี้ต้องระวัง เพราะยิ่งมีความโกรธเกลียดเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีความเป็นมนุษย์น้อยลง อย่างเบิ้ม ไม่มีน้ำใจกับเพื่อนเลย มีความเป็นมนุษย์น้อยมาก แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาถูกปลูกฝังความโกรธเกลียดจากผู้ใหญ่ โดยที่ผู้ใหญ่ก็ไปติดสมมุติไม่ต่างจากเด็กอย่างเบิ้ม หรือเก้าด้วยซ้ำ ตอนนี้ต้องระวังมาก มันมีการกระตุ้นให้เราโกรธเกลียดกัน เพียงเพราะว่าคนละเชื้อชาติ คนละภาษา เพียงเพราะว่าเกิดคนละฟากของพรมแดน เส้นเขตแดน เท่านั้นก็ทำให้กลายเป็นศัตรูกันได้ ชาวพุทธเราต้องก้าวไปให้พ้นสมมุติพวกนี้ หรืออย่างน้อยก็รู้จักใช้สมมุติให้เป็นประโยชน์ ไม่ให้ยี่ห้อมันไปกลบความเป็นมนุษย์ ความเป็นเพื่อนของกันและกัน

26 ก.ค. 68 - ทุกข์เพราะความยึดมั่น : ความจริงเป็นเรื่องหนึ่ง ไม่สำคัญเท่ากับว่า เรารู้สึกอย่างไร ความรู้สึก หรือความสำคัญมั่นหมาย หรือจินตนาการนี่เอง ที่มันสามารถทำร้ายเราได้ แม้ว่าความจริงจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น การที่เรามารู้ทันความคิดปรุงแต่งในใจเรานี่ สำคัญมาก แม้เราจะยังไม่เห็นถึงขั้นว่า ไม่มีเรา ไม่มีของเรา แต่อย่างน้อย ก็รู้ทันความคิดปรุงแต่งหรือจินตนาการที่เกิดขึ้น เพราะถ้าไปยึดมั่นถือมั่น เผลอไปหลงเชื่อมัน ความคิดหรือความเชื่อนั้น มันก็สามารถทำร้ายเราได้ ความจริงเป็นอย่างไรนั้นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เราจินตนาการ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เรามโนนี่ อันนี้สำคัญกว่า มันสามารถจะสร้างความทุกข์ให้กับจิตใจเราได้ แต่ถ้าเรารู้ทันมัน รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา มันเป็นความคิดที่จินตนาการขึ้นมา แล้วเราก็ไม่หลงเชื่อมัน มันก็ไม่สามารถจะยัดเยียดความทุกข์ให้กับเรา ไม่ว่ากายหรือใจได้

25 ก.ค. 68 - ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์เพราะความคาดหวัง : คนเราทุกวันนี้มีความทุกข์มากเพราะความคาดหวัง หรือพูดอีกอย่างก็คือว่า ความจริงมันไม่สอดคล้องกับความคาดหวัง หรือความคาดหวังมันไม่สอดคล้องกับความจริง คนเราทุกวันนี้มีเงินมีทอง มีความสะดวกสบาย อยากจะดูหนังฟังเพลงเมื่อไหร่ก็ได้ อยากจะซื้ออะไรก็มีได้กิน ไม่ต้องออกไปไหน สั่งไลน์สั่งแกร็บมา แต่มีความทุกข์ใจมาก ความทุกข์ใจยิ่งกว่าคนรุ่นก่อน ทำไมในเมื่อมีเงินเยอะ มีความสะดวกสบายมาก แต่มีความทุกข์ใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่ามีความคาดหวังสูง ยิ่งมีเงินเยอะ ยิ่งมีความสะดวกสบายมาก ยิ่งเรียนสูง ยิ่งอ่านมากรู้มาก ความตั้งใจหรือความคาดหวังก็สูงขึ้นไปด้วย แล้วพอมันสูงเกินกว่าความจริง หรือความเป็นจริงที่ได้รับที่ประสบ ก็เลยเกิดความทุกข์

24 ก.ค. 68 - ฝึกใจให้เป็นนายความคิด : คนทุกวันนี้คิดเก่ง แต่ว่าวางความคิดไม่ได้ แล้วคิดเก่งจนกระทั่งไปหลงสำคัญผิดว่า เราใช้ความคิด แต่ที่จริงความคิดมันใช้เรา มันใช้เราให้คิดๆ ๆ จนไม่ได้หลับไม่ได้นอน จะนอนแล้วก็ยังคิด ในใจเราก็บอกขอนอนได้แล้ว หยุดคิดได้แล้ว มันบอกมันจะคิดต่อ ต้องคิด เป็นเรื่องสำคัญ เราเป็นพ่อเราก็ต้องห่วงลูก เราเป็นแม่ก็ต้องห่วงลูก เราเป็นเจ้านายก็ต้องคิดถึงเรื่องงานการ มันหาข้ออ้าง มันมีสาเหตุ มันมีข้ออ้างที่จะคิด แล้วเราก็หลงเชื่อมันก็เลยคิดไป สุดท้ายนอนไม่หลับ สุดท้ายมันก็ปั่นหัวเรา เราคิดว่าเราเป็นนายความคิด แต่ว่าความคิดนี่มันเป็นนายเรา มันปั่นหัวเรา ให้โกรธ ให้โมโห ให้เศร้า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเราไม่รู้ทันความคิด ความคิดมีประโยชน์ แต่เราต้องรู้จักใช้มัน แต่จะใช้มันได้นี่ต้องรู้จักมัน เท่าทันมัน แล้วก็รู้จักทักท้วงมันด้วย ไม่หลงเชื่อมันทุกอย่าง แต่การที่เราจะรู้ทันความคิดได้ ต้องทำเป็นขั้นตอน ขั้นตอนพื้นฐานคือให้มารู้กายก่อน กายเคลื่อนไหวก็รู้ ที่เรียกว่าเห็นกายเคลื่อนไหว ต่อไปพอรู้กายได้ดีต่อเนื่อง มันก็จะรู้ใจ อันนี้เรียกว่า เห็นกายเคลื่อนไหวรู้ใจคิดนึก เพราะฉะนั้นใหม่ๆ ก็อย่าเพิ่งไปสนใจที่จะไปรู้ทันความคิด แค่รู้กาย รู้สึกว่ากายเคลื่อนไหว เวลาเดิน เวลาสร้างจังหวะ เวลาทำกิจต่างๆ เอาเท่านี้ก่อน แล้วต่อไปมันก็จะเขยิบจากรู้กายเป็นรู้ใจ รู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แล้วรู้จักวางได้

23 ก.ค. 68 - ใช้กายช่วยใจให้มีสติ : การปฏิบัติโดยอาศัยกายนี้สำคัญมาก นอกจากการที่เราอาศัยกายเป็นครูอย่างที่พูดเมื่อวานแล้ว กายยังมีประโยชน์ในการฝึกจิต ไม่ใช่มีประโยชน์แค่ในแง่ที่ว่าพาให้เราเคลื่อนไหวไปมา เดินกลับไปกลับมา ยกมือกลับไปกลับมาเท่านั้นแต่ยังมีประโยชน์อย่างอื่นได้อีกหลายอย่าง ซึ่งล้วนแต่เป็นไปเพื่อทำให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา เริ่มตั้งแต่การทำให้ใจมีที่ตั้ง มีบ้าน ไม่ระเหเร่ร่อน ทำให้ใจมีงานทำ แล้วก็ทำให้มีตัวบ่งชี้ว่า ตอนนี้เรารู้สึกตัวอยู่หรือเปล่า รู้กายเมื่อไหร่ก็แสดงว่ารู้สึกตัวเมื่อนั้นไม่ต้องไปคลำหาที่ไหน ความรู้กายจะบอกเรา ต่อไปความรู้กายจะช่วยทำให้ใจที่หลง ใจที่ลอย ใจที่ไหลเข้าไปในความคิด มันกลับมารู้สึกตัว รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา เป็นตัวช่วยที่สำคัญ การปฏิบัติ การเจริญสติ สำหรับผู้มาใหม่ต้องอาศัยตัวช่วยเยอะ ตัวช่วยส่วนหนึ่งคือสถานที่ สถานที่ที่ไม่มีเสียงอึกทึก ไม่มีความวุ่นวาย แล้วก็ไม่มีสิ่งที่จะมาแย่งเวลาของเราจารการปฏิบัติ คือให้เราปฏิบัติได้เต็มที่ ไม่ต้องทำงาน มีเวลาให้การปฏิบัติ ไม่มีคนมาชวนคุย มีเวลาอยู่กับตัวเองมากๆ พวกนี้มันเป็นตัวช่วย แล้วตัวช่วยที่สำคัญก็คือกาย กายที่เอามาใช้เป็นเครื่องฝึกจิต กายที่เอามาเป็นตัวบ่งชี้ว่า เราปฏิบัติได้ก้าวหน้าเพียงไหน แล้วยังเป็นตัวที่ช่วยเตือนสติ หรือสะกิดใจให้กลับมารู้เนื้อรู้ตัว พวกนี้ถ้าเราใช้เป็นมีประโยชน์มาก นี่ไม่ใช่แค่ทำตามรูปแบบ แต่มันมีความหมายของมัน ฉะนั้นเรื่องกายกับใจจึงเป็นเรื่องที่แยกจากกันไม่ออก การฝึกกาย การใช้กายเพื่อฝึกใจ ใช้ให้เป็น ใจเราก็จะเจริญเติบโต มีสติ มีความรู้สึกตัวได้ไว

22 ก.ค. 68 - ฝึกใจโดยเอากายเป็นครู : ใครที่ปฏิบัติด้วยความอยาก อยากให้มีสติไว ๆ อยากให้รู้ทันความคิดเร็ว ๆ จะยิ่งมีสติช้า เท่านั้นไม่พอ มีความเครียดด้วย หลายคนทำแล้วเครียด ไม่ใช่เพราะวิธีการผิด แต่เพราะวางใจผิด คือทำด้วยความอยาก อยากเอาชนะความหลง อยากมีสติ อยากได้ความสงบ ความอยากพวกนี้ ล้วนแต่เป็นอุปสรรคทั้งนั้น จะทำให้ได้ดีต้องทำแบบไม่มีความอยาก ทำเล่น ๆ เหมือนกับเวลาเราเล่นหมากฮอส เราเล่นหมากรุก เราเล่นไพ่ ถ้าเราไม่ได้อยากชนะ บางทีเราเล่นได้ดีแล้วก็เพลินด้วย ดังนั้นการปฏิบัติ หลักก็คือ อย่าทำด้วยความอยาก ทำเล่น ๆ อย่าเพิ่งเอาคุณภาพ เอาปริมาณไว้ก่อน ทำใหม่ ๆ เอาปริมาณไว้ก่อน เอาปริมาณคือว่า ทำเยอะ ๆ ไว้ก่อน ถ้าเอาคุณภาพจะท้อ เพราะว่ามันหลงแทบจะทั้งวันเลย ทำไปหนึ่งพันครั้ง รู้สึกตัวแค่ครั้งสองครั้ง ถ้าเอาคุณภาพจะท้อมากเลย แต่ถ้าเอาปริมาณ มันไม่ท้อ มันก็ทำไปเรื่อย ๆ อันนี้เป็นหลัก เป็นเคล็ดลับในการปฏิบัติสำหรับผู้ใหม่ คือทำเล่น ๆ ทำโดยไม่อยาก วางความคาดหวังลง ไม่เอาคุณภาพ แต่เอาปริมาณไว้ก่อน

19 ก.ค. 68 - ใจเป็นมิตรเพราะชีวิตมีธรรม : คนที่เข้าใจเรื่องธรรมะนี้ เขาจะแม้จะรู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย แต่ก็ดูแล แล้วก็ดูแลอย่างถูกต้อง คือไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่กระเทือนถึงใจ แม้ทรัพย์จะหาย แม้ร่างกายจะป่วย ทั้ง ๆ ที่ดูแลดีแล้ว แต่มันก็ป่วยแต่กาย เสียแต่ทรัพย์ แต่ใจไม่ป่วย ใจไม่เสีย นี่แหละธรรมะ สำคัญตรงนี้แหละ ทำให้เราสามารถจะรักตัวเองได้อย่างแท้จริง คือนอกจากไม่ไปหาเรื่องใส่ตัวแล้ว เวลาเจออะไรมากระทบก็ไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง หรือแม้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่มโน ไม่ปรุงแต่ง จนกระทั่งเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ ทั้งหมดนี้สรุปง่าย ๆ คือว่า ธรรมะทำให้เรามีใจเป็นมิตร มีจิตเป็นเพื่อน อย่างแท้จริง และแม้จะไม่มีใครเหลือเลย ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทรงคุณค่ามาก คือการมีมิตรอยู่ในเรือนใจ

18 ก.ค. 68 - ถูกต้องดีกว่าถูกใจ : ต้องรู้จักทำใจเวลาเจอความไม่ถูกต้อง อย่างน้อยก็รักษาใจเอาไว้ อย่าให้ความถูกต้องของคนอื่นกลายเป็นความไม่ถูกใจในตัวเรา หรือทำให้เราพาลทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องออกไป ในนามของการสร้างความถูกต้องให้เกิดขึ้น มันเป็นบทเรียนสำคัญ ไม่ใช่เฉพาะสำหรับนักกีฬา แต่เป็นบทเรียนสำคัญของการดำเนินชีวิตในโลก เพราะว่ามันเป็นธรรมดา มันเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น เพราะฉะนั้นเรื่องความถูกใจกับความถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ใฝ่ธรรมหรือผู้ใฝ่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ต้องเข้าใจแล้วปฏิบัติให้ถูก การยึดในความถูกต้องเป็นสิ่งดี แต่บางทีมันก็ไม่ง่าย เพราะใจมันจะไหลไปทางสิ่งที่ถูกใจแต่ไม่ถูกต้อง แต่แม้เราจะดูแลใจเราให้ดีแล้ว ใช้ชีวิตในทางที่ถูกต้อง ก็ต้องระวัง อย่าไปยึดมั่นในความถูกต้องมาก เพราะถ้าเรายึดมั่นในความถูกต้องมาก พอเจอความไม่ถูกต้องมัน มันจะกลายเป็นความไม่ถูกใจขึ้นมาทันที แล้วทำให้ใจเราเผลอ เกิดอาการที่ไม่ถูกต้อง ก็จะทำให้เกิดพฤติกรรมทั้งการกระทำและคำพูดทีไม่ถูกต้องตามมาด้วย และบางทีมันไม่ถูกต้องยิ่งกว่าสิ่งที่เราเห็นจากคนอื่นได้ซ้ำ

17 ก.ค. 68 - ปราการสองชั้นรักษาใจ : เราต้องพยายามสร้างปราการชั้นที่สองให้เกิดขึ้น แล้วต่อไปก็พัฒนาไปสู่การสร้างปราการชั้นแรก หมายความว่า พอเจออะไรมากระทบ แต่ใจไม่กระเทือนแล้ว แต่ก่อนใจกระเทือน หมายถึงมีอารมณ์ มีความหวั่นไหว แต่ความหวั่นไหวทำอะไรจิตใจไม่ได้ แต่ตอนหลังเจออะไรมากระทบ แต่ก็ไม่โกรธ ไม่เกิดความยินดียินร้าย จิตใจสงบนิ่งอยู่ได้ แม้ว่ายังมีเสียงดัง แม้ว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ชอบ การกระทำคำพูดที่ไม่ถูกใจ พฤติกรรมการกระทำของคนบางคนก็ไม่น่ารัก เห็นแก่ตัว สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่เสมอ ห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือรักษาใจไม่ให้เป็นทุกข์ เพราะว่ามีปัญญา จนกระทั่งไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเกลียดเกิดขึ้น หรือถึงปัญญายังอ่อนอยู่ มีความโกรธ มีความเกลียด แต่ความโกรธ ความเกลียดก็ทำอะไรไม่ได้ ยังมีความทุกข์อยู่ แต่ความทุกข์ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรจิตใจไม่ได้เพราะเห็นมัน เพราะมีปราการด่านที่สอง ก็พยายามสร้างเอาไว้นะ เจริญสติกันให้มากๆ มีสติ มีความรู้สึกตัว แล้วมันจะช่วยรักษาใจได้

16 ก.ค. 68 - จากจริยธรรมสู่สัจธรรม : การที่เราจะเห็นสัจธรรมความจริงนี่ มันก็เห็นได้จากการเห็นธรรมชาติของใจว่ามันไม่ใช่เรา แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเผลอ เราขาดสติ ก็ไปยึดความคิด ความหงุดหงิด อารมณ์กลับมาเป็นเรา เราโกรธ เราหงุดหงิด เราเศร้า เราเครียด เราดีใจ เราเสียใจ มันมีเราเป็นเจ้าของอารมณ์ต่างๆ แต่เมื่อเราเจริญสติถึงจุดหนึ่ง มันจะเห็นความคิดและอารมณ์นี้ไม่ใช่เรา มันแค่เกิดขึ้นในใจ อาศัยใจเป็นที่เกิด ตอนนี้แหละที่เราจะรู้แล้วว่า ความคิดไม่ใช่เรา อารมณ์ไม่ใช่เรา ต่อไปก็จะเห็นความปวดความเมื่อยไม่ใช่เรา แต่ก่อนปวดทีไร เมื่อยทีไร ก็กูปวดกูเมื่อย แต่ตอนหลังเห็นแล้วความปวดก็อันหนึ่ง ใจก็อันหนึ่ง ความปวดไม่ใช่เรา ความเมื่อยไม่ใช่เรา แล้วสุดท้ายก็จะเห็นความทุกข์นี่ก็อันหนึ่ง ความทุกข์ไม่ใช่เรา ความทุกข์เกิดขึ้นกับกาย ความทุกข์เกิดขึ้นกับใจ แต่มันก็เป็นทุกข์กาย ถ้าเห็นแค่เป็นความทุกข์กาย ไม่ยึดว่าเป็นเรา ไม่ยึดว่าเป็นเราทุกข์ ใจมันก็ไม่ทุกข์ ส่วนใหญ่ทุกข์กายแล้วใจมันทุกข์ด้วย เพราะไม่ได้มองว่ากายมันทุกข์ แต่มองว่ากูทุกข์ กูปวด กูเมื่อย ใจก็เลยทุกข์ไปด้วย ตรงนี้แหละที่มันทำให้เราเขยิบเข้าใกล้สัจธรรม เห็นความจริงเห็นสัจธรรมว่าไม่ใช่เรา ตอนหลังก็จะเห็นว่าแม้กระทั่งรูปก็ไม่ใช่ เราร่างกายนี้ก็ไม่ใช่เรา แต่ก่อนนี่มันเป็นดุ้นเป็นก้อน แต่ตอนหลังก็เห็นว่ารูปไม่ใช่เรา เวลาเดินจงกรมไม่ใช่เราเดิน แต่มันเป็นรูปที่เดิน เวลานั่งไม่ใช่เรานั่ง แต่มันเป็นรูปที่นั่ง แต่ก่อนรูปทำอะไร กายทำอะไร ก็ไปเหมาว่ากูทำๆ หมด กูนั่ง กูเดิน กูโกรธ กูคิด แต่ตอนหลังนี่ไม่ใช่แล้ว มันเห็นว่าเป็นรูปที่นั่ง เป็นนามที่คิด อันนี้แหละที่หลวงพ่อคำเขียนท่านใช้คำว่าถลุง แต่ก่อนก้อนแร่มันเป็นก้อน แต่พอถลุงมันก็แยกออกมาเป็นดีบุกบ้าง เป็นทังสเตนบ้าง แต่ก่อนเราเห็นตัวเราเป็นก้อนๆ เรียกว่ากู แต่พอปฏิบัติไปๆ มันเห็นเป็นรูปเป็นนาม คือแยกก้อนนี้ออกมาเป็นรูปและนาม ที่เขาเรียกแยกรูปแยกนาม จริงๆ แล้วคือว่าแยกเป็นรูป แยกเป็นนาม หรือว่าเห็นเป็นรูป เห็นเป็นนาม มันไม่มีตัวกูแล้ว แต่ก่อนเห็นเป็นก้อนๆ ก้อนนี้คือกู แต่พอปฏิบัติธรรมเจริญสติไป มันเห็นความจริงแล้วว่าไม่มีตัวกู มันมีแต่รูปกับนาม ก้อนที่เรียกว่ากูนี่ มันแยกออกมาเป็นรูปกับนาม นี่ที่หลวงพ่อคำเขียนท่านใช้คำว่าถลุง ถลุงนี่ใช้กับก้อนแร่ ถลุงให้มันแยกออกมาเป็นแร่ชนิดต่างๆ แต่ก้อนที่เรียกว่ากูนี่ มันแยกออกมาได้แค่ 2 คือรูปกับนาม ตรงนี้แหละที่เราเริ่มเห็นสัจธรรมแล้ว เห็นสัจธรรมความจริงว่ามันไม่มีกู มันมีแต่รูปกับนาม มีแต่กายกับใจ ก่อนหน้านั้นก็เห็นว่ามันไม่มีกูที่เดิน มันมีแต่รูปที่เดิน มันไม่ใช่กูที่ปวด ไม่ใช่กูที่โกรธ แต่เป็นความโกรธ ความปวดที่เกิดขึ้นกับใจ เกิดขึ้นกับกาย พยายามปฏิบัติให้เห็นตรงนี้แหละ จากจริยธรรม ฝึกจิต มันก็จะพัฒนาไปสู่การเห็นสัจธรรมความจริงของกายและใจ และถ้าทำไม่ถึงตรงนี้ ได้แต่ความสงบ มันยังไม่พอ มันต้องเกิดความสว่าง คือเห็นความจริงของกายและใจ ว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีกูเป็นเจ้าของรูป ไม่มีกูเป็นเจ้าของนาม เพราะมันไม่มีกูตั้งแต่ต้นแล้ว ฉะนั้นการเจริญสติ เป็นการเชื่อมระหว่างจริยธรรมกับสัจธรรม แต่ถ้าหากว่าทำไปไม่ถึงสัจธรรม ก็แสดงว่ายังทำได้ไม่ครบถ้วน ก็ต้องทำต่อไป

15 ก.ค. 68 - ทุกข์พาไปพบธรรม : ความทุกข์มีประโยชน์ สามารถที่จะทำให้เกิดศรัทธาได้ โดยเฉพาะเวลาเจอทุกข์ที่เงินทอง ชื่อเสียง อะไรต่ออะไรแก้ไขไม่ได้ บรรเทาไม่ได้ แต่ทำให้คนเกิดศรัทธาในพระธรรม เพราะว่าเป็นทางรอดทางเดียวแน่นอน ทุกข์สำหรับบางคนมันพาให้เข้าหาอบายได้ คนที่มีความทุกข์เศร้าโศกก็ไปหาเหล้า ไปหายาเสพติด แต่ว่าทุกข์ก็สามารถทำให้เกิดศรัทธาได้ โดยเฉพาะเมื่อพบว่าหนทางทางโลกไม่สามารถจะบรรเทาทุกข์ได้เลย มันมีแต่จะซ้ำเติมให้หนักขึ้น ถึงตอนนั้นแหละก็จะพบว่าธรรมะช่วยได้ เกิดศรัทธาขึ้นมา แล้วพอได้สัมผัสกับธรรมก็จะเกิดปราโมทย์ ปราโมทย์คือความเบิกบานใจ นำไปสู่ปิติ อิ่มเอิบใจ นำไปสู่ปัสสัทธิ ความผ่อนคลายกายและใจ และเกิดสุขขึ้นมา ทุกข์สามารถผ่านไปให้เกิดสุขได้ผ่านศรัทธา ปราโมทย์ ปิติ ปัสสัทธิ ดังนั้นจะว่าไปทุกข์ก็เป็นของดี แต่ทั้งหมดนี้มันต้องเริ่มต้นจากศรัทธาในธรรม แล้วทุกข์สามารถจะพาให้เราเข้าหาธรรมได้ หรือว่าจะพาให้เราได้เจอธรรม ธรรมที่ว่านี้คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งจะช่วยทำให้ออกจากทุกข์ได้อย่างรวดเร็วเวลาเราเจอทุกข์ มันสามารถจะเป็นของดีที่เกิดขึ้นกับเราได้ ถ้าเรารู้จักมอง หรือใช้ให้เป็น

14 ก.ค. 68 - มองเหตุผิด ชีวิตย่ำแย่ : คนเราถ้าหากว่ามองไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์ว่าแท้จริงมันอยู่ที่ใจ มันก็จะโทษคนโน้นคนนี้ แม้กระทั่งโกหกหาเหตุ ขนาดเป็นพระนะ แล้วก็ผู้ที่ถูกฟ้องก็คือพระสารีบุตร เป็นถึงขนาดนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าไม่รู้ทันกิเลสในใจตัว เรื่องนี้สำคัญมาก การที่เราสามารถจะหาเหตุแห่งทุกข์ที่แท้ได้ มันอยู่ที่ใจเรา ไม่ใช่อยู่ที่ภายนอก ทุกข์กายก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้าทุกข์ใจ เหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะมีความทุกข์เมื่อเกิดเสียงดัง เมื่อมีใครมาพูดวิจารณ์ หรือเมื่อมีใครไม่ทักไม่ทาย หรือเมื่อมีคนมองหน้าด้วยสายตาเหยียดหยาม ทั้งหมดนี้ไม่ทำให้เราทุกข์ได้เลย ถ้าใจเราเป็นอีกแบบหนึ่ง ก็คือว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่สนใจ ไม่คาดหวัง แต่เพราะไม่เห็นตรงนี้ ไม่รู้เท่าทันกิเลส มันก็เลยเกิดความทุกข์ขึ้นมา เกิดความทุกข์แล้วยังไปโทษสิ่งนอกตัวอีก การที่เรารู้ว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรานี้ มันสำคัญ เพราะนอกจากทำให้เราแก้ทุกข์ได้ถูกต้องแล้ว ต่อไปเวลาเจอทุกข์ที่มันไม่ได้มีคนอื่นมาเกี่ยวข้องเลย ไม่มีเสียงดังมากระทบ ไม่มีใครมามองหน้า ไม่มีใครมาพูดจาเยาะเย้ย แต่มันเกิดความทุกข์ เพราะร่างกายเกิดแก่ชรา เกิดเจ็บ เกิดป่วย หรือกำลังจะตาย คนที่เขารู้ว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจ เขาจะอยู่กับความแก่ ความเจ็บ ความป่วย ความตายได้ โดยที่ไม่ทุกข์ แต่คนที่ไปมองว่าทุกข์มันอยู่นอกตัว ถึงเวลาที่ไม่รู้จะไปโทษใคร เพราะว่าความแก่ ความเจ็บ ความป่วย มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ มันไม่ต้องมีใครมาทำให้เราแก่ มาทำให้เราป่วยก็ได้ ถ้าไม่รู้ตรงนี้ มันก็จะไม่มีทางที่จะยกจิตให้เหนือทุกข์ได้เลย เพราะไม่คิดที่จะแก้ทุกข์ที่ใจตั้งแต่แรก แต่ถ้ามาฝึกแก้ทุกข์ที่ใจตั้งแต่แรก ต่อไปเวลาเจอทุกข์ เพราะเป็นธรรมดาของสังขาร ความแก่ ความเจ็บ ความป่วย รวมทั้งความพลัดพราก จนกระทั่งความตาย ใจก็ยังเป็นปกติอยู่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องการเข้าใจเหตุแห่งทุกข์ หรือ สมุทัย นี้สำคัญมาก แล้วกรณีของรติกา มันชี้ให้เห็นเลยว่า ถ้าหากว่ามองเหตุแห่งทุกข์ผิดพลาด ชีวิตนี้ก็ย่ำแย่ แล้วก็กวาดเอาชีวิตของคนอื่นตามไปด้วย

12 ก.ค. 68 - มาวัดเพื่ออะไร : แต่ถ้าเกิดว่าเรามาฝึกฝนตน มาฝึกสติ มาฝึกทำความรู้สึกตัว รวมทั้งมาสร้างปัญญาให้เกิดความเข้าใจ ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ในสัจธรรมของโลก เวลาเจออนิฏฐารมณ์แบบนี้ เราสามารถที่จะวางใจให้เป็นกลางได้ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่บ่นไม่โวยวาย หรือรักษาใจให้ปกติ ไม่ผลักไส รวมทั้งรู้จักปล่อยวางได้ หากว่ามันเป็นเรื่องราวในอดีตก็ปล่อยมันไป หากว่ามันยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่เอามาคิดคำนึง อันนี้คือการสร้างความสงบให้เกิดขึ้นที่ใจ ไม่ใช่มารอหาความสงบ ซึ่งอาจจะไม่พบก็ได้ เพราะถึงแม้สถานที่สงบแต่ใจว้าวุ่น อย่างไรมันก็ไม่สงบอยู่นั่นเอง แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักสร้างความสงบด้วยการฝึกจิตอย่างที่ว่ามา แม้สิ่งแวดล้อมภายนอกจะวุ่นวาย แม้จะมีสิ่งไม่ถูกใจเกิดขึ้น ใจก็สงบได้ และนี่เป็นผลของการมาฝึกฝนตน การมาวัดเพื่อฝึกฝนตน ดีกว่าการมาวัดเพื่อหาความสงบเยอะเลย ให้เราเข้าใจตรงนี้ แล้วถ้าเราเข้าใจตรงนี้ ไม่ว่าเราเจออะไร ไม่ว่าในวัดหรือนอกวัด เป็นอารมณ์แบบไหน ก็กลายเป็นของดีทั้งนั้นในการฝึกตน ให้เรามีความชำนิชำนาญในการรับมือกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ อะไรเกิดขึ้นรอบตัว การกระทำคำพูดของใคร ก็ไม่ทำให้ใจหวั่นไหวหรือกระเพื่อมขึ้นมาได้ เพราะว่าเรามีสติ เรามีความรู้สึกตัว ในการที่จะช่วยทำให้จรรโลงใจ ประคองใจให้มีความสงบได้

11 ก.ค. 68 - ทำไมควรอธิฐานเข้าพรรษา : คือมันเป็นโอกาสนะเข้าพรรษา ถ้าหากว่าเราอยู่กันในวัดมันก็ยิ่งง่ายเพราะว่าใคร ๆ เขาก็ทำ มีสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องอำนวย สิ่งแวดล้อมนี่ไม่ใช่หมายถึงวัด ไม่ใช่หมายถึงสถานที่สงบอย่างเดียว แต่หมายถึงผู้คนที่เขาก็ทำเหมือนเรา มันก็ช่วยน้อมใจเราให้ทำสิ่งที่ตั้งใจหรืออธิษฐานเอาไว้ได้ แต่ถ้าใครที่ไม่ได้อยู่วัด ต้องกลับไปบ้าน ถ้าอธิษฐานอะไรไว้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้สำเร็จ ก็ต้องมีหมู่คณะช่วยเตือน ช่วยให้กำลังใจ อย่างที่บอกเมื่อเช้า ก็ประกาศให้เพื่อนรู้ว่า พรรษานี้ ฉันอธิษฐานอย่างนี้ จะงดกาแฟ จะงดใช้โทรศัพท์ หรือว่าจะจำกัดการใช้โทรศัพท์ จะออกกำลังกายทุกวัน วันละ 10 นาที จะนั่งสมาธิ เจริญสติ วันละ 20 นาทีก็ว่าไป ไม่ต้องเยอะ แล้วไม่ต้องมาก เพราะมากแล้วมันทำได้แค่ 2-3 วันแรก หลังจากนั้นก็แผ่ว สู้ตั้งไว้ไม่สูงแต่ทำได้ทุกวัน แต่ถ้ามันง่ายไปก็ทำให้มันยากขึ้นหน่อย เพราะไม่งั้นความเพียรหรือกำลังใจที่เข้มแข็งมันก็จะไม่เกิดขึ้น อันนี้คือความหมายของการอธิษฐาน ซึ่งมันไม่ควรจะหมายถึงแค่อธิษฐานพรรษา คือการอยู่จำพรรษาที่วัดครบ 3 เดือน แต่รวมถึงอธิษฐานที่จะทำบางสิ่งบางบางอย่างในพรรษาด้วย ไม่ว่าเราจะอยู่วัดหรือว่าอยู่บ้านก็ตาม โอกาสดี ๆ แบบนี้มันมาแค่ปีละครั้ง แล้วครั้งนึงก็ไม่นาน เป็นโอกาสที่จะช่วยให้ความใฝ่ธรรมมีกำลังเหนือกิเลส เพราะว่าคนเราบางทีก็ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อม ต้องอาศัยเวลาในการช่วยกระตุ้นความเพียร หรือให้กำลังแก่ใจที่ใฝ่ธรรมด้วย ฉะนั้นก็ขอให้เราเข้าใจว่าทำไมการอธิษฐานพรรษาจึงจำเป็น แล้วทำไมเราควรจะนำเอาการอธิษฐานนี้ไปใช้กับชีวิตของเราในพรรษาที่มาถึงแล้ว

10 ก.ค. 68 - บุญกับธรรมนำชีวิตให้พ้นทุกข์ : แล้วต่อไป เราต้องพร้อมที่จะออกไปหาหรือเข้าหาสิ่งที่ไม่ถูกใจ เราจะเสพแต่สิ่งที่ถูกใจ จะเจอแต่คนที่ถูกใจเราไม่พอ เราต้องออกไปเจอกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ อย่ารอให้มันมาหาเรา บางทีเราต้องเข้าไปหามัน ไปเจอความยากลำบาก ไปเจอคนที่น่าระอา การกระทำคำพูดของเขาไม่ถูกใจเรา แทนที่จะหนี แทนที่จะหลบ ก็ต้องเดินเข้าหา เพื่อจะได้ศึกษาและฝึกฝนจากการกระทบที่เกิดขึ้น เวลามีความหงุดหงิด ความโมโห เราจะรู้ทันมันได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรไม่ให้มันครองใจ จะอยู่แต่ในที่สบาย ต้องไปในที่ไม่สบายด้วย เจอแดดร้อนเจอฝนตก เพราะว่าชีวิตเราจะเจอแต่สิ่งที่ถูกใจเป็นไปได้ยาก เราต้องเจอกับสิ่งที่ถูกใจและไม่ถูกใจ และพอเราอายุมากขึ้นๆ เราจะเจอความไม่ถูกใจบ่อยมาก เพราะเราพบกับความแก่ชรา พบกับความเจ็บป่วย คนที่แก่ชรา คนที่เจ็บป่วย สิ่งที่ไม่ถูกใจมันมากกว่าสิ่งที่ถูกใจ ไม่เหมือนตอนหนุ่มตอนสาว เราจะมีกำลังวังชาในการแสวงหาสิ่งที่ถูกใจ หาสิ่งที่เอร็ดอร่อย หาความสุข มีแรงหนีสิ่งที่ไม่ถูกใจไปหาสิ่งที่ถูกใจ แต่พอแก่ตัว มันจะเจอกับสิ่งที่ไม่ถูกใจเยอะกว่าสิ่งที่ถูกใจ เพราะว่าความไม่ถูกใจมันอยู่กับเนื้อกับตัวเลย ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง มีทุกขเวทนา เคล็ดขัดยอก นอนไม่หลับ กินก็ลำบาก อย่ารอให้แก่ก่อนแล้วค่อยทุกข์ เพราะถึงตอนนั้นทำบุญอย่างไรก็ไม่หายทุกข์หรอก เพราะมันแก่เสียแล้ว เพราะมันป่วยเสียแล้ว แต่ถ้าเรามีธรรมะ เราจะรับมือกับมันได้ อยู่กับความแก่อย่างไรใจไม่ทุกข์ อยู่กับความเจ็บป่วยอย่างไรใจไม่ทุกข์ แล้วจะอยู่ได้อย่างไร ก็เพราะฝึกจากการที่ได้เข้าไปเจอกับความยากลำบาก เจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ ใหม่ๆ อาจจะเป็นความไม่ถูกใจล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องกาย แต่ต่อไปก็ลองไปเจอกับสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์กายด้วย แล้วเราก็จะได้เรียนรู้ว่า จะรักษาใจอย่างไร จะทำใจอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์

9 ก.ค. 68 - รู้ธรรมต้องนำไปปฎิบัติด้วย : สิ่งที่ชาวพุทธเราควรจะใส่ใจก็คือการปฏิบัติให้มาก เอาความรู้ที่มี ความรู้ทางธรรม ไม่ว่าจะเป็นไตรลักษณ์ อริยสัจ 4 ปฏิจจสมุปบาท มาปฏิบัติกับชีวิตประจำวันของตัว มาฝึกหัดขัดเกลาให้มีสติ ให้มีความรู้สึกตัว พร้อมที่จะเจอกับการกระทบ ใครมากระทบจิตก็ไม่กระเทือน เพราะว่าเอาธรรมะที่รู้มาปฏิบัติ การศึกษาธรรมนี่พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนกับการจับงูนะ หลายคนไม่รู้ นึกว่าอสรพิษหมายถึงเงินอย่างเดียว ที่จริงการศึกษาธรรมหรือธรรมะก็เปรียบเหมือนอสรพิษด้วย ศึกษาธรรมนี่เหมือนกับการจับงู ถ้าจับผิดก็โดนงูกัด ศึกษาธรรมถ้าศึกษาผิดก็เกิดโทษ เช่น ศึกษาธรรมเพื่อลาภสักการะ เพื่อไปอวดคน เพื่อจะได้ข่มคน หรือเพื่อที่จะไปอวดใครต่อใคร เหมือนกับไปจับงู ก็โดนงูกัด เพราะจับงูผิด

8 ก.ค. 68 - ทุกข์เป็นก็ไม่เป็นทุกข์ : ทุกข์เป็น ถ้าอยากทุกข์เป็นก็ต้องรู้จักฝึก ฝึกจากทุกข์นี่แหละ และเวลาอยากจะสุขก็เอาสุขนี้เป็นเครื่องฝึก เราเจอสุขบ่อย ๆ เราก็เอาสุขนี้มาเป็นเครื่องฝึกเพื่อให้สุขเป็น ถ้าไม่ฝึก สุขไม่เป็นเมื่อไหร่ มันก็จะทุกข์ไม่เป็นเมื่อนั้น มันเป็นสิ่งที่ฝึกได้ เช่นเดียวกันมีให้เป็น ใหม่ ๆ ก็มีไม่เป็น คือมีแล้วยึด พอยึดแล้วมันก็เกิดทุกข์ขึ้นมา เพราะว่าเสีย พลัดพราก มันก็สอนให้เรามีให้เป็น เพราะถ้ามีไม่เป็นธรรมชาติจะลงโทษเรา ทุกข์อยู่เรื่อยไป เพราะว่ามีกับหมดเป็นของคู่กัน ได้กับเสียเป็นของคู่กัน ถ้าไม่ฝึกมีให้เป็นตั้งแต่วันนี้ ต่อไปก็จะเป็นทุกข์เพราะมีไม่เป็น ที่เรามาปฏิบัติธรรมก็เพื่อทำให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นเดิน เริ่มต้นจากการเดินให้เป็น กินเป็น อาบน้ำเป็น ต่อไปก็คิดเป็น ทำงานเป็น ต่อไปก็สุขเป็น ทุกข์เป็น แล้วก็มีเป็น เป็นอะไรก็เป็นให้ถูก เพราะรู้ว่าถ้าไปยึดมั่นในสิ่งที่เป็น มันก็เกิดภพ เกิดชาติ เกิดชรามรณะตามมา สุดท้ายแล้วก็จะได้เข้าใจว่า ไม่เป็นอะไรกับอะไร มันหมายความว่าอย่างไร ไม่เป็นเจ้าข้าวเจ้าของกับอะไรเลย ไม่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับสิ่งใดเลย แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เพราะรู้ว่าที่เป็นมันสมมุติ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เป็นคน เป็นนาย ก. เป็นผู้ชาย เป็นคนเก่ง เป็นพระ พวกนี้สมมุติทั้งนั้น เป็นโดยไม่เป็น ตรงนี้แหละที่มันเรียกว่าอยู่เหนือภพชาติ แล้วก็อยู่เหนือชรา มรณะ แล้วก็อยู่เหนือทุกข์โทมนัส เพราะฉะนั้นก็ฝึกเอาไว้ เรามาฝึกใหม่ตั้งแต่สิ่งพื้นฐาน คือเดิน ยืน นั่ง นอน กิน จนกระทั่งมาเป็นสุขหรือทุกข์ เราก็เป็น สุขเป็น ทุกข์เป็น มีเป็น

7 ก.ค. 68 - ดูแลใจอย่าให้ตัวกูครอบงำ : คนเรานี้ทำได้เพื่อชื่อเสียงเพื่อความดัง ทีแรกไปคิดว่าความดันเป็นของกู ชื่อเสียงเป็นของกู ใครมาทำให้ชื่อเสียงด่างพลอยไม่ได้ ใครมาวิจารณ์กูไม่ได้ ต้องโกรธ แต่ตอนหลังเรากลายเป็นของมัน ยอมตายเพื่อมันได้ ถ้าไม่ตายเพื่อมัน ก็ฆ่าคนอื่นตายเพื่อมัน ทำเพื่อให้ได้เป็นซัมบอดี้ นี่ก็เป็นตัวอย่างที่สุดโต่ง แต่ว่าคนทั่วไปถ้าไม่ระวัง มันก็จะเป็นทุกข์ได้ถ้ายอมให้ตัวกูนี้มันครองใจหรือมันผยอง เถลิงอำนาจในใจเรา จะหมดทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อรื้อบ้านทั้งหลัง ถอนความยึดมั่นในตัวกู อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเป็นปฐมภาษิต ไม่มีตัวกูเกิดมาก่อกวนจิตใจ แต่ถ้ายังทำไม่ได้อย่างน้อยก็รู้ทันมัน ไม่ปล่อยให้มันครองใจ ยังรื้อบ้านไม่ได้อย่างน้อยก็พยายามมุ่งบังให้บ้านแน่นหนา ก็หมายความว่ารักษาใจให้หนักแน่น มีสติมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาใจไม่ให้กิเลสหรือความยึด มั่นสำคัญหมายว่าตัวกูนี้มาครอบงำใจ ยังมีอยู่แต่ว่ามันไม่สามารถจะครอบงำใจได้ ก็ช่วยทำให้ทุกข์น้อยลง เวลาใครมาต่อว่าด่าทอก็ไม่คับแค้นเสียใจมาก เวลาสูญเสียเงินทองไป ก็ไม่กลัดกลุ้มกังวล เพราะไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าเป็นของกู ปล่อยวางมันได้ อันนี้เพราะมีสติ แล้วก็เพราะมีปัญญา ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเอง มันต้องฝึก ต้องสร้างขึ้นมา ให้เราตระหนักเอาไว้ว่า ตราบใดที่เรายังไม่มีปัญญารื้อบ้านทั้งหลังออกมาได้ อย่างน้อยก็มุงบังบ้านให้มันดี ก็คือ ทำรักษาจิตให้มั่นคงหนักแน่นเอาไว้ ไม่ให้กิเลสอวิชชาเข้ามาครอบงำ หรือถึงครอบงำก็รู้ทัน แล้วก็ปล่อยวางหรือว่ายกจิตออกมาจากอำนาจของมันได้

6 ก.ค. 68 - มีสัญชาตญาณออกจากความหลง : คนที่เป็นโรคซึมเศร้า โรคประสาท เขาหลงเป็นวันเลย หรือบางทีก็ถ้าคนธรรมดาก็อาจจะหลงเป็นชั่วโมง แต่ถ้าเราหลงแค่ 4 วินาที แล้วกลับมารู้สึกตัว อารมณ์ความคิดที่เป็นอกุศลจะทำร้ายเราได้น้อยมาก ฉะนั้นการที่คนเราจะหลงให้สั้นลงนี้ มันทำได้ มันไม่ใช่เป็นเรื่องของการวิวัฒนาการ แต่เป็นเรื่องของการฝึกฝน จริงอยู่เราไม่สามารถจะตื่นได้ทั้งวัน มันก็มีบางช่วงที่เราหลับ แต่ช่วงที่เราตื่นถ้าเราหลงน้อยลง หลงให้สั้นลง เราก็จะทุกข์น้อยลงด้วย คนเราถ้าโกรธ โกรธไม่ถึง 4 วินาที แล้วกลับมารู้สึกตัว กลัวก็กลัวแค่ 4 วินาที แล้วกลับมารู้สึกตัว เราจะมีความสุขได้มากเลย จะไม่ให้หลงเลย ทำได้ยากปุถุชนอย่างเรา แต่เราสามารถจะทำให้ความหลงสั้นลงได้

5 ก.ค. 68 - ใช้ชีวิตเพื่อเตรียมจิตให้พร้อมตาย : ถ้าประสบการณ์ของเรา มันไม่ใช่เป็นแค่การหาเงินหาทอง ทำมาหากิน การหาความเพลิดเพลินสนุกสนาน แต่ประสบการณ์ส่วนหนึ่งของเรา เป็นประสบการณ์เพื่อการทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล รวมทั้งการฝึกจิตฝึกใจ มันก็จะช่วยตระเตรียม ให้เรามีความพร้อมในการรับมือกับความตายด้วยใจสงบได้ต้องถือว่าเราเกิดมาทั้งชีวิตนี่ ก็เพื่อการเตรียมพร้อม สำหรับการรับมือกับความตาย ในวาระสุดท้ายที่มาถึง บางคนเข้าใจว่า ชีวิตที่มีอยู่ มีไว้เพื่อความสนุกสนาน เพื่อการเสพสุข ใช้ชีวิตให้เต็มร้อย นั่นเป็นการคิดแบบประมาท ลองเปลี่ยนมาพิจารณาว่า ชีวิตที่่มีทั้งหมดของเรา ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว เป็นโอกาสในการ ตระเตรียมให้พร้อม สำหรับการจากโลกนี้ไปด้วยใจสงบ มันจะทำให้เราไม่ใช้ชีวิตเหมือนเดิม แล้วเมื่อเวลามานั้นมาถึง เราก็จะพูดได้ว่า ประสบการณ์ที่ผ่านมา มันคือสิ่งที่ตระเตรียมให้เรามีความพร้อม ในการรับมือกับความตายที่กำลังมาถึง

4 ก.ค. 68 - ยกจิตเหนือชอบเหนือชัง : เราไม่สามารถจะบังคับทุกอย่างให้มันถูกใจเราได้ แต่เราสามารถที่จะยกจิตให้อยู่เหนือสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ เหนือในที่นี้หมายความว่า ไม่ยินดียินร้ายไปกับมัน อันนี้ก็เรียกว่า ถ้าเราเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามสภาวะที่เป็นจริง มันก็เท่ากับว่าเราได้เข้าสู่วิปัสสนาภูมิแล้ว หรือเราก็พยายามใช้การเจริญวิปัสสนา เพื่อมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ให้ฝึกแบบนี้บ้าง อย่าเอาแต่ความสงบ อย่าเลือกหาแต่สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ถูกใจ ให้เรารู้ว่า จริง ๆ แล้ว เป็นเพราะการให้ค่าในทางบวก จึงมีความสุขเมื่อเจอสิ่งนั้น มันก็ไม่ต่างจากหมาที่แทะกระดูก หมามันเอร็ดอร่อยในการแทะกระดูกโดยที่ไม่รู้เลยว่า ที่จริงแล้วความเอร็ดอร่อยนี่ไม่ได้อยู่ที่กระดูกเลย มันอยู่ที่น้ำลายของมันมากกว่า น้ำลายของมันเองที่ทำให้เกิดความเมามัน เกิดความมันในการกัดกระดูก ไม่ใช่เพราะเนื้อกระดูก เพราะมันไม่มีเนื้อในกระดูกแล้ว แต่ที่อร่อยเพราะน้ำลายของมัน สิ่งต่าง ๆ ที่เราเห็นแล้วเกิดความสุข นี่ก็เพราะการปรุงแต่งให้ค่าในใจเรามากกว่า เพราะสิ่งนั้นที่เราเสพ ที่เรามี มันก็เป็นกลาง ๆ ของมันนั่นเอง

3 ก.ค. 68 - รื้อถอนความเจ็บปวดที่ฝังใจ : ตอนหลัง พอลล่านี้ก็กลับกลายเป็นคนใหม่ ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย เป็นคนไม่น่ารัก เกิดความเชื่อมั่นในตัวเองขึ้นมา เพราะว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้มาในอดีต มันถูกลบล้างไปหมด อันนี้มันก็ชี้ให้เห็นว่า คนเรามีความสามารถในการลบภาพจำ หรือสิ่งที่ได้เรียนรู้มาในอดีตได้ คนเรา ถ้าหากว่าไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ มันก็จมอยู่ในความทุกข์ ก็เหมือนกับหมาตัวนั้น มันระแวงคนอย่างไร ก็ระแวงอย่างนั้นมา ทั้งที่มันก็อยากอยู่ใกล้คน แต่มันก็ทำไม่ได้ เพราะว่ามีอะไรบางอย่างฉุดรั้งมันเอาไว้ สิ่งนั้นคือความทรงจำหรือภาพจำในอดีต แต่คนเราทำได้มากกว่านั้น เราเรียนรู้ แล้วเราไม่ได้เรียนรู้แต่ของเดิม เราเรียนรู้ของใหม่ และสิ่งที่เรารู้ใหม่ก็สามารถที่จะลบล้างหรือทับความรู้เดิมได้ ถ้าคนเราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เราก็แย่ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็คือการเห็นความจริงใหม่ แล้วก็สามารถที่จะทับความรู้หรือความเข้าใจเดิม ๆ ได้ แต่ก่อนคิดว่าทุกอย่างเป็นตัวเป็นตน แต่ตอนหลังพบว่า จริง ๆ แล้ว มันไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตน ยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเราได้เลย อันนี้เป็นการทับความรู้ หรือความเข้าใจเดิม ๆ จนกระทั่งสามารถเป็นอิสระได้ แต่คนเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเห็นถึงขนาดนั้นก็ได้ เพราะแม้ยังมีความเข้าใจเรื่องตัวเรื่องตนอย่างปุถุชนอยู่ แต่ว่าภาพจำในอดีตที่มันทำให้เจ็บปวด มันก็สามารถที่จะรื้อถอนได้ อยู่ที่ว่าเราจะรู้วิธีหรือเปล่า หรืออยู่ที่ว่าเราจะขวนขวายมากพอหรือเปล่า

24 มิ.ย. 68 - ทุกข์หลุดเพราะหยุดปรุงแต่ง : ถ้าเราเอาใจมาอยู่กับปัจจุบัน มีสติมีความรู้สึกตัว มันจะเห็นเลย เหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริงมันอยู่ที่ข้างใน ไม่ใช่อยู่ที่ข้างนอก ไม่ใช่อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา เรียกรวม ๆ ว่า เป็นเพราะการปรุงแต่ง รวมไปถึงการให้ค่าการปรุงตัวกูขึ้นมาพอเรารู้ตรงนี้แล้ว การที่จะออกจากทุกข์มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก จิตมันสามารถหลุดจากทุกข์ได้ ถ้ามันหยุดปรุงแต่ง หยุดปรุงแต่ง แม้กระทั่งมีความโศกความเศร้าเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่ไปยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา มันก็ไม่ทุกข์ แต่เพราะไม่มีความรู้สึกตัว หรือเป็นเพราะว่าไม่ได้รู้ซื่อ ๆ รู้ว่ามี แต่ว่าไปให้ค่าว่าเป็นลบ มันก็เลยทุกข์ รู้ว่ามี แต่ไม่พอเท่านั้น ไปปรุงแต่งว่า ความโกรธเป็นเรา เป็นของเรา เป็นกู เป็นของกู ความปวดเป็นกู เป็นของกู ปรุงแต่งตัวกูขึ้นมา มันก็ทุกข์ ไม่ใช่แค่ทุกข์กายอย่างเดียว นี่เรียกว่าทุกข์มีเพราะว่าปรุงแต่ง และแน่นอน ทุกข์มันก็หลุดได้ ถ้าหยุดปรุงแต่ง ต้องทำความเข้าใจเรื่องปรุงแต่งให้ดี ๆ แล้วเราจะเห็นชัดก็ต่อเมื่อเรามีสติ มีความรู้สึกตัว รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจคิดนึก มันก็จะเห็นการปรุงแต่งที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ ในชั้นที่ลึกลงไป ลึกลงไป เรื่อย ๆ แล้วก็จะรู้คำตอบ ว่าออกจากทุกข์ได้อย่างไร ก็คือหยุดปรุงแต่ง หยุดปรุงแต่งด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว ด้วยการรู้ซื่อ ๆ มันก็ทำให้หยุดปรุงแต่งได้ พอหยุดปรุงแต่ง ทุกข์ก็พลอยหลุดไปด้วย นี่คือสิ่งที่เราควรจะใคร่ครวญ ถ้าหากว่าเราฝึกพาจิตอยู่กับปัจจุบันอยู่เสมอ

23 มิ.ย. 68 - ทุกข์เพราะไม่รู้จักอนิจจัง : ความไม่เที่ยง อนิจจัง ซึ่งมันสอนเราอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น ถ้าเราหมั่นศึกษาตรงนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็จะเป็นการตอกย้ำ ให้เราระลึกถึงความไม่เที่ยง พอเราเอาความไม่เที่ยงขยายไปยังสิ่งต่าง ๆ นอกตัว มันก็ช่วยทำให้เราลดความยึดมั่นถือมั่นน้อยลง พอลดความยึดมั่นถือมั่นน้อยลง เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่าอะไร ๆ ก็ไม่เที่ยง พอความไม่เที่ยงแสดงตัวออกมา มันก็ไม่ทุกข์ แต่ข้อสำคัญคือ ต้องรู้ชัดก่อนว่า ที่เราทุกข์ไม่ใช่เพราะความไม่เที่ยง แต่ทุกข์เพราะไม่รู้จักความไม่เที่ยง เพราะไม่เข้าใจเรื่องกฎอนิจจัง ถ้าเข้าใจแจ่มแจ้ง มันช่วยให้พ้นทุกข์ได้ คนโบราณจึงเรียกว่า พระอนิจจัง เหมือนกับที่เรียกนิพพานว่าพระนิพพาน เป็นของสูงทีเดียว เพราะช่วยทำให้คนพ้นจากทุกข์ได้ ไม่ใช่ว่าพ้นจากความสูญเสีย ความสูญเสียก็ยังมีอยู่ แต่ว่าสูญเสียไปแล้ว ใจก็ไม่ทุกข์ คนรักก็ยังตายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูงมิตรสหาย ลูกหลาน ก็ยังตาย แต่ว่าแม้ตาย ใจก็ไม่ทุกข์ เพราะว่าเตือนใจตัวเองไว้แล้วว่าเราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น หรือว่ายิ่งถ้าเกิดเห็นแจ้งกระจ่างชัดในกฎอนิจจัง มันไม่ต้องย้ำเตือนตัวเอง มันเห็นเอง แล้วก็สามารถที่จะอยู่กับโลกอนิจจังได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์