เสียงบรรยายธรรมของหลวงพ่อไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ (จัดทำโดยลูกศิษย์)
15 เม.ย. 68 - เหตุผลของลูก ความทุกข์ของแม่ : คนสมัยก่อนเขาบอก ชีวิตมันสั้นต้องรีบทำความดี อันนี้แหละคือตรรกะที่ถูกเพราะว่าถ้าเราทำความดีมันไม่ใช่แค่ทำให้เราไปสู่สุคติ ถึงแม้ไม่เชื่อว่าจะมีสุคติในภพหน้าแต่อย่างน้อยการทำความดีก็ช่วยทำให้เมื่อจะตายนี่มันไม่ทรมาน เพราะคนเราไม่ได้ตายแบบปุบปับหรือปิดสวิตช์ ต้องใช้เวลากว่าจะตาย แล้วในช่วงนั้นถ้าไม่เตรียมใจมันก็จะมีความทุกข์ทรมานมาก แต่ถ้าเราฝึกจิตเอาไว้ ทั้งทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล แล้วก็ฝึกเจริญมรณสติ รวมทั้งเจริญสัมมาสติด้วย ก็ทำให้เรารับมือกับความทุกข์ก่อนตายได้ แต่ถ้าเกิดว่าเอาแต่ช้อปปิ้ง เอาแต่เที่ยวสนุกสนาน ถึงเวลาป่วยหนักแล้วก็ยืดเยื้อหลายเดือนหรือหลายอาทิตย์ ไม่มีวิชาความรู้ ไม่มีวิชาที่จะรับมือกับความทุกข์ก่อนตายเลย มันจะทรมานมาก ยังไม่ต้องพูดว่าตายแล้วจะไปไหน แต่เดี๋ยวนี้มันก็เป็นตรรกะ ตรรกะที่จะเรียกว่าเป็นมิจฉาตรรกะก็ได้ เพราะมันเป็นเหตุผลของกิเลส ชีวิตนี้สั้น ไม่จีรัง อีกไม่นานก็ตาย เพราะฉะนั้นเสพสุขให้เต็มที่ดีกว่า หรือว่าทำชั่วก็ได้ เพราะตายไปแล้วก็จบ อันนี้ก็เป็นมิจฉาตรรกะ หรือจะเรียกว่าเป็นตรรกะวิบัติก็ได้ แล้วคนก็คล้อยตามเพราะดูมันเป็นตรรกะดี ชีวิตนี้สั้นฉะนั้นเสพสุขให้เต็มที่ ก็ดูเหมือนว่ามีเหตุมีผลแต่ไม่เป็นเหตุผลของกิเลส มันเป็นเหตุผลจำพวกเดียวกัน ในเมื่อพ่อแม่ให้กำเนิดเรามา เพราะฉะนั้นต้องเลี้ยงดูเราให้มีความสุขเต็มที่ แทนที่จะมองว่า เออ พ่อแม่กำเนิดเรามา เพราะฉะนั้นควรจะขอบคุณ ควรจะสำนึกในบุญคุณของพ่อแม่ แต่เขาไม่คิดแบบนี้กันแล้ว แต่นี่ก็ธรรมดา ก็ต้องชี้ให้เห็นว่ามันเป็นตรรกะที่ผิดพลาดอย่างไร ไม่ใช่ตอบโต้ด้วยการด่า มันไม่มีประโยชน์ แต่ต้องหักล้างด้วยเหตุด้วยผล ด้วยการชี้ให้เห็นว่ามันเป็นเหตุผลที่มีแต่จะทำให้เกิดโทษกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
14 เม.ย. 68 - สำเร็จแต่ไม่มีความสุข : อันนี้ก็เป็นบทเรียนคนที่ต้องการความสำเร็จในอาชีพการงาน ต้องการสร้างอาณาจักร คิดว่าถ้าร่ำรวย มีชื่อเสียง แล้วจะมีความสุข อันนี้มันเป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เพราะว่าอย่าว่าแต่ความล้มเหลวเลย แม้สำเร็จก็ไม่ใช่มีความสุข ไม่มีความสุขเพราะว่าความสำเร็จที่ว่านี้มันไม่ให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง เงินทอง ชื่อเสียง และมิหนำซ้ำต้องมีความทุกข์ ทุกข์กับการรักษา ทุกข์กับการรักษาความสำเร็จเอาไว้ ทุกข์กับการรักษาสมบัติหรืออาณาจักรที่สร้างเอาไว้ มันก็เหมือนกับคนมีเงิน มีเงินก็ไม่ได้มีความสุขหรอก เงินไม่ได้ให้ความสุขที่แท้จริง แถมยังต้องทุกข์กับการรักษา แล้วรักษาอย่างไรก็รักษาไม่ได้ เพราะมันต้องเสื่อมไปตามหลักอนิจจัง พอมันหายไปก็ทุกข์ เรียกว่าสุขชั่วคราวแต่ทุกข์ยาวนาน อันนี้มันก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจผู้คน แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมเรียนรู้ เพราะคิดว่านั่นเป็นเรื่องของเขา แต่ถ้าเป็นฉันมันจะไม่เป็นอย่างนั้น แต่พอประสบความสำเร็จจริง ๆ ก็อาจจะพบว่ารู้งี้ ไม่ทำอย่างที่เป็นก็ได้ เหมือนอย่างที่เดวิทท์บอกอยากจะพังทุกอย่างแล้วก็เริ่มต้นใหม่ แต่ทำไม่ได้แล้ว คนเราถ้าหากว่าไม่เจอ ไม่มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง บางทีก็ไม่เข้าใจ กว่าจะเรียนรู้ก็สายไปแล้ว แทนที่จะเอาเวลาไปทำสิ่งที่มีค่า พบกับความสุขที่แท้จริง กลับไปเจอกับความสุขปลอม ๆ อย่างที่ธอโรบอกว่า โศกนาฏกรรมของชีวิตก็คือการที่เพียรพยายามทั้งชีวิตเพื่อจะจับปลา แต่ปรากฏว่ามันไม่ใช่ปลาที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริง ได้มาก็จริงแต่ว่าไม่มีความสุข นี่ยังไม่นับประเภทว่าล้มเหลวไม่ได้มา อันนั้นยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ ถ้าวางไม่เป็น
13 เม.ย. 68 - เตรียมพร้อมรับความตายอยู่เสมอ : การเจริญสตินี้มันก็ช่วยเราได้ เราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ ตายเพราะอะไร แต่ถ้าเกิดว่าจะต้องตายเพราะเหตุที่ปัจจุบันทันด่วน สติก็จะช่วยเราได้ ช่วยคุ้มครองใจเราไม่ให้ตื่นตระหนก แล้วก็เมื่อถึงเวลาที่จิตดับ ก็ไปสุคติ อย่างคุณยายท่านนี้แม้ว่าจะตายแบบกะทันหัน แล้วก็ตายแบบไม่สวยในสายตาคนทั่วไป แต่ก็เชื่อว่าคุณยายน่าจะไปดี เพราะว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คุณยายได้ฟังธรรมะแล้วก็เตือนใจตัวเองว่าให้ว่าความตายไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ากลัว ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท อยู่กับปัจจุบัน ทำให้ดีที่สุด แล้วก็กำลังจะใส่บาตรด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีส่วนอำนวยให้ใจของคุณยายเป็นกุศล แล้วก็แม้จะมีเหตุร้าย แต่ว่าก็เชื่อว่าจะไม่ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วแวบเดียวก่อนที่จะสิ้นลม แม้เราจะไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ แต่ว่าการเจริญสติสำคัญมาก ฝึกใจเอาไว้ พร้อมเผชิญกับทุกอย่างด้วยใจที่สงบ ฉะนั้นก่อนหน้านั้นก็ควรหมั่นทำความดี สร้างบุญ สร้างกุศลอยู่เนือง ๆ ไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจที่จะทำให้จิตมันหวนกระหวัดไปถึงตอนที่จะตาย ไม่ใช่ว่าตอนจะตาย ไปนึกถึงลูก นึกถึงทรัพย์สมบัติ นึกถึงความผิดพลาดที่เคยทำกับพ่อแม่ แบบนั้นก็คงจะไปไม่ดี แต่ถ้าจิตนี้ผ่องใส มีสติ ยิ่งสวดมนต์อยู่บ่อย ๆ ถึงเวลาตอนนั้นก็อาจจะนึกถึงบทสวดมนต์ กำกับจิตให้สงบได้ ก็แน่นอนว่าไปดีแน่ แม้ว่าจะไปแบบกะทันหันแบบนี้ก็ตาม
12 เม.ย. 68 - ปรับจิตให้พอดี : หน้าที่ของครูบาอาจารย์ คือทำให้อยู่พอดี ๆ ซึ่งตรงนี้คือเหตุผลว่าทำไมคนเราควรจะมีอาจารย์ อาจารย์ที่จะช่วยตบให้เราไม่เหวี่ยงไปทางใดทางหนึ่ง ซึ่งอันนี้มันมีแต่อาจารย์ที่เป็นมนุษย์ที่จะทำได้นะ ทุกวันนี้เราพูดถึง AI นะ AI สอนธรรมะนี่ตอนนี้มีเยอะแยะ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ AI ทำไม่ได้ ก็คือไม่รู้ว่าคนใช้เขามีจริตนิสัยอย่างไร เขาเอียงไปทางไหน แล้วจะแนะนำเขาให้กลับมาอยู่ในความพอดี หรืออยู่ในทางสายกลางได้อย่างไร AI ทำไม่ได้นะ AI ได้แต่ตอบได้ว่าอนัตตาคืออะไร สติคืออะไร สัมปชัญญะคืออะไร แต่เวลาจะแนะนำการปฏิบัติให้มันถูกกับจริตนิสัย AI คงยังทำไม่ได้อีกนาน แล้วอาจจะทำไม่ได้เลย เพราะไม่รู้ว่าคนใช้เขามีจริตนิสัยอย่างไร เขามีความสุดโต่ง ความเอียงไปทางไหน เพราะฉะนั้นจะแนะนำให้เขาอยู่ในความพอดีนี่มันยาก แต่คนนี้ทำได้ โดยเฉพาะถ้าคนที่เป็นระดับครูบาอาจารย์ เขาก็จะสามารถทำในสิ่งที่มันไม่มีอยู่ในตำราก็ได้ แต่อาศัยความสามารถเฉพาะตัว เรียกว่าทำไม่อยู่ในแบบแผน ครูบาอาจารย์บางท่านนี่สอนลูกศิษย์ด้วยการถีบเลยนะ ไม่ใช่เฉพาะเซนอย่างเดียวนะ หลวงพ่อชาท่านก็ถีบเหมือนกัน AI ไม่ทำ AI ทำไม่เป็น เพราะคิดว่าหรือเพราะถูกสอนมาว่าการถีบนี่ไม่ดี แต่ว่าลูกศิษย์บางทีก็ถูกอาจารย์ถีบ แล้วก็บรรลุธรรมก็มี
11 เม.ย. 68 - พื้นที่ปลอดภัยอยู่ที่ใจเรา : ถ้ามีความสุขเป็นตัวรองรับ มันก็ช่วยหนุนสติและปัญญาที่ทำให้รักษากายรักษาใจของเราให้ปลอดภัยได้ ใจเราจะไม่มีความปลอดภัยเลยถ้าขาดสติ ขาดปัญญา เป็นตัวเป็นเครื่องรักษา อยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยแม้แต่อยู่ในบ้าน แม้แต่อยู่ในห้องนอนก็ไม่ปลอดภัย อันนี้ไม่ใช่เฉพาะเด็กอย่างเดียว ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน แต่สิ่งที่จะช่วยให้ชีวิตเราปลอดภัยก็คือ ใจที่มีสติ ใจที่มีปัญญา พื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ จิตที่มีสติ มีความรู้สึกตัวครอบครองใจ ตราบใดที่ถ้าใจยังไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว เพราะขาดปัญญาหรือสติเป็นตัวกำกับแล้ว อยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในยุคนี้ สื่ออินเตอร์เน็ตแพร่ไปทั่ว และไม่ใช่เฉพาะสื่ออินเตอร์เน็ตอย่างเดียว สิ่งแวดล้อมด้วย พวกมิจฉาชีพเดี๋ยวนี้มันก็อยู่กระจายไปทั่ว ฉะนั้นจะว่าไปแล้วถ้าเราต้องการชีวิตที่ผาสุก มันต้องมีพื้นที่ที่ปลอดภัยในใจของเรา ทำบ้านให้เป็นที่ปลอดภัยก็ได้ แต่ว่ามันก็ยังไม่ปลอดภัยอย่างแท้จริงจนกว่าใจเรานี้จะมีสติ มีปัญญา และมีความสุขที่ประณีตเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีตรงนี้ก็ยังเรียกว่าชีวิตยังอยู่ในความเสี่ยง แม้จะเรียนจบหลายปริญญา แม้จะมีความรู้เยอะแต่ก็เอาตัวไม่รอด ที่เขาเรียกว่าความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด เพราะมันขาดสิ่งหนึ่งคือขาดความรู้สึกตัว แล้วความรู้สึกตัวจะมีได้เพราะมีสติและปัญญาเป็นเครื่องกำกับ เพราะฉะนั้นในยุคนี้การที่มีธรรมะโดยเฉพาะสติและปัญญา เรียกว่าเป็นหลักประกันเลยที่จะทำให้ชีวิตนี้มีความผาสุก ไม่ใช่ไม่มีอุปสรรค มี แต่ว่าก็สามารถจะผ่านมันได้ ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บไม่ป่วย ยังต้องเจ็บต้องป่วย แต่ว่ามันก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย ไม่ได้คับแค้นใจ
10 เม.ย. 68 - ไม่รักษาใจก็ไม่รักตัวเอง : ถ้าขอโทษมันก็สบายใจ แต่พอไม่ขอโทษ ความขัดแย้งมันก็เลยยืดเยื้อเรื้อรัง ฉะนั้นถ้าหากว่าพวกเราไม่อยากโง่เพราะความโกรธ ก็ต้องพยายามดูแลใจให้มีอัตตาน้อยๆ เหมือนกับพ่อค้าแผงขายหนังสือ คนมาดูหนังสือแต่ไม่ซื้อเลยสักเล่ม ก็ไม่โกรธ เพราะไม่ได้ยึดมั่นว่าตัวกูของกู แถมเวลาเขาลำบากก็ช่วยเขา ตัวเขาเปียกปอน ก็ยื่นถุงพลาสติกให้ นี่คือวิธีการสร้างมิตร ถ้าเราโกรธ เราก็มีแต่จะเสียมิตร เสียเพื่อน แล้วก็ทำร้ายตัวเอง แต่ถ้าเราไม่โกรธ เราจึงจะเรียกว่ารักตัวเองอย่างแท้จริง.พวกเรานี่ต้องรักตัวเองให้เป็น เพราะถ้าเรารักไม่เป็น เราจะทำร้ายตัวเอง ด้วยความโกรธ ด้วยความกลัว เพราะจิตที่ไม่มีการดูแลรักษาให้ดี แต่ถ้าจิตเรามีการรักษา มีการดูแล ความโกรธไม่ครอบงำ ความกลัวไม่มารังควาน เราก็จะรักตัวเองได้อย่างแท้จริง
9 เม.ย. 68 - เติมแสงสว่างให้แก่จิตใจ : บางคนขี้โกรธมาก บางคนขี้กลัวมาก พวกนี้อาจจะเป็นเพราะว่าอิทธิพลของจิตไร้สำนึกที่คอยมาปั่นป่วนในจิตใจ หน้าที่ของเราก็คือ ตรวจสอบว่ามันมีอะไรหมักหมมหรือว่าซุกซ่อนอยู่ในจิตไร้สำนึกไหม เราก็ต้องเริ่มต้นจากการที่เรามีสติ รับรู้ความคิดและอารมณ์ต่างๆ ในยามปกติ รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง ทำอะไรด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว มันก็จะช่วยทำให้การหมักหมม สะสมสิ่งที่เป็นขยะลงไปในจิตไร้สำนึกน้อยลง พอทำให้มันน้อยลงแล้ว ต่อไปก็เข้าไปสอดส่องดูว่า มันมีอะไรซุกซ่อนอยู่หรือเปล่า แล้วก็จัดการเผชิญหน้ากับมัน มีความโกรธซ่อนอยู่ ก็เผชิญหน้ากับมัน ยอมรับมัน มีความเกลียดซ่อนอยู่ ก็เผชิญหน้ากับมัน มีความรู้สึกผิดซุกซ่อนอยู่ ก็เอามันขึ้นมา เผชิญหน้ากับมัน มีความระแวง มีความกลัวซ่อนอยู่ ก็ยอมรับมัน เผชิญหน้ากับมัน อันนี้ก็เปรียบเหมือนการเพิ่มแสงสว่าง หรือเอาแสงสว่างสาดส่องลงไป ไม่ใช่แค่ในจิตสำนึกอย่างเดียว แต่ลงไปถึงจิตไร้สำนึกด้วย มันก็ทำให้ชีวิตเราถูกอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ สร้างความปั่นป่วน รบกวนจิตใจเราน้อยลง ก็จะอยู่เป็นปกติสุขได้มากขึ้น
7 เม.ย. 68 - ทำครบทั้งทำกิจและทำจิต : อาจารย์พุทธทาสเคยพูดอยู่เสมอว่า ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์ อันนี้เป็นคำพูดที่เรียกว่าครอบคลุมทั้งการทำจิตและทำกิจ เพราะว่าสำหรับชาวพุทธ การทำจิตสุดท้ายคือเพื่อความสงบเย็น สงบเย็นคือสงบที่ใจโดยที่ไม่พึ่งอิงสิ่งแวดล้อม แม้จะอึกทึก พลุกพล่าน จอแจ เสียงดังอย่างไร คนจะไม่น่ารัก ทำตัวน่าระอา แต่ใจก็เป็นปกติ สงบเย็นได้ แม้กระทั่งมีสิ่งล่อเร้าเย้ายวนก็ไม่หวั่นไหว ใจไม่กระเพื่อม นี่คือสงบเย็น แต่ว่าสงบเย็นอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็นประโยชน์ด้วย เป็นประโยชน์คือการทำกิจ ทำกิจเพื่อช่วยเหลือส่วนรวม ไม่ใช่เก็บตัวอยู่แต่ในป่า หรืออยู่ในวัด มุ่งมั่นให้จิตสงบเย็น แต่ว่าไม่คิดจะไปทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม ไฟไหม้ก็ไม่สนใจถือว่าป่าไม่ใช่ของเรา ใครจะมาขโมยสมุนไพรในวัดก็ไม่กระตือรือร้นที่จะจัดการไล่ออกไป เพราะคิดว่าไม่ใช่ของเรา อันนี้เรียกว่าทำจิตแต่ไม่ทำกิจ แล้วที่จริงก็ทำจิตไม่ถูกต้องด้วย เพราะว่าการทำจิต อย่างน้อยต้องมีความกตัญญูรู้คุณ หรือต้องมีความเมตตา กตัญญูรู้คุณต่อสิ่งแวดล้อม มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ ฉะนั้นมีใครมาทำลายป่า ถ้าเรามีเมตตาจริง เราก็จะไม่อยู่เฉย จะเข้าไปขับไล่ไม่ให้มาทำลายป่า ไม่ให้มาทำลายสัตว์ เราจะมีความกตัญญูต่อธรรมชาติ แล้วเราก็จะช่วยกันรักษาธรรมชาติให้ดี ความกตัญญูรู้คุณ ความเมตตาก็เป็นเรื่องการทำจิต ไม่ใช่แค่ปล่อยวางอย่างเดียว แล้วคนไทยก็ไม่เข้าใจ ชาวพุทธก็ไม่เข้าใจ ไปเข้าใจว่าการปล่อยวางคือการวางเฉย ไม่ทำอะไร การวางเฉยไม่ทำอะไรนี่เป็นเรื่องการไม่ทำกิจ ซึ่งไม่ถูกต้อง การปล่อยวางถ้าเป็นการปล่อยวางที่ใจคือการทำจิตถูกต้องแล้ว แต่ว่าปล่อยวางแล้ว ไม่ใช่ว่านิ่งเฉย ปล่อยวางอย่างรับผิดชอบ คือสิ่งที่ครอบคลุมทั้งการทำจิตและการทำกิจ ถ้าปล่อยวางแบบวางเฉย ไม่รับผิดชอบ อันนี้เรียกว่าทำจิตก็ผิด แล้วก็ละเลยเพิกเฉยไม่ทำกิจด้วย มันก็ไม่ได้เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ
6 เม.ย. 68 - วิถีโลกกีดขวางเส้นทางธรรม : เวลาใจทุกข์ก็คิดแต่จะไปจัดการกับสิ่งที่อยู่นอกตัว เสียงดัง หรือว่าการกระทําคําพูดที่ไม่ถูกใจของใครบางคน คิดแต่จะไปจัดการกับสิ่งเหล่านั้น อันนี้เป็นวิธีการทางโลก วิธีการทางโลกมันเน้นการจัดการกับคน จัดการกับสถานที่ จัดการกับสิ่งแวดล้อม แต่ในทางธรรม มุ่งจัดการกับใจของตัว หลายคนแม้จะมาปฏิบัติธรรมแล้ว แต่เนื่องจากต้องการความสงบ แต่ว่ายังติดวิธีการทางโลกอยู่ ก็ไปจัดการกับสิ่งภายนอก จัดการให้สิ่งแวดล้อมไม่มีเสียงรบกวน จัดการกับผู้คนให้ทําตัวเรียบร้อย การกระทําคําพูดไม่ก่อปัญหา แต่ที่จริงแล้วนั่นไม่ใช่วิธีการทางธรรม ทางธรรมคือมาจัดการที่ใจของเรา มาดูว่าใจเรามันมีอุปาทาน มีความยึดติดหรือเปล่า แต่ถ้าหากว่ายังมีความอยากได้ อยากได้ความสงบ มันก็อดไม่ได้ที่จะไปจัดการกับสิ่งภายนอก แต่ถ้าเรามุ่งลดละความยึดติดในใจ ยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น เสียงดังก็ไม่ได้ทําให้ใจทุกข์ หรือว่าใครจะทําอะไร ก็สามารถจะวางใจไม่ทุกข์เพราะสิ่งเหล่านั้นได้ นี่คือจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติธรรม การใช้ชีวิตทางธรรมมันต้องมาถึงจุดนี้ เพราะไม่อย่างนั้นถึงแม้ว่าภายนอกดูเหมือนกับยังปฏิบัติธรรม แต่ว่าข้างในก็ยังใช้วิธีการเดียวกับวิธีทางโลก มันก็เลยสวนทางกัน แล้วสุดท้ายก็ไม่สามารถจะพบกับความสงบอย่างแท้จริง เพราะว่าไม่สามารถทำให้เกิดการลดการละขึ้นได้
5 เม.ย. 68 - อย่าหลงสุขวันนี้จนละทิ้งสุขวันหน้า : ถ้าเราสามารถทำให้การอดทนอดกลั้นต่อความสุขชั่วคราว ความสุขเฉพาะหน้า มันไม่ใช่ความอดทน กล้ำกลืนฝืนทนอีกต่อไป แต่มันคือความสุข ถึงตอนนั้นมันก็ทำไปได้เอง ไม่ใช่ว่ายอมลำบากวันนี้เพื่อสบายวันหน้า ใหม่ๆ จะรู้สึกแบบนั้น ต้องยอมลำบากวันนี้ เพื่อสบายวันหน้า แต่ต่อไป มันไม่ใช่ลำบากวันนี้แล้ว เพราะว่าสิ่งที่ทำในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย การเรียนหนังสือ การค้นคว้าหาความรู้ การใช้เงินอย่างอดออม หรือการปฏิบัติธรรม ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง เป็นความสุขแบบเรียบๆ ซึ่งมันช่วยหล่อเลี้ยงใจให้สามารถทำสิ่งเหล่านั้นไปได้เรื่อยๆ อย่างมีความหมาย ในทางตรงข้าม คนที่มีความสุขจากการกิน จากการจับจ่ายใช้สอย เพราะมือเติบ ไปถอยบัตรเครดิตมาหลายใบ หรือว่าเล่นเกม สุดท้ายไม่มีความสุข เพราะว่ามันสุขเท่าไหร่ก็ไม่พอสักที จ่ายเท่าไหร่ก็ไม่พอสักที แล้วก็มีความเครียดเหมือนคนจำนวนไม่น้อย แม้ว่าจะได้สิ่งปรนเปรอตามใจอยาก สุดท้ายก็ไม่มีความสุขเพราะเบื่อง่าย ความสุขจางคลายเร็ว แล้วก็ต้องดิ้นรนอยู่อย่างนั้น ต้องกลับไปหาความสุขที่มันแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วทำให้ชีวิตตกต่ำย่ำแย่ ฉะนั้น พวกเราต้องพยายามใช้เหตุผล หรือว่าปัญญา ในการเลือก อะไรที่มันเป็นความสุขเฉพาะหน้า แต่ว่าทุกข์ในวันหลัง เราต้องฉลาดพอที่จะอดกลั้นที่จะไม่หลงใหลเพลิดเพลินไปกับสิ่งนั้น เพื่อที่เราจะได้มีความสุขในวันหน้า แล้วต่อไป ถ้าเรามีสติมีปัญญา สิ่งที่เราอดกลั้น มันก็ไม่ใช่เป็นความลำบากอีกต่อไป มันก็จะกลายเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่หล่อเลี้ยงใจ
4 เม.ย. 68 - ทุกข์เพราะหลงสิ่งที่ไม่จริง : ถ้าเรารู้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจมันเกิดจากการปรุงแต่ง เกิดจากการสร้างภาพ เกิดจากมายา สติช่วยทำให้เห็นว่าอันนี้มันเป็นของไม่จริง แม้กระทั่งตัวกู กูเดิน กูโกรธ กูโมโห กูเศร้า กูเกลียด พวกนี้ล้วนแต่ไม่จริง เพราะมันไม่มีตัวกูตั้งแต่แรก แต่ไปสร้างขึ้นมา การปฏิบัติธรรม คือการที่พาให้เรามาอยู่กับความจริง แล้วก็ยอมรับความจริง ความจริงที่ว่านอกจากหมายถึงการไม่มีกู ไม่มีของกูแล้ว ยังรวมถึงว่าทุกอย่างมันก็ไม่เที่ยง มันก็เป็นทุกข์ แต่พอเราไปยึดมั่นสำคัญหมายว่ามันเที่ยง ยึดมั่นสำคัญหมายว่าเป็นสุข ร่างกายนี้เราหมายมั่นคาดหวังว่าให้มันให้ความสุขกับเรา เราก็ยิ่งหลงยึดมันเข้าไปใหญ่ อันนี้ก็เรียกว่ายึดเพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจความจริง แต่ถ้าเราเข้าใจความจริง มันก็ปล่อย มันก็วาง มันก็ไม่ปรุง มันหยุดปรุง แล้วมันก็หยุดยึดหยุดถือ ตรงนั้นแหละที่ทำให้จิตอิสระ พอจิตไม่ยึด ไม่ถือ ไม่หลง มันก็เกิดความอิสระ เกิดความปกติสุขขึ้นมา เพราะฉะนั้นให้กลับมาอยู่กับความจริง ให้กลับมาเรียนรู้ความจริง แล้วก็มารู้เท่าทันความไม่จริง หรือสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาในใจเรา ให้รู้ละเอียด รู้อย่างรวดเร็วฉับไว เพื่อไม่ให้ความหลงมันครอบงำใจ
3 เม.ย. 68 - สุขเพราะปรุง ทุกข์เพราะแต่ง : การปฏิบัติธรรม เราต้องมองให้เห็นถึงตัวปรุงแต่งที่มันเกิดขึ้น ไม่ว่าบวกหรือลบ เห็นถึงการให้คะแนนว่าให้คะแนนยอด ให้คะแนนเยี่ยม หรือให้คะแนนแย่ ใจเรามันมีการปรุงแต่งอย่างนี้อยู่เสมอ ซึ่งก็เป็นตัวการที่ทำให้สุขหรือทุกข์ ถ้าสุขก็เพราะปรุงแต่งในทางบวก ก็เหมือนกับหมาที่มันแทะกระดูกแล้วมันอร่อย ก็เพราะว่ารสชาติของน้ำลายจากปากของมัน ไม่ใช่เป็นเพราะรสชาติของกระดูก สิ่งที่เสพไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกของเราที่มีต่อสิ่งนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการปรุงแต่งที่มีต่อสิ่งนั้น อาหารที่อร่อยไม่ได้อยู่ที่เครื่องปรุงมากเท่ากับการปรุงแต่งในใจเรา แล้วมองให้เห็น มองให้เห็น มันก็จะรู้ว่าทุกข์ก็เหมือนกัน ทุกข์มันก็เกิดเพราะการปรุงแต่ง ในใจเรา ไม่ใช่เป็นเพราะว่าสิ่งที่ประสบ สิ่งที่เสพ สิ่งที่เจอ อันนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับการปรุงแต่งในใจเรา เป็นเพราะปรุงแต่งในทางลบ ให้ค่าในทางลบ หรือว่าเป็นเพราะว่ามันไม่ตรงกับความคาดหวัง นี้ถ้ามองไปลึก ๆ มันจะพบว่ามันมีปรุงแต่งอีกตัวหนึ่งซึ่งก็เป็นเรื่องใหญ่ ก็คือการปรุงแต่งตัวกูขึ้นมา เป็นผู้สุข ผู้ทุกข์ เป็นผู้เสพ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง
2 เม.ย. 68 - กับดักของผู้ใฝ่ธรรม : ติดดีหรือคาดหวังให้คนอื่นดีเหมือนตัวก็ดี หรือคาดหวังให้ตัวเองดีตามมาตรฐาน ลึกๆ ก็เป็นเรื่องของตัวกูทั้งนั้นแหละ ซึ่งมีกิเลสคือมานะอยู่เบื้องหลัง มานะก็คือความถือตัวถือตน ไม่ได้แปลว่าความเพียรพยายาม เดี๋ยวนี้เรามักจะแปลคำว่ามานะคือความพยายาม แต่ความจริงมานะเป็นกิเลสตัวหนึ่ง สําคัญมาก ความยึดติดในตัวกูของกู อยากให้ใครๆ ดีเหมือนกู หรืออยากให้กูเป็นที่เชิดหน้าชูตา โดดเด่น อยู่ในสายตาของคนอื่น หรือทําให้ตัวกูเป็นที่ยอมรับในสายตาของคนอื่น หรือว่าให้ใครๆ ดีในแบบของกู พวกนี้ก็ล้วนแต่เป็นกับดักของนักปฏิบัติธรรม แม้ว่าจะขยันให้ทาน ขยันทําบุญ หรือว่ารักษาศีล หรือแม้แต่เจริญภาวนา แต่ถ้ามองไม่ทะลุ ไม่เห็นถึงการชักใยของตัวกูหรือมานะ ก็ทําให้ความติดดียากที่จะหายไปได้ มีแต่จะหนาแน่น แล้วก็คาดหวังต่างๆ คาดหวังผู้อื่น คาดหวังตัวเอง โดยที่ไม่ยอมรับความจริงอย่างที่มันเป็น สุดท้ายก็ทําให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับผู้อื่น และความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับตัวเอง ไม่ซื่อตรงต่อตัวเอง ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง สุดท้ายก็กลายเป็นคนที่หลอกตัวเอง พอหลอกตัวเองได้ก็หลอกคนอื่น กลายเป็นว่าแทนที่จะมั่นคงอยู่ในความดี กลับกลายเป็นไม่ดีไปเพราะว่าต้องคอยสร้างภาพอยู่เสมอ สร้างภาพให้คนอื่นเห็น หรือหนักกว่านั้นคือสร้างภาพให้ตัวเองยอมรับและหลงเชื่อ เรียกว่า ยิ่งติดดีก็ยิ่งคลาดเคลื่อนจากความดีมากเข้าไปใหญ่ เพราะฉะนั้นต้องระวัง ต้องรู้เท่าทันกับดักนี้ให้ได้
1 เม.ย. 68 - แผ่นดินไหวคือสัญญาณเตือนภัย : เหตุการณ์ครั้งนี้ก็เกิดขึ้นกับคนพม่า ไม่ใช่เรา หรือคนไทยส่วนใหญ่ แต่ใครจะไปรู้ วันหน้าอาจจะเกิดขึ้นกับเรา อาจจะไม่ใช่กับคนไทยส่วนใหญ่ก็ได้ แต่อาจจะเกิดขึ้นกับเราคนเดียวก็ได้ หรือว่าคนที่เรารัก ฉะนั้น ต้องมองว่านี่คือสัญญาณเตือนภัย เป็นเทวทูตอย่างหนึ่ง ก็ต้องเตรียม ทั้งเตรียมตัวและเตรียมใจ เตรียมตัว เตรียมการ รับมือกับน้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว หรือว่าแก๊สระเบิด รถตกคู อันนี้ก็ต้องศึกษาเอาไว้ ว่าจะป้องกันอย่างไร และจะรับมืออย่างไร เพื่อไม่ให้สูญเสียชีวิต หรือสูญเสียทรัพย์สมบัติ เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้น แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องตายจริงๆ ก็ต้องทำใจได้เหมือนกัน เพราะว่าเรื่องแบบนี้มันไม่อยู่ในอำนาจของเรา มันเป็นสิ่งที่ต้องเตรียม ทั้งเตรียมตัวและเตรียมใจเสมอ และนี่คือสิ่งที่เราควรจะได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ด้วย ไม่ใช่แค่การเข้มงวดกับการสร้างตึก สร้างอาคาร หรือว่าการมีกฎระเบียบที่มันเข้มงวด แล้วก็ปลอดภัย รวมถึงการปรับปรุงระบบแจ้งเตือนภัย หรือการช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยเท่านั้น เราแต่ละคนก็ต้องเตรียมใจ หรือเตรียมการเพื่อรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดด้วย
23 มี.ค. 68 - ดีหรือร้ายอยู่ที่ใจเรา : ถ้าเราจะมองเหตุการณ์ ก็ขอให้มองอย่างคนที่สอง เวลาเจออุปสรรค เวลาเจอปัญหาแทนที่จะบ่นว่าโชคไม่ดี ๆ ให้มองว่า โอ้ นี่เราโชคดี มีแบบฝึกหัดมาฝึกให้เราเข้มแข็ง ฉะนั้นเวลาเจอคนเขานินทาต่อว่าเรา ถ้ามองไม่เป็นก็ทุกข์ที่เขาว่าเรา แต่ถ้ามองเป็นเรียกว่ามองบวกก็จะเห็นว่า เออ เรารู้ว่าเราจะต้องแก้ไขอะไร ถือว่าได้ประโยชน์ ถือว่าได้คำแนะนำ มันอยู่ที่การมอง เด็กสองคนยืนอยู่ใกล้ ๆ กันตอนเช้า ยืนอยู่ข้าง ๆ ใกล้ ๆ กัน คนหนึ่งนี่สดชื่นแจ่มใส อีกคนหนึ่งหม่นหมอง แปลกนะอยู่ใกล้กันมองไปข้างหน้าเหมือนกัน แต่ทำไมความรู้สึกไม่เหมือนกัน ถามคนแรกว่าทำไมสดชื่น แจ่มใส เขาบอกว่าเห็นท้องฟ้าสวยงาม แสงเงินแสงทองแต่งแต้มท้องฟ้าสวยงาม เห็นแล้วสบายใจ ถามคนที่สองทำไมห่อเหี่ยว เขาบอกว่าเห็นถนน มันเป็นหลุมเป็นบ่อ เฉอะแฉะ มีขยะอยู่ข้างทางเต็มไปหมดเลย คนหนึ่งเห็นท้องฟ้าอยู่ข้างหน้า แต่คนหนึ่งเห็นถนนที่เฉอะแฉะ ถ้าเราเห็นท้องฟ้าเราก็สดชื่น เบิกบาน แต่ถ้าเราเห็นถนนเฉอะแฉะเราก็จิตใจหม่นหมอง เราเลือกได้ว่าจะมองฟ้าหรือมองถนน เหมือนกับเด็กผู้ชายก็เห็นว่าโชคร้ายที่น้ำปลาหายไปครึ่งหนึ่ง แต่น้องสาวบอกโชคดีที่คว้าได้ทัน มีน้ำปลาเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง เวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่เรื่อย ๆ แต่เราจะสุขหรือจะทุกข์อยู่ที่มุมมองของเรา เรียกว่ามองลบหรือมองบวก บางทีเราเข้าแถวตักอาหาร เราไม่ได้ไก่ทอด ข้างหน้าเขาตักไก่ทอดไปก่อนแล้ว เป็นไก่ทอดชิ้นสุดท้ายด้วย เสียใจอดกินไก่ทอด แต่คนหนึ่งเขาบอกว่า เออ มีหมูย่าง ถึงไม่มีไก่ทอดแต่ว่ามีหมูย่าง จะเสียใจไปทำไม คนหนึ่งคิดแต่ว่า ฉันไม่ได้ไก่ทอด ๆ เพราะว่าคนข้างหน้าเขาตักไปแล้ว แต่อีกคนหนึ่งบอกว่า ฉันมีหมูย่าง ไม่สนใจถึงแม้จะไม่มีไก่ทอดแต่มีหมูย่าง คนแรกก็จะทุกข์ เสียใจโกรธเพื่อนว่า ทำไมตักเอาไก่ทอดไป แต่คนที่สองเขาไม่ทุกข์เลยเพราะว่าเขาเห็นหมูย่าง อยู่ที่มุมมอง ถ้ามองไม่เป็นก็ทุกข์ แต่ถ้ามองเป็นก็ยิ้มได้สบายมาก อยู่ที่ใจ
22 มี.ค. 68 - อย่าหลงเชื่อเหตุผลไปเสียหมด : การที่เรามีสติมันช่วยให้เราไม่หลงเชื่อความคิด ไม่หลงเชื่อเหตุผลอะไรง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลหรือความคิดที่กิเลสปรุงแต่งขึ้นมา หรือว่าเป็นเพราะสมองมันทำของมันขึ้นมาเอง ฉะนั้นการรู้จักไตร่ตรองใคร่ครวญไม่หลงเชื่อเหตุผลก็สำคัญ คนเราอย่าไปคิดว่ามีเหตุผลนี่ดีเสมอไป เพราะเหตุผลบางอย่างก็ไม่ถูกต้องเหมือนกัน การที่เรามีสติมันช่วยให้เราใคร่ครวญ อะไรที่เราทำโดยที่ไม่รู้ตัว เราก็ยอมรับว่าทำโดยไม่รู้ตัว เพราะเผลอไป อะไรที่เราทำไม่ได้ ก็ไม่อ้างว่าเป็นเพราะองุ่นเปรี้ยว แต่เป็นเพราะว่าเราไม่มีความเพียรพยายามเพียงพอ อันนี้มันทำให้เราเกิดอาการที่เรียกว่า ซื่อตรงต่อตัวเอง แต่คนเราการที่จะซื่อตรงต่อตัวเองมันก็ยาก เพราะว่าความติดดี อยากจะให้ใครยอมรับ หรืออยากจะให้ตัวเองรู้สึกดี จะบอกว่า ฉันล้มเหลว ฉันเลิกเพียรพยายามเพราะว่าขี้เกียจ บางทีเราก็ยอมรับไม่ได้ เราก็เลยอ้างว่าเป็นเพราะองุ่นมันเปรี้ยว ก็เลยไม่อยากจะเสียเวลากับมัน แต่ที่จริงไม่ใช่หรอก เป็นเพราะไม่มีความเพียรมากพอมากกว่า การที่คนเราจะยอมรับว่า ฉันไม่มีความเพียรมากพอ มันยากเพราะมีอัตตา ความติดดี อีโก้ มันทำให้เรายอมรับความจริงอันนี้ไม่ได้ เราก็เลยไปสรรหาเหตุผลอ้างเป็นเพราะว่าที่ไม่ทำ ที่ไม่ไปกระโดดงับองุ่นเพราะองุ่นมันเปรี้ยว เสียเวลา อันนี้จะเรียกว่าเป็นเพราะการติดดีก็ได้ที่ทำให้มีเหตุผลอย่างนั้นขึ้นมา
21 มี.ค. 68 - อย่าดูแคลน ความหลงลืมในใจตน : คนที่ดูถูกคนเมา หาว่าโง่ สุดท้ายตัวเองก็กินเหล้าจนเมา ไม่ใช่เมาอย่างเดียว ติดเหล้า เป็นโรคสุรารื้อรัง ตายเพราะเหล้าก็มีเยอะ อันนี้เรียกว่าเพราะประมาทเหมือนกัน ประมาทว่าคนอย่างกูไม่มีทางที่จะเมาเหล้าจนเหมือนหมาหรอก นั่นมันคนอื่นแต่ไม่ใช่กู สุดท้ายก็ลืมไปว่าเคยปรามาสใครเอาไว้ แล้วก็กลายเป็นขี้เมาหยำเป ถึงบอกว่า อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา เพราะถ้าไปว่าเขาแล้วเดี๋ยวก็อาจจะเป็นเสียเอง คนที่ไม่ประมาท เขาก็จะไม่ต่อว่าใครง่ายๆ เพราะเขารู้ว่าเราเองก็อาจจะเป็นอย่างนั้นได้เหมือนกัน ถ้าเราประมาท เห็นคนติดยาติดการพนัน ก็ไม่ได้ไปดูถูกเขา เพราะว่าวันดีคืนดีตัวเองก็อาจจะเป็นอย่างนั้นได้เหมือนกัน พระที่เคร่งวินัย ดูถูกหรือต่อว่าคนกินเหล้าว่าแค่ศีล 5 ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปทำอะไร แต่สุดท้ายพอสึกออกไป กลายเป็นคนติดเหล้าเมาหยำเป จนกระทั่งไม่มีใครคบ ไม่มีใครหา ไม่มีใครว่าจ้าง ต้องไปคุ้ยหาของในขยะไปขาย เพราะว่าทำอะไรก็ไม่ได้ เอาเงินไปทำอะไร ไปกินเหล้า สุดท้ายก็โดนรถชนตาย จากพระที่เป็นผู้ที่เคร่งในวินัย กลายเป็นขี้เหล้าเมาหยำเปก็มี อันนี้เรียกว่าคนเราถ้าหากว่าไม่ระมัดระวัง ขาดสติ ตั้งอยู่ในความประมาท ที่เคยเห็นว่าถูกต้องดีงาม มันลืมหมด สุดท้ายก็ลืมตัว พอลืมตัวแล้วก็พลาดท่าเสียที เพราะฉะนั้นอย่าประมาทความสามารถในการหลงลืมของคนเรา ลืมของยังไม่เท่าไหร่ แต่ลืมตัวนี่หนักมาก แล้วคนที่ไม่ประมาทเขาก็จะใส่ใจการฝึกฝน ไม่เปิดช่องให้กิเลสเข้ามาครอบงำได้ง่ายๆ
30 มี.ค. 68 - มีสติเมื่อใด ใจไม่ก่อทุกข์ : หากว่าเราเข้าใจ สามารถที่จะเจริญสติให้งอกงามขึ้นมาในใจ ก็จะเห็นเลยว่าสุขหรือทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่มันอยู่ที่ว่าเราปฏิบัติอย่างไรต่อสิ่งนั้น แค่รู้เฉย ๆ หรือว่าไปปรุงแต่งให้ค่า เผลอปรุงแต่งให้ค่าเกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้วก็ยังมีโอกาสที่จะรู้เฉย ๆ หรือว่าเข้าไปยึดอารมณ์นั้น ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติแล้วเราไม่เห็นตรงนี้ มันก็น่าเสียดาย แต่ว่ามันก็ยังไม่สายที่เราจะปฏิบัติจนถึงจุดนั้นได้ แล้วเราก็จะเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะทั้งนั้น อย่างที่ท่านหลวงพ่อชาได้พูดไว้ ผู้ใดมีสติทุกเวลาผู้นั้นย่อมได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าตลอดเวลา
19 มี.ค. 68 - สิ่งดีๆที่ได้ระหว่างทาง : เพราะไปเชื่อใจ ไปเชื่อใจว่ามันใช่เเน่ จริงๆ มันไม่ใช่หรอก ใจเรามันเปลี่ยนแปลงได้ง่าย แล้วเราก็เห็นได้ง่ายจากการปฎิบัตินี่แหละ แล้วเราจะรู้ต่อไปนะว่า ใจไม่ใช่ของเรา ใจไม่ใช่เรา ใจไม่ใช่ของเรา แต่ก่อนคิดว่าใจเป็นเรา เป็นของเรา ความคิดเป็นเรา เป็นของเรา ไม่ใช่ ไม่มีอะไรที่จะเป็นเราเป็นของเราเลย นี่ก็เป็นความรู้นะ เพราะฉะนั้นถึงเเม้เราจะยังไม่ได้บรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการในการมาที่นี่ แต่ว่าระหว่างทางก่อนที่จะถึงเป้าหมาย มันมีอะไรดีๆ ให้กับเรามากมาย มันฝึกอะไรเราได้เยอะเลยนะ เเละก็มีความสำคัญด้วย ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับสิ่งต่างๆ ด้วยใจที่เป็นกลาง การรู้จักมองในสิ่งต่างๆ ว่ามันมีข้อดี ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราดีทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือเปล่า แล้วก็ได้เรียนรู้ใจของเรานะว่า มันมีอะไรให้เรียนรู้เยอะเลย เเม้ว่าจะหัวหกก้นขวิดระหว่างปฎิบัติ เเม้จะมีความฟุ้งซ่านหงุดหงิด เเต่นั่นก็ให้อะไรดีๆ กับเราเยอะเลย
16 มี.ค. 68 - เติมเต็มใจให้หายพร่อง : อย่าไปรังเกียจความคิดฟุ้งซ่าน ความหลง อะไรที่เกิดขึ้นกับเรา จะดีหรือแย่อยู่ที่เรา ความคิดฟุ้งซ่านความหลงเกิดขึ้น ถ้าเอามาใช้ฝึกสติ มันก็เป็นของดี แต่ถ้าปล่อยให้มันครองจิตครองใจจนหลงจนทุกข์ อันนี้ก็ไม่ดี แต่ทุกข์แล้วก็ยังจะดีขึ้นได้ถ้าหากว่าเห็นทุกข์ เห็นทุกข์แต่ไม่เป็นทุกข์ ความทุกข์นี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นความจริงอันประเสริฐ แต่มันจะประเสริฐได้ก็ต่อเมื่อเราเห็นมัน ถ้าเราเห็นความทุกข์ มันจะกลายเป็นความจริงอันประเสริฐ แต่ถ้าไม่เห็นมัน คือ เข้าไปเป็นมัน มันก็ไม่ใช่ความจริงอันประเสริฐ มันกลับจะทำให้เราเป็นทุกข์หนักขึ้น และมันเกิดขึ้น ก็ดี ถ้าหากรู้ ฉะนั้นอย่าไปคิดว่าปฏิบัติแล้วมันต้องไม่คิด มันต้องไม่หงุดหงิด มันต้องไม่ว้าวุ่น แม้หงุดหงิดแต่รู้ ก็ดีกว่าไม่หงุดหงิดโดยที่ไม่รู้ มีความฟุ้งเกิดขึ้น ก็ดี ถ้ารู้ ดีกว่าสงบแต่ไม่รู้ รู้เป็นสิ่งที่ดี แล้วจะรู้ได้ก็ต้องมีความคิดฟุ้งซ่าน มีอารมณ์ต่างๆ มาฝึก เป็นแบบฝึกหัดให้สติรู้ ใหม่ๆ รู้ช้า คิดไป 10 เรื่องถึงค่อยรู้ตัวหรือรู้ว่าเผลอคิดไป แต่ต่อไปมันจะรู้ได้เร็วขึ้น รู้ได้เร็วขึ้น แล้วกลับมาได้เร็ว กลับมาได้เร็ว การปฏิบัติ เราไม่สนใจว่ามันจะไปไหน แต่เราจะพยายามฝึกให้มันกลับมา ไปไม่ว่า ให้กลับมาไวๆ กลับมาไวๆ กลับมาที่ไหน กลับมาที่กาย กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วรู้สึกตัว ทำอย่างนี้เรื่อยๆ มันจะเป็นการเติมความรู้สึกตัวให้กับใจ เมื่อเติมเรื่อยๆ เติมเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง มันก็จะรู้สึกเติมเต็มขึ้นมา จิตใจเราได้รับการเติมเต็มแล้วทีละเล็กทีละน้อย ความพร่องก็จะค่อยๆ ลดลง พอความรู้สึกตัวเติมเต็มจิตใจเรา เราจะรู้สึกมั่นคงสงบนิ่งได้ ไม่ว้าวุ่น ไม่แส่ส่าย แล้วถ้าใจเราได้รับการเติมเต็ม ขาดความพร่อง ความสุขความสงบก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา
15 มี.ค. 68 - สรรเสริญนินทา เป็นธรรมดาโลก : ถ้าเรารู้ว่าใจเราเอาแน่เอานอนไม่ได้ เราก็จะไม่พลีผลามเชื่อใจของเรา เวลาชอบก็ไม่ใช่ว่าจะโจนเข้าไปหาสิ่งที่ชอบ เวลาไม่ชอบอะไรก็ไม่ใช่ว่าจะผลักไสถอยห่างสิ่งเหล่านั้น ก็ดูมันไป เพราะฉะนั้น ถ้าเราเห็นความไม่แน่นอนของใจ โดยเฉพาะความชอบความไม่ชอบ เราก็รู้ว่าเชื่อมันมากไม่ได้ อย่างที่หลวงพ่อชาท่านก็สอนลูกศิษย์ว่า ใจเราอย่าไปเชื่อมันนะ เชื่อไม่ได้ แต่ถึงแม้มันแปรเปลี่ยนไป เราก็ไม่ต้องทุกข์กับมัน ก็แค่ดูมันไปเรื่อยๆ ดูมันขึ้นดูมันลง ดูมันดีใจดูมันเสียใจ ไม่หลงเชื่อมันง่ายๆ อันนี้ก็ทำให้เราได้รู้จักตัวเองได้ดีขึ้น รู้จักใจของเรา ความชอบใจความไม่ชอบใจของคนอื่น เราก็รับรู้ว่ามันเป็นธรรมดา ไม่ปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มเมื่อคนชม ไม่ปล่อยใจจมดิ่งอยู่ในความทุกข์เมื่อมีคนตำหนิ เพราะเรารู้ว่าทำอะไรก็ตาม แม้จะดีแค่ไหน ก็มีคนไม่พอใจอยู่นั่นเอง หรือแม้แต่ทำแย่ๆ มันก็ยังมีคนที่สรรเสริญเรา พอใจ เอานิยามไม่ได้ว่า สิ่งที่เราทำ ถ้ามีคนพอใจ แสดงว่าดี สิ่งที่เราทำ ถ้ามีคนไม่พอใจ แสดงว่าไม่ดี อันนั้นก็ไม่ใช่ เอาความรู้จักแยกแยะ มีวิจารณญาณ ไม่หวั่นไหว ใจกระเพื่อมไปกับเสียงสรรเสริญนินทา ขณะเดียวกัน ความพอใจความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในใจ ก็แค่ดูมันเฉยๆ เห็นมัน หาประโยชน์จากมันให้ได้ ถ้าเรารู้จักหาประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา แม้แต่คำต่อว่าด่าทอก็มีประโยชน์ เป็นขุมทรัพย์ที่ให้บทเรียนกับเรา แม้แต่ถูกด่าก็ยังเห็นสัจธรรม อันนี้หลวงพ่อคำเขียนเคยสอนเอาไว้ ใจที่ขึ้นที่ลงก็เหมือนกันนะ มันก็สอนอะไรเรามากมาย ให้เห็นว่าใจมันไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเราเลย คุมไม่ได้ และสิ่งนี้จะทำให้เราเกิดปัญญา เมื่อเจอความไม่เที่ยง ไม่ว่าสรรเสริญหรือนินทา ไม่ว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจ ได้ประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถ้าวางใจไม่เป็น ก็ทุกข์ หรือไม่ก็พลาดท่าเสียทีกิเลสได้
13 มี.ค. 68 - ทำอะไร เจออะไร ก็เป็นธรรม
8 มี.ค. 68 - รู้กายรู้ใจจนไกลทุกข์ : เพียงแค่เราเริ่มต้นจากการดูกายดูใจ แล้วขยับไปเป็นการดูเวทนา ต่อไปมันก็จะเห็นธรรม แล้วก็จะทำให้ออกจากทุกข์ได้เร็วขึ้น จากเดิมที่ปล่อยวางอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นลบ เมื่อมีการกระทบ ต่อไปก็จะสามารถรับมือกับสิ่งที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รูปกระทบตา ก็สักแต่ว่าเห็น เสียงกระทบหู ก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่ยึดติด ไม่ผลักไส แล้วก็ไม่ไขว่คว้า และต่อไป แม้กระทั่งสิ่งที่มันเคยให้ความสุขกับเรา เงินทองทรัพย์สมบัติ คนรัก ก็ไม่ยึด เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ฉะนั้นการภาวนาสำคัญมาก แม้ทำบุญรักษาศีล หรือหมั่นมาทำวัตร ใส่บาตร มันก็ดีแต่ว่าต้องไม่ทิ้งการภาวนา โดยเฉพาะพวกเราที่เป็นนักปฏิบัติ หรือเรียกตัวเองว่าเป็นนักปฏิบัติ จะทิ้งการภาวนาไม่ได้ และการภาวนาที่เป็นหัวใจก็คือสติปัฏฐาน 4 หรือการเจริญสติ
7 มี.ค. 68 - ในดีมีเสีย : ถ้าเราไม่อยากแบกรับภาระมาก ก็ไม่ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมาก พระพุทธเจ้าจึงสอนพระให้มีบริขารน้อยๆ มีบริขารน้อยๆ จะได้ไม่เป็นภาระมาก และจะได้ไม่ยึดติดกับบริขาร ถึงจะมีก็ต้องรู้ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทว่า นอกจากมันจะทำให้เกิดภาระมากขึ้นแล้ว มันก็ยังมีโทษ เพราะว่าพอไปยึดติดกับสิ่งนั้น แล้วพอมันเสื่อมสลายหายไป ก็ทุกข์ ถ้าไม่อยากทุกข์เพราะการเสื่อมสลาย ก็มีให้น้อยๆ และถ้าจะมี ก็มีด้วยความไม่ประมาท เข้าใจว่า สิ่งที่มีมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ความสะดวกสบายที่ได้รับ มันตามไปด้วยภาระ แล้วก่อโทษ เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้จักใช้อย่างมีสติ ท่านเรียกว่ามีมนสิการ มีปัญญาเข้าใจธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ เพราะโลกนี้ทุกอย่างมันมาเป็นเป็นแพ็กเกจ มันมา มันพ่วงติดกัน อันนี้ก็ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดีก็เหมือนกัน สิ่งที่ไม่ดีมันก็พ่วงเอาสิ่งดีๆ มาด้วย อย่าไปคิดว่าสิ่งที่ไม่ดีมันพ่วงหรือตามมาด้วยโทษ สิ่งที่เป็นโทษมันก็พ่วงสิ่งที่ดีเข้ามาด้วย ในทุกข์มันก็มีสุข ความยากลำบากนี้มันก็มีสิ่งดีๆ พ่วงติดมาด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลาใครเจอความยากลำบากนี้ก็อย่าไปตีอกชกหัว เพราะว่ามันก็นำสิ่งดีๆ มาให้กับเรา เหมือนกับที่หลายคนพบว่าความเจ็บป่วย โรคมะเร็งก็สามารถจะนำสิ่งดีๆ มาให้กับชีวิตได้หลายอย่าง อยู่ที่ว่าจะมองเห็นหรือเปล่า
6 มี.ค. 68 - มองท้องฟ้าเห็นธรรม : สิ่งที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตเรา มันก็มีทั้ง 2 อย่าง สิ่งที่ย่ำแย่เหมือนลูกกรง กับสิ่งที่ดีงามเหมือนกับท้องฟ้าที่สว่างไสว การที่เราเห็นทั้ง 2 อย่างเป็นเรื่องดี แต่ถ้าหากว่าเราไปติด หรือมองลบก็จะเห็นแต่ลูกกรง แล้วก็จะมีความทุกข์มากว่า ฉันติดคุกนี่ ฉันไม่มีอิสระ ไปไหนมาไหนไม่ได้ ตีอกชกหัว แต่อีกคนหนึ่งไม่ยอมให้ลูกกรงนี้มาขวาง มาปิดบังความงดงามของท้องฟ้า ฉะนั้นเวลาเขาวาดรูป ก็วาดท้องฟ้าที่สวยงามโดยไม่มีลูกกรงเลย อันนี้มันเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ว่า เราจะเลือกมองเห็นแต่ลูกกรง หรือเราเลือกที่จะมองเห็นท้องฟ้า บางคนเดี๋ยวนี้มองเห็นแต่ลูกกรง ทั้งที่มองเลยไปหน่อยก็จะเห็นท้องฟ้า แต่มองไม่เห็นท้องฟ้า ฉะนั้นต้องฝึกใจของเราให้รู้จักมอง มองให้ทะลุลูกกรงออกไปจนเห็นท้องฟ้า และถ้ามองเห็นไปถึงขั้นว่า ท้องฟ้าก็สอนเราให้รู้จักวางใจเป็นกลางต่อความคิด อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เหมือนกับท้องฟ้านี้อนุญาตให้เมฆนานาชนิดเกิดขึ้นได้ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรกับเมฆเหล่านั้น เพราะรู้ว่าไม่นานเมฆก็จางหายไป และท้องฟ้าก็ยังเป็นท้องฟ้าเหมือนเดิม อันนี้เรียกว่ารู้จักทำใจให้สงบ โปร่งเบา หรือยิ่งกว่านั้นก็คือ เห็นท้องฟ้าแล้วก็นึกถึงสัจธรรมความจริงว่าอะไร ๆ ต่าง ๆ ก็ล้วนแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เมฆกลายเป็นดอกไม้ กลายเป็นอาหารที่เรากิน แล้วกลายเป็นน้ำที่เราดื่ม อันนี้เรียกว่าเกิดปัญญาขึ้นมา ไม่ใช่แค่จิตใจสว่าง โปร่งโล่ง ซึ่งจัดอยู่ว่าเป็นเรื่องของสมถะ แต่ยังเห็นสัจธรรมความจริง เกิดปัญญาขึ้นมาซึ่งเป็นเรื่องของวิปัสสนา ฉะนั้นท้องฟ้านี่สอนอะไรเราได้เยอะเลย ถ้าเรามองเป็น
5 มี.ค. 68 - หาตัวช่วยเพื่อเสริมใจใฝ่ดี : หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเดินกลับไปกลับมา หรือทำไมเวลายกมือสร้างจังหวะต้องหยุดสักนิดหน่อย แต่ละจังหวะๆ ต้องหยุดสักนิด แล้วก็ไปต่อ นี่เป็นตัวช่วย เพราะถ้าหากว่ายกมือสร้างจังหวะเป็นสายยาวเลย มันเปิดช่องให้ความหลงเล่นงานได้ เพราะว่าคนเราเวลาใจลอย หรือกำลังมันกับความคิด มันจะยกมือเป็นสายเลย ไม่มีหยุด การที่เราหยุดสักพักหนึ่ง มันทำให้ความคิดสะดุด พอความคิดสะดุด ตัวหลงก็พลอยสะดุดไปด้วย เปิดช่องให้ตัวรู้หรือสติเข้ามาทำงานแทน เพราะฉะนั้นการกลับไปกลับมา หรือว่าการยกมือสร้างจังหวะแล้วหยุด แต่ละจังหวะๆ มันช่วย หรือแม้แต่การทอดสายตา ทำไมไม่มองไกลๆ ทำไมต้องมองที่พื้น นี่ก็เป็นตัวช่วย ช่วยไม่ให้มันฟุ้ง แต่ถ้าเดินช้ามันก็ทำให้เครียดง่าย เราต้องรู้จัก เวลาเราเจริญกรรมฐาน หรือว่าเราจะทำสิ่งดีงามก็ตาม มันต้องมีตัวช่วยเสมอ โดยเฉพาะสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต้องรู้จักหาตัวช่วย จะเป็นสถานที่ จะเป็นผู้คน เป็นสิ่งแวดล้อม เป็นวิถีชีวิต หรือกติกาที่สร้างขึ้นมาเอง พวกนี้เป็นตัวช่วยได้ เวลาเราฟุ้งๆ เราก็หาตัวช่วยที่ทำให้ใจมันไม่ฟุ้ง เวลาง่วง หาตัวช่วย ทำอย่างไร ก็เอาน้ำล้างหน้า หรือไม่ก็มองไปที่ท้องฟ้ากว้างๆ เห็นแสงสว่างก็ช่วยทำให้หายง่วงหายเครียดได้ พวกนี้เป็นตัวช่วยที่เราต้องรู้จัก มันจะเป็นกำลังให้กับตัวรู้ สามารถเอาชตัวหลงได้ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักหาตัวช่วยให้กับตัวเอง ตัวช่วยสำหรับตัวรู้หรือตัวช่วยสำหรับใจใฝ่ดี ถ้ามันมีตัวช่วยอย่างนี้ มันก็ทำให้ใจเรามีพลัง มีความเข้มแข็ง เอาชกิเลส เอาชตัวหลงได้
4 มี.ค. - ออกจากคุกทางใจ : คุกทางใจมีหลายอย่าง มีทั้งความเศร้าโศก ความเสียใจ ความรู้สึกผิด ความโกรธแค้นพยาบาท ความอาลัยอาวรณ์ แต่ทั้งหมดนี้มันต้องเริ่มต้นจากการเผชิญหน้ากับมัน ถ้าเรามีสติรู้จักวิชา “รู้ซื่อๆ” ดูมัน โดยไม่เผลอพลัดเข้าไปเป็นมัน หรือเข้าไปจมอยู่ในอารมณ์ มันก็ออกมาได้เหมือนกัน หรือเดี๋ยวนี้คุกที่ขังคน ขังใจคนจำนวนไม่น้อยคือความซึมเศร้า เป็นกันเยอะ เพราะว่าปล่อยใจให้ไปจมอยู่กับอารมณ์ต่างๆ หรือปล่อยใจให้ไปจมอยู่กับเหตุการณ์ในอดีตที่เจ็บปวด พอหลุดออกมาไม่ได้ก็กลายเป็นจมดิ่ง เกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นมา ซึ่งก็เป็นภาวะที่สร้างความทุกข์ให้กับผู้คน ที่ยิ่งกว่าติดคุกเสียอีก ติดคุกที่มันก่อด้วยอิฐสร้างด้วยปูน ก็ยังไม่ร้ายเท่ากับติดคุกทางใจที่ว่า แต่ถ้าหากว่าสามารถเผชิญกับมันได้ ก็เป็นอิสระ อย่างที่ว่า หนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีอารมณ์พวกนี้มันหนียาก โดยเฉพาะอารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับอดีตที่เจ็บปวด การที่คนเราสามารถจะหลุดจากอดีต กลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ มันเป็นวิชาที่สำคัญมาก เพราะช่วยทำให้เรามีชีวิตเต็มร้อยอย่างแท้จริง ทุกวันนี้คนพูดถึงการมีชีวิตเต็มร้อย แต่ส่วนใหญ่หมายถึงการเที่ยว การสนุกสนานให้เต็มฟัดเต็มเหวี่ยง แต่จริงๆ แล้วการมีชีวิตเต็มร้อยคือการอยู่กับปัจจุบัน อยู่ด้วยความรู้สึกตัว ไม่หลงจมอยู่กับอดีต หรืออารมณ์ที่เจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้า ความรู้สึกผิด หรือว่าความโกรธแค้นพยาบาท ถ้ายังอยู่กับอารมณ์เหล่านี้ ยังจมอยู่กับอารมณ์เหล่านี้ ก็ยากที่จะบอกได้ว่าเป็นชีวิตที่เต็มร้อย จะเรียกว่ามีชีวิตจริงจังๆ ก็ยังไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นชีวิตที่หลงจมอยู่กับอดีต ไม่ใช่กับปัจจุบัน
3 มี.ค. 68 - สงบได้แม้ใจกระเพื่อม : อารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ ความโกรธ ความเครียด ความหงุดหงิด มันเกิดขึ้นแต่เห็นมัน ไม่เข้าไปยึด ไม่มีผู้โกรธ ไม่มีผู้โศกผู้เศร้า มันก็ไม่ทุกข์ อันนี้ต้องฝึกให้ได้แม้ว่าเรายังไม่สามารถทำให้จิตไม่หวั่นไหวใจไม่กระเพื่อมเวลามีการกระทบเกิดขึ้น คนธรรมดาก็ย่อมมีอาการกระเพื่อม เวลาเจอเสียงดัง เวลาเจอคนต่อว่าด่าทอ เวลาสูญเสียทรัพย์ เวลาเจ็บป่วย แต่พอมันกระเพื่อมแล้วก็เห็นมัน เห็นแล้วก็วาง เห็นแล้วก็ปล่อย มันก็สงบลง เป็นความสงบที่เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เพราะมีเสียงดังจากข้างนอกแต่เพราะมีอารมณ์ที่ไม่พอใจเกิดขึ้นข้างในก็ยังสงบได้ อันนี้คือความสงบที่เราควรจะรู้จัก
2 มี.ค. 68 - เสียงในหัวคือตัวการก่อทุกข์ : เวลาใครทำอะไรไม่ถูกใจก็มีเสียงในหัวดัง เสียงพวกนี้เป็นตัวการแห่งความทุกข์มากกว่า เพราะว่าถ้าไม่มีเสียงนี้หรือเสียงมันสงบ เจออะไรใจก็ไม่ทุกข์ แต่พอปล่อยให้เสียงในหัวดังแล้วก็ไปเกี่ยวข้องกับมันไม่ถูก ไปหลงเชื่อมันบ้าง ไปตกอยู่ในอำนาจของมันบ้าง หรือไม่ก็ไปผลักไสมัน ต้องมีสติไว ไวเห็น ไวจนเห็นละเอียดพอที่จะได้ยิน รับรู้เสียงในหัวที่ดัง ที่จริงมันก็ไม่ใช่มีเท่านี้ มันมีเสียงที่มาล่อหลอกให้เราเกิดความโลภ หรือว่าหลอกให้เราหาสิ่งปรนเปรอสนองกิเลสสารพัด เราต้องรู้ทัน ฉับไวมากพอ คิดอย่างเดียวไม่พอมันต้องมีสติด้วย สติที่จะเห็น รับรู้เวลามีเสียงพวกนี้ดังขึ้นมา ใจมันก็กระเพื่อม ก็รู้ทัน แล้วก็แค่รู้ซื่อ ๆ มันก็เรียกว่าหมดพิษสง และไม่ช้าก็จะดับไป เสียงดังกระทบหูแต่เสียงในหัวไม่ดัง ใจก็สงบได้ ที่ใจไม่สงบมันไม่ใช่เพราะเสียงข้างนอกแต่เป็นเพราะเสียงในหัวต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นเพราะความโกรธ ความกลัว ความโลภ พวกนี้ก็ทำให้จิตใจไม่สงบได้ เป็นทุกข์แม้ว่ารอบตัวจะราบรื่นหรือสงบสงัดก็ตาม
1 มี.ค. 68 - ทักท้วงวิธิคิด ปิดทางกิเลส : ที่ว่าศึกษาธรรมไม่เป็นคืออย่างไร ก็คือศึกษาเพื่อยกตนข่มท่าน เพื่อกำราบผู้อื่นไม่ให้คิดแย้ง ไม่ให้ถกเถียง เอามาใช้ข่มคนอื่น หรือมิฉะนั้นก็เพื่อแสวงหาลาภสักการะ แสวงหาลาภสักการะมาสนองกามตัณหา แต่ว่าเพื่อยกตนข่มท่านมันสนองภวตัณหา ความเป็นใหญ่กว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น ไม่ได้ปรารถนาลาภสักการะ แต่ต้องการให้คนชื่นชมสรรเสริญ หรือทำให้ตัวตนมันพองโต แต่ถ้าเกิดว่าเรามีสติ เราก็จะเฉลียวใจ หรือว่าเห็นกิเลสตัวใหญ่ๆ มันซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่หลงเคลิ้มคล้อยไปกับเหตุผล แม้จะสวยหรูเพราะว่ามีธรรมะมาเป็นเครื่องยืนยัน แต่ว่าก็ยังสามารถที่จะมองทะลุไปเห็นว่า ที่อ้างธรรมะนี่ มันเพื่อสนองหรือปรนเปรอกิเลส มันแยบคายมาก แต่ถ้าเกิดว่าเรามีสติเมื่อไหร่ เราก็จะรู้ทัน มันไม่ใช่ช่วยทำให้เราไม่มัวแต่คิดลบอย่างเดียว หัดรู้จักมอง หรือคิดในทางบวก มันมากกว่านั้น มันทำให้รู้เท่าทันกิเลส รู้เท่าทันตัวอารมณ์ที่มันแสดงออกมาด้วยการผลักดันของกิเลส เวลาโกรธ เวลาโลภ ก็รู้ว่ามันเป็นฝีมือของกิเลส หรือถึงแม้มองไม่เห็น ก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องจัดการ จัดการด้วยความรู้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้ความโกรธครองใจ ไม่ปล่อยให้ความโลภครองใจ หรือรวมถึงไม่ปล่อยให้ความคิดลบคิดร้ายมันครอบงำใจ จนกระทั่งสร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง นอกเหนือจากการความทุกข์ให้กับผู้อื่น ฉะนั้น การหมั่นมองตนเป็นเรื่องสำคัญมาก หมั่นมองตน และหมั่นทักท้วง ว่าสิ่งที่เราทำคิด มันคิดดีแล้วหรือ หรือบางทีเพียงแต่รู้จักคิดสลับขั้วเท่านั้นแหละ ความทุกข์มันก็ลดไปเยอะ เปลี่ยนดินฟ้าอากาศไม่ได้ แต่ว่าเปลี่ยนมุมมองได้ อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องลองหมั่นพิจารณาตัวเองอยู่เสมอ
21 ก.พ. 68 - สันติวิหารในเรือนใจ : จึงอยากจะให้พวกเราตระหนักว่า สันติวิหารมันไม่ใช่แค่เป็นอาคาร ไม่ใช่เป็นสถานที่ แต่มันยังเป็นอุดมคติของเราทุกคน แม้เป็นฆราวาสจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสันติวิหารที่เป็นตึกเป็นอาคารได้ แต่เราจะได้อานิสงส์อย่างมากเลยถ้าเรามีสันติวิหารในเรือนใจ และไม่ว่าใจของเราที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร จะย่ำแย่แค่ไหน แต่ว่าเราสามารถที่จะสถาปนาให้เกิดสันติวิหารในใจได้ สันติวิหารตึกนี้เมื่อปีที่แล้ว มันดูไม่ได้เลย ทั้งซกมก สกปรก มอซอ แล้วก็อันตราย คือถ้าใครไม่ได้เห็นภาพจะนึกไม่ออกว่าปีที่แล้วมันไม่น่าอยู่เอาเสียเลย แต่ตอนนี้ดูสิ น่าอยู่ ตึกที่โทรม ๆ มันซ่อมได้ มันรีโนเวต(Renovate) ให้ดีได้ ชีวิตของเรามันจะย่ำแย่อย่างไรที่ผ่านมา มันสร้างได้ รีโนเวตได้ จิตใจของเราที่ผ่านมาแม้มันจะย่ำแย่ สกปรก หม่นหมอง แต่เราสามารถทำให้กลับกลายเป็นเรือนสงบที่น่าอยู่ได้ มันอยู่ที่ความตั้งใจ อยู่ที่การฝึกจิต
19 ก.พ. 68 - ดูแลพ่อแม่อย่างไรใจไม่ทุกข์ : เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า ส่วนผู้ใหญ่ในวันนี้คือเด็กในวันหน้า ท่านก็หมายถึงคนแก่ก็เหมือนกับเด็ก ต้องการความเห็นใจ ขี้เหงา แล้วก็เอาใจตัว เป็นต้น บางที่ก็หดหู่ห่อเหี่ยวง่าย เจออะไรมากระทบบางทีก็ร้องไห้ หรือไม่ก็กราดเกรี้ยว จะว่าไปก็ไม่ต่างกับเด็ก ถ้าเกิดว่าลูกยอมรับว่าพ่อแม่ของเราเป็นอย่างนี้ พอถึงวัยชราแล้วมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ร่างกายที่เสื่อมถอย ความตายที่ใกล้เข้ามา รวมทั้งเคมีฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนไป มันทำให้คนที่รื่นเริงแจ่มใสกลายเป็นคนหดหู่เหี่ยว เพราะฉะนั้นก็เลยอ่อนไหว อยากให้คนอยู่ใกล้ พอลูกจะไม่อยู่ใกล้เพราะไปธุระ ก็ไม่พอใจ กลัว ตื่นตระหนก กราดเกรี้ยว อันนี้จะว่าไปมันก็ไม่ต่างกับเด็ก ถ้ายอมรับว่าคนแก่พอมาถึงวัยหนึ่งแล้วก็ไม่ต่างจากเด็ก ยอมรับเขาได้อย่างที่เขาเป็น ไม่ติดในภาพที่เขาเป็นผู้ใหญ่ที่องอาจ เข้มแข็ง แจ่มใส มันก็ไม่ทุกข์เท่าไร แล้วที่จริงถ้ามองอีกแง่หนึ่ง สิ่งที่พ่อแม่ทำกับเราในวันนี้ ก็ไม่ต่างจากที่เราทำกับพ่อแม่ตอนที่เรายังเด็ก ตอนที่เรายังเด็กเราก็โวยวาย เอาใจตัวเหมือนกัน บางทีถีบ บางทีอาละวาด ขว้างปาข้าวของเวลาไม่ถูกใจ ถึงตอนนี้สิ่งที่เราทำกับพ่อแม่ พ่อแม่ก็ทำกับเรา แล้วก็อย่างที่บอกคือว่าตอนที่เราทำกับพ่อแม่นี่เรายังเด็ก พ่อแม่เป็นผู้ใหญ่ แต่ตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว พ่อแม่สลับบทบาทกลายเป็นเด็กไปแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่พ่อแม่ทำกับเรา มันก็ไม่ต่างจากเราทำกับพ่อแม่ตอนที่เรายังเด็ก ลองนึกแบบนี้ก็ถือว่ามันก็แฟร์ เราทำกับเขาอย่างไร ตอนนี้เขาก็ทำกับเราอย่างนี้แหละ
18 ก.พ. 68 - ยิ่งอยากได้ ก็ยิ่งไม่ได้ : ยิ่งอยากให้เสร็จเร็วๆ ก็ยิ่งเนิ่นช้า แต่ยิ่งอยากให้มันเนิ่นนาน มันยิ่งกลับผ่านไปเร็ว อันนี้เราคงรู้สึกได้ เวลาสนุกอยากให้มันสนุกนานๆ แต่ทำไมมันสนุกแป๊บเดียวเอง เวลาเจอความเบื่อ อยากให้ความเบื่อมันหายไปไวๆ ทำไมมันนานเหลือเกิน ที่จริงมันไม่นานหรอก มันก็เท่าเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ว่าความรู้สึกถ้ามันเจือด้วยความอยากให้ผ่านไปไวๆ มันก็จะรู้สึกว่าผ่านไปเนิ่นนาน เนิ่นช้า ถ้าอยากให้มันผ่านไปช้าๆ ให้รู้สึกเนิ่นนาน มันกลับผ่านไปเร็ว ยิ่งอยากได้ยิ่งไม่ได้ แต่พอยิ่งสละ กลับได้ เช่น ความสุข ถ้าอยากได้ความสุข มันยิ่งทุกข์นะ เพราะว่าไม่ใช่ว่าไม่ได้ มันได้ แต่มันได้เท่าไหร่ก็ไม่พอใจ แต่ว่าพอไม่อยากได้ แถมสละด้วยนะ เช่น ให้ ผู้ให้ความสุขย่อมได้รับความสุข อันนี้เป็นพุทธภาษิต มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอเรายิ่งให้ยิ่งได้ แต่ถ้ายิ่งตักตวงก็ยิ่งสูญเสีย หรือไม่ได้ มันเป็นด้านตรงข้ามที่อยู่ด้วยกัน อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้ คำว่าอยากหรือคาดหวัง มันเป็นอุปสรรคที่ทำให้สิ่งที่อยากหรือสิ่งที่คาดหวังไม่เกิดขึ้น หรือมาได้อย่างช้า ที่จริงบางทีมันไม่ได้ช้า แล้วมันก็ไม่ได้น้อยด้วย แต่ความอยากมันทำให้รู้สึกว่ามันช้า ความอยากมันทำให้รู้สึกว่าที่ได้มันยังน้อย เพราะยิ่งอยากก็ยิ่งโลภ เช่นเดียวกัน ความกลัวก็เหมือนกัน ยิ่งกลัวอะไรยิ่งเจอ ยิ่งกลัวความสูญเสียก็ยิ่งเจอความสูญเสีย ยิ่งกลัวผีก็ยิ่งเจอผี บางทีมันไม่ใช่ สิ่งที่เจอมันไม่ใช่ผีหรอก แต่ใจมันปรุง ยิ่งกลัวก็ยิ่งเจอ คนที่นอนไม่หลับ ยิ่งอยากนอนให้หลับ มันก็ยิ่งไม่หลับ แต่พอลืมความอยากไป มันจะหลับเมื่อไหร่ก็ได้ ฉันไม่สนใจ ปรากฏว่าไม่นานก็หลับ ความอยากนอนหลับมันทำให้เกิดความเครียด พอเกิดความเครียดแล้วก็ทำให้ใจมันไม่ค่อยสงบ มันก็เลยหลับได้ยาก พอมีความเครียดก็มีฮอร์โมนบางตัวหลั่งออกมา คอร์ติซอลอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการนอนไม่หลับ จริงๆ การนอนไม่หลับไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ที่เราทุกข์เพราะอยากนอนให้หลับ เวลานอนไม่หลับมันก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะไม่มีเจ็บไม่มีปวด ก็แค่นอนอยู่บนเตียง หรือนอนอยู่บนฟูก นอนอยู่บนเบาะ ไม่ได้ทำอะไร ไม่เหนื่อยไม่ออกแรง ไม่ปวด มันจะทุกข์อะไร แต่ทำไมบางคนทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ไม่ใช่ทุกข์เพราะนอนไม่หลับ แต่เป็นเพราะอยากนอนให้หลับ พออยากนอนให้หลับมันก็ยิ่งไม่หลับ แต่หลายคนก็เรียนรู้วิธี ก็อย่าไปสนใจความอยาก กลับมาตามลมหายใจ กลับมายอมรับความจริงว่าไม่หลับก็ไม่หลับ ปรากฏว่าไม่นานก็หลับเอง แต่คนที่อยากนอนให้หลับต่างหากที่นอนไม่หลับ อันนี้ก็เป็นเรื่องเดียวกัน ยิ่งอยากได้ก็ยิ่งไม่ได้ แต่ปัญหาคือคนเราไม่ค่อยตระหนักว่า ความอยากคือปัญหา ความอยากคืออุปสรรค รวมทั้งความคาดหวังด้วย
17 ก.พ. 68 - หลงเชื่อทุกความคิด ชีวิตย่ำแย่ : ที่จริงหลายคนแม้จะไม่ถูกหลอกด้วยเพราะมิจฉาชีพ แต่ว่าชีวิตก็ย่ำแย่เพราะว่าความคิดมันหลอก หลอกเรื่องการพนัน หลอกเรื่องอบายมุข โดยที่ไม่มีมิจฉาชีพมาเกี่ยวข้องเลย แต่ว่าชีวิตก็ย่ำแย่ เพราะฉะนั้นการรู้ทันความคิดนี้มันสำคัญมากเลย และก่อนที่จะ และการที่จะรู้ทันความคิดที่จะพาเราเข้ารกเข้าพงได้ มันต้องฝึกรู้ทันความคิดที่เป็นตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน อย่างเช่นความคิดเรี่ยราด ความคิดเพ้อเจ้อ ความคิดพวกนี้มันไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่ แต่มันเกิดขึ้นทุกวัน ๆ เวลาเราอาบน้ำ เวลาเราถูฟัน มันก็จะมีความคิดเรี่ยราด มีความคิดเพ้อเจ้อ ซึ่งแม้จะไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่ถ้าเราฝึกรู้ทันมันเอาไว้ ไม่ปล่อยให้มันพาจิตกระเจิดกระเจิง รู้จักปล่อย รู้จักวาง รู้จักทักท้วงมันบ้าง ต่อไปถ้าเป็นความคิดที่มันปรุงแต่งไปในทางลบทางร้าย ที่ก่อให้เกิดโทษ ถ้าเราหลงตามมัน เราก็จะรู้จักทักท้วงมันได้ ถ้าปล่อยให้จิตใจนี้หลงเชื่อความคิดที่เรี่ยราด ความคิดเพ้อเจ้อ ต่อไปความคิดปรุงแต่งที่มันแย่ ๆ เราก็จะหลงเชื่อได้ง่าย ถึงตอนนั้นก็อาจจะสายไปแล้ว เพราะว่าทำอะไรที่แย่ไปเรียบร้อยแล้ว
16 ก.พ. 68 - จะเลือกสุขหรือเลือกทุกข์ : คนเราไม่ว่าจะตกอยู่ในเหตุการณ์ใด เราก็ยังเลือกได้ว่าจะสุขหรือทุกข์ถึงแม้ว่าทุกข์ไปเรียบร้อยแล้ว ทุกข์เพราะเศร้า ทุกข์เพราะโศก ทุกข์เพราะโกรธ ทุกข์เพราะเครียด ทุกข์เพราะกลัว แต่ก็ยังไม่สายที่จะเลือก เลือกอะไร เลือกสุข อย่างน้อยก็ต้องรู้จักถามตัวเองตอนที่กำลังทุกข์ว่า ฉันจะเลือกอะไร จะเลือกสุขหรือจะเลือกทุกข์ ถ้าเลือกสุขก็ต้องลงมือ พาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เปิดใจรับรู้สิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัว หรือว่ากลับมาตามลมหายใจ กลับมารับรู้กายแม้ว่ายังโกรธ แม้ว่ากำลังเครียด กลับมารู้ใจที่กำลังมีความโกรธ เผาลน กำลังมีความหนักอกหนักใจ บีบคั้นใจ มีความเกลียดทิ่มแทงใจ แล้วก็ไม่ต้องไปทะเลาะกับอารมณ์เหล่านี้ เพราะอารมณ์เหล่านี้มันก็ชวนทะเลาะอยู่แล้ว ใหม่ ๆ มันก็จะมีการยื้อแย่งต่อสู้กัน เราเลือกสุขแล้วแต่ยังอยากทุกข์ แต่ว่าถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ ไม่ไปทะเลาะกับมัน อนุญาตให้มันโกรธได้ อนุญาตให้ความทุกข์เกิดขึ้นได้ ไม่ผลักไสไล่ส่งมัน แค่ดูอยู่ห่าง ๆ มันก็จะล่าถอยไป ใหม่ ๆ ก็มานึกได้ว่า ฉันควรเลือกสุขหลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว แต่ต่อไปมันก็จะนึกขึ้นได้กลางวง หรือระหว่างที่กำลังจมในความทุกข์ นั่นแหละก็เปิดช่องให้สติความรู้สึกตัวเข้ามา ทำให้เห็นทำให้รู้ว่ากำลังทุกข์ แล้วก็ลงมือที่จะเติมสุขให้ใจ เติมความรู้สึกตัวให้ใจ และสุดท้ายก็จะสามารถครองจิตครองใจในขณะที่ความทุกข์มันก็ค่อย ๆ ละลายหายไป อย่าลืม ลองถามตัวเองเวลาเศร้าเวลาโศกเวลาโศกเวลาเครียดว่า ฉันจะเลือกสุขหรือจะเลือกทุกข์
15 ก.พ. 68 - หมั่นเตือนใจตนว่าอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ : ไม่ว่าจะเป็นลาภยศ สรรเสริญ พวกนี้เป็นสิ่งที่สามารถจะเปลี่ยนคนให้กลายเป็นอีกคนได้ แล้วไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีด้วย เปลี่ยนไปในทางที่แย่ เสื่อมลาภเสื่อมยศก็เหมือนกัน หรือว่าความเจ็บป่วย ความแก่ชรา ไม่ต้องพูดถึงความตาย ฉะนั้นคนเรายังไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับความไม่เที่ยงของสังขาร หรือความผันผวนแปรปรวนของโลก มันก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งแย่กว่าเดิม ที่จริงการปฏิบัติธรรมมันก็ทำให้เราเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งอยู่แล้ว แต่ว่าเป็นอีกคนที่ดีกว่าเดิม พร้อมที่จะเผชิญกับความทุกข์ ความพลัดพราก ความสูญเสีย ความไม่สมหวังได้ มันทำให้เราได้พบกับมิติใหม่ของตัวเอง หรืออย่างน้อยก็สามารถที่จะคุมความเป็นผู้เป็นคนเอาไว้ได้ ในยามที่เจอกับความสูญเสีย ในยามที่เจอกับความผันผวนปรวนแปรของชีวิต ถ้าไม่ตระหนัก เกิดความประมาท ไม่เข้าใจว่าอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ มันก็อาจจะทำให้เกิดความหลงตัวลืมตน ไม่คิดที่จะเตรียมเนื้อเตรียมตัว หรือเตรียมใจในการที่จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ ตอนที่เราอยู่ตอนนี้ความรู้สึกตอนนี้มันจะไม่เหมือนเดิมเมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป แต่ถ้าหากว่าทำใจยอมรับได้ อย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ ถึงเวลาเจ็บป่วยนิสัยใจคอความรู้สึกอาจจะเปลี่ยนไป ก็จะยังคงความปกติเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ แล้วต้องเตือนใจอยู่เสมอ อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันจะไม่อยู่จนถึงวันหน้า เพราะวันหน้าอาจจะกลายเป็นอื่นไปแล้วก็ได้
14 ก.พ. 68 - รักตัวเองก่อนรักคนอื่น : วันแห่งความรัก เราควรนึกถึงการให้ดอกไม้แก่ตัวเองมั่ง ให้เพื่ออะไร เพื่อเป็นกำลังใจ กำลังใจที่อาจจะรู้สึกท้อแท้กับชีวิตที่ผ่านมา รู้สึกเหนื่อยล้า รู้สึกผิดที่ยังทำดีไม่พอ บางทีเราต้องให้กำลังใจตัวเอง การให้ดอกไม้ก็เป็นการให้กำลังใจตัวเองเพื่อให้เดินหน้าต่อไป อย่าท้อถอย ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกให้มูฟออน ไม่ใช่เอาแต่ห่อเหี่ยว ท้อแท้ เพราะโบยตีตัวเองว่าเธอมันแย่ เธอมันไม่ได้เรื่อง แล้วเราต้องให้ดอกไม้แก่ตัวเองเป็นกำลังใจให้เดินหน้าต่อไป หรือไม่ก็ให้เพื่อเป็นรางวัลว่า โอ้โห เธอไม่ใช่ย่อยเลยนะ ตลอดปีที่ผ่านมาอุปสรรคมากมาย เธอก็สามารถฟันฝ่ามันไปได้ ฉันให้กำลังใจ ฉันให้รางวัลเธอนะเป็นดอกไม้ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ เป็นการแสดงความชื่นชม คนเราต้องทำแบบนี้กับตัวเองบ้าง ไม่ใช่เอาแต่โบยตีตัวเอง ทำให้จิตใจรู้สึกท้อแท้ หรือบั่นทอนความหวังกำลังใจที่จะก้าวหน้าต่อไป และถ้าทำดีก็ต้องให้รางวัล ให้ดอกไม้นี่แหละเป็นสัญลักษณ์ของการให้กำลังใจ เพื่อที่ตัวเองจะได้เดินหน้าต่อไป แล้วก็เป็นการให้รางวัลกับสิ่งดี ๆ ที่เราได้ทำ กับความพากเพียรพยายามที่ฟันฝ่าอุปสรรคมาได้ หรือว่าความสำเร็จโดยเฉพาะการที่รู้จักรักตัวเองให้ถูกต้อง เติมสติให้กับตัวเอง เติมความรู้สึกตัวให้กับตัวเอง ก็เป็นเหตุผลที่เราสมควรจะให้รางวัลกับตัวเอง เพื่อจะได้มีกำลังใจในการทำความดีเช่นนี้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
13 ก.พ. 68 - ความนิ่งสงบที่พบได้แม้ใจกระเพื่อม : แม้ว่าเราจะไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำให้ใจสงบได้ ในยามที่มีความเจ็บป่วยทางกาย แต่อย่างน้อยถ้าเราเห็นใจที่มันไม่สงบ อันนั้นก็จะทำให้เราได้เข้าถึงความสงบอีกชั้นหนึ่ง ที่เป็นความสงบชั้นรอง ซึ่งมันอยู่ในวิสัยที่เราจะทำได้ นักภาวนาจำนวนมากไม่รู้จักความสงบแบบนี้ ไปรู้จักหรือคาดหวังแต่ความสงบตัวหลักที่ว่าเจออะไรใจไม่กระเพื่อม แต่ไม่ได้นึกว่าแม้ใจกระเพื่อมแล้ว แม้จะมีอารมณ์เกิดขึ้น แม้จะมีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ก็ยังสามารถจะเข้าถึงความสงบอีกชั้นหนึ่งได้ แม้จะเป็นความสงบชั้นรอง แต่ว่ามันก็ช่วยทำให้อาการที่กระเพื่อมภายในใจมันไม่มารบกวน เพราะว่าพอเห็นความหงุดหงิด เห็นความท้อแท้ เห็นความผิดหวัง เห็นความโกรธที่เกิดขึ้น เนื่องจากความเจ็บความป่วย พออารมณ์เหล่านี้มันถูกเห็น มันก็จะสงบลงได้ ไม่ใช่ว่าใจไม่กระเพื่อม แต่มันกระเพื่อมได้ไม่นาน เพราะว่ามันถูกรู้ถูกเห็น นี้เป็นสิ่งที่เราควรจะมารู้จัก แล้วก็ทำให้มันเกิดขึ้นด้วยการฝึก ฝึกให้มีสติเห็นอารมณ์ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น เห็นแล้วก็รู้ทันการรู้ทันนี่แหละที่จะช่วยทำให้วางมันลงได้ ของแบบนี้มันต้องฝึก ฝึกเอาจากการที่มีสติ มารู้จิต มารู้เวทนา เราอาจจะไม่มีสติมากพอที่จะทำให้เกิดภาวะป่วยกายแต่ใจไม่ป่วย ไม่มีสติมากพอที่จะเห็นความปวดโดยไม่เป็นผู้ปวด แต่แม้จะเป็นผู้ปวด แล้วมันมีอาการโวยวายตีโพยตีพาย มันก็ยังไม่สายที่เราจะมีสติเห็นมัน ธรรมชาติของสตินี้เขาเรียกว่าให้โอกาสกับเรามาก แม้ว่าใจกระเพื่อมใจเป็นทุกข์ แต่ก็ไม่สายที่จะเห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับใจ ตราบใดที่เรายังมีสติไม่มากพอ ยังมีปัญญาไม่มากพอ เวลากายทุกข์ ใจก็ย่อมทุกข์ด้วย แต่ยังอยู่ในวิสัยที่จะเห็นใจที่ทุกข์ได้ คือเห็นเวทนาที่เกิดขึ้นกับใจ หรือเห็นอารมณ์อกุศลที่เป็นผลมาจากเวทนานั้น แล้วตรงนี้แหละที่จะทำให้ใจสงบได้ สงบเพราะเห็นความผันผวนปรวนแปรในใจ ไม่ใช่เพราะใจไม่ผันผวน ไม่ใช่เพราะใจนิ่งสงบล้วนๆ แต่เห็นอาการที่ใจไม่นิ่ง เห็นอาการที่ใจไม่สงบ มันก็พาเราไปพบกับความสงบอีกแบบหนึ่งได้ นี้เป็นความสงบภายในที่เราต้องรู้จัก ตราบใดที่เรายังเป็นปุถุชน ที่ยังไม่มีปัญญาหรือสติมากพอ ที่จะลดละความยึดติดถือมั่นต่างๆ จนกระทั่งจิตสามารถจะสงบนิ่งไม่หวั่นไหว หรือใจไม่กระเพื่อมเมื่อมีสิ่งมากระทบ.
12 ก.พ. 68 - เว้นชั่ว ทำดี และฝึกจิต ชีวิตไกลทุกข์ : เวลาเราเวียนเทียน ขณะที่เราเวียนเทียนรอบพระพุทธรูป พระปฏิมา ก็ขอให้เราน้อมนึกถึงคำสอนของพระองค์ไปพร้อมๆ กัน และพยายามทำให้คำสอนของพระองค์เข้ามาเป็นศูนย์กลางของชีวิต เราไม่ได้เวียนเทียนรอบพระพุทธรูปเท่านั้น แต่ขอให้ชีวิตของเรา จิตใจของเรา วนเวียนอยู่รอบธรรมะ หรือมีธรรมะของพระองค์เป็นศูนย์กลางของชีวิตเรา ก็ช่วยทำให้ชีวิตของเรามีความเจริญงอกงาม วันมาฆบูชาก็จะมีความหมายต่อชีวิตของเรา ไม่ใช่แค่เป็นวันสำคัญที่หยุดงาน หรือว่าเป็นวันที่เราจะมาทำบุญใส่บาตร หรือว่าเวียนเทียนเท่านั้น แต่ว่าจะมีความหมายในทางที่ทำให้ชีวิตของเราเจริญงอกงาม เพราะว่าจิตของเราสว่างไสวจากการได้ฝึกอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ทำดี แล้วก็เว้นชั่วเท่านั้น
11 ก.พ. 68 - ปลูกสติให้งอกงามกลางใจ : ให้เราสังเกตดู ถ้าเราทำเล่น ๆ มันจะเกิดความนุ่มนวลข้างในใจ ใจก็จะกลับมา กลับคืนสู่บ้านอย่างเรียกว่าละม่อม ไม่ใช่ถูกกระชากลากถู ขณะเดียวกันความคิดที่มันพาจิตฟุ้งไป มันก็จะไม่ถูกห้าม ถูกบีบ ถูกตัด แต่มันค่อย ๆ เลือนหายไปเอง มันเป็นกระบวนการที่ละมุนละม่อม อ่อนโยน เวลาใจจะคิดไป ฟุ้งไปไหน ก็อนุญาตให้ไปได้ แต่ก็จะถูกชวนให้กลับมา ไม่ใช่ไปลากลู่ถูกังให้กลับมา ฉะนั้นถ้าเราทำให้ใจมันเกิดความนุ่มนวล สติก็จะเติบโต แล้วสุดท้ายมันก็เหมือนกับต้นกล้าแห่งสติในใจเราก็จะค่อย ๆ งอกงาม จนกระทั่งเติบโตเต็มพื้นที่ เขียวขจี ร่มรื่น ที่เคยแห้ง ที่เคยแล้ง ร้อน มันก็จะกลายเป็นร่มรื่น แล้วก็ชุ่มชื่น สงบเย็น เกิดขึ้นภายในใจของเรา
10 ก.พ. 68 - อะไรเกิดขึ้นก็แค่รู้ : ใจรู้ว่ากายเคลื่อนไหวแปลว่าอะไร แปลว่า ใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ถ้าใจไม่รู้ว่ากายเคลื่อนไหว แสดงว่าตอนนั้นใจลอยแล้ว ใจลอยก็ดีเหมือนกัน จะได้ฝึกให้มันกลับมารู้เนื้อรู้ตัว แต่การที่เราไม่รู้ว่ากายเคลื่อนไหว มันก็เป็นตัวบ่งชี้ว่าใจลอย ก็เป็นของดี ฝึกให้ใจกลับมารู้เนื้อรู้ตัว อยู่กับเนื้อกับตัว ต่อไปก็จะรู้ทันความคิดและอารมณ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดกว่าความรู้สึกทางกาย ทำไปเรื่อยๆ ทำเล่นๆ ไป อย่าไปบังคับจิต อย่าไปพยายามเพ่ง อะไรเกิดขึ้นก็ดีทั้งนั้น เพราะมันเป็นแบบฝึกหัดให้ใจได้รู้ มันไปก็ดี เราจะได้ฝึกให้ใจพามันกลับมา อะไรพาจิตกลับมา ก็สตินั่นแหละ สตินั่นแหละคือสิ่งที่จะช่วยพาจิตกลับมา ยิ่งสติทำงานบ่อยๆ พาจิตกลับมาบ่อยๆ สติก็จะเร็วมากขึ้น และนี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการ คือฝึกให้สติรวดเร็วฉับไว รู้ทันเร็วๆ ทำไปเรื่อยๆ ไม่ว่าในรูปแบบ หรือเวลาเราทำกิจอื่นที่เคลื่อนไหว เช่น เดินกลับกุฏิ ถูฟัน เก็บที่นอน พวกนี้ก็เป็นโอกาสของการปฏิบัติได้
9 ก.พ. 68 - ทำพื้นที่กลางใจให้ปลอดโปร่ง : อะไรเกิดขึ้นกับใจก็ดีทั้งนั้น ขอเพียงแต่ให้รู้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นในใจ แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ค่อยมารู้กาย แต่ใหม่ ๆ ก็คงจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานที่สิ่งแวดล้อม แล้วก็พยายามเคี่ยวเข็ญตัวเองให้ตื่นแต่เช้า แล้วก็ปฏิบัติทั้งวันไม่ว่ามันจะเบื่ออย่างไร ง่วงอย่างไร หรือว่าฟุ้งอย่างไร ก็ทำไป 2-3 วันแรกก็จะต้องปลุกปล้ำขับเคี่ยวกับตัวเองหน่อย แต่ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ดีทั้งนั้นถ้ารู้ แม้เบื่อ แม้หงุดหงิด เราไม่เรียกร้องว่าต้องไม่เบื่อ ต้องไม่หงุดหงิด ต้องไม่ฟุ้ง การปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียนไม่เรียกร้องว่าจะต้องใจสงบ ไม่ฟุ้ง ไม่เบื่อ ฟุ้งไปเลย หงุดหงิดไปเลย เซ็งไปเลยก็ได้ แต่ขอให้รู้ แล้วก็อย่าไปไหลตามมันเท่านั้นเอง
8 ก.พ. 68 - เปลี่ยนเหตุผลที่แท้ให้เป็นเหตุผลที่ดี : คนจบปริญญาเอกนี่ กิเลสมันก็จบปริญญาเอกเหมือนกัน แต่ไม่ใช่แค่นั้น คนที่รู้ธรรมะนี่ กิเลสมันก็รู้ธรรมะเหมือนกัน และกิเลสบางทีมันก็สรรหาธรรมะมาล่อหลอกให้เราหลงเชื่อ ทำตามอำนาจของมัน คนเรานี่ทำตามอำนาจกิเลสเพราะว่าหลงเชื่อข้ออ้างในทางธรรม ก็มีมาเยอะแล้ว เอามาใช้ประหัตประหารกัน อ้างธรรมะ เพราะว่าทนไม่ได้ที่มีใครบางคนมาข่มอัตตา เด่นดังกว่า ก็เลยต้องเล่นงาน โดยอาศัยข้ออ้างทางธรรม เพื่อพิทักษ์ธรรม เพื่อรักษาความถูกต้องของธรรมะ ก็เลยถล่มอีกฝ่ายหนึ่งที่เห็นต่าง เหตุผลก็ดูดี เพื่อธรรมะ แต่ว่าไม่ใช่เหตุผลที่แท้ แต่นักปฏิบัติธรรมนี่ หน้าที่ของเราคือ รู้ทันเหตุผลของกิเลส แล้วก็ไม่ประมาทว่าธรรมะที่มันเอามาเป็นข้ออ้างนี่ อาจจะไม่ใช่เหตุผลที่แท้ก็ได้ แต่เป็นเหตุผลของกิเลส ทีนี้ พอเรารู้ทันอำนาจของกิเลสแล้ว ไม่เปิดโอกาส หรือไม่เปิดช่องให้กิเลสมันครองใจ อาจจะเผลอโวยวายไปบ้าง เพราะว่าไม่รู้ทัน แต่ก็กลับมาตั้งหลักมีสติได้ ต่อไปก็ต้องพยายามบำรุงส่งเสริมความใฝ่ดีในใจเรา เช่น เมตตา กรุณา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความรู้จักให้อภัย สติ สมาธิ ต้องเสริมสร้างพลัง หรือปัจจัยฝ่ายดี ให้มันครองใจเรา
7 ก.พ. 68 - มีให้เป็น เจอให้ถูก ก็ไม่ทุกข์ : มีอะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า มีอย่างไร เจออะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเจออย่างไร เจอเสียงดังมากระทบหู หรือว่าเจอคนต่อว่าด่าทอ หรือเจอความเจ็บความป่วย แต่ว่าถ้าปฏิบัติกับมันถูก ไม่ทุกข์ แถมได้ประโยชน์ด้วย อย่างที่เคยเล่าพระอาจารย์ทองรัตน์ถูกคนหย่อนบัตรสนเท่ห์ ขู่จะเอาลูกปืนมายิง มาไล่ออกจากวัด ท่านกลับเอามาสอนเณรว่านี่ของดี โลกธรรม 8 เป็นอย่างนี้เอง เคยได้ยินมา แต่ว่าวันนี้มาเห็นด้วยตัวเอง ท่านเรียกว่าเป็นอมฤตธรรม แล้วคนที่หย่อนบัตรสนเท่ห์ให้ท่านก็เรียกว่าเป็นเทวดา ฉะนั้น เจออะไรไม่สำคัญเท่ากับว่าเจออย่างไร เจอด้วยท่าทีแบบไหน เจออย่างมีสติมีปัญญา เพราะฉะนั้นเวลาปฏิบัติอย่าไปกังวลว่า ขออย่าได้ไม่มีอย่างโน้น ไม่มีอย่างนี้ ไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน ไม่มีความกังวล จะมีก็มีมาเลย แต่ว่าเรารู้ เรามีวิชาที่จะรับมือกับมัน ไม่ใช่ความคิดฟุ้งซ่าน ไม่ใช่เฉพาะอารมณ์อกุศล แม้กระทั่งความเจ็บป่วย เสียงต่อว่าด่าทอ เมื่อมีหรือเจอ มีให้เป็น เจอให้ถูก ก็ไม่ทุกข์ แถมจิตใจเจริญงอกงาม มีสติปัญญาก้าวหน้าด้วย
29 ม.ค. 68 - ทำดีต้องประพฤติดีด้วย : การปฏิบัติธรรม แม้จะเป็นธรรมดีที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว มันก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติแบบซื่อๆ ตรงๆ หรือว่าแบบเถรส่องบาตร จะต้องปฏิบัติโดยใช้ปัญญา ปฏิบัติโดยสมควร เช่น ไม่ทำน้อยไป ไม่ทำมากไป หรือใช้ให้ถูกกรณี ถูกเวลา แล้วที่สำคัญคือ ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับมัน ไม่ใช่เอาธรรมะมาทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะเชื่อว่าของตัวเองถูก ของตัวเองดีกว่า อย่างที่มีหลายสำนักมาทะเลาะกันว่า การปฏิบัติของสำนักฉันดีกว่าของสำนักเธอ บางทีลูกศิษย์ก็มาทะเลาะกัน อันนี้เรียกว่าเอาธรรมะมาเป็นเครื่องยึดมั่นถือมั่น สุดท้ายก็กดถ่วงหรือว่าหน่วงเหนี่ยวให้เกิดความเนิ่นช้าในการปฏิบัติ
27 ม.ค. 68 - พื้นที่ปลอดภัยที่แท้จริง : แต่ต่อไปพอมีปัญญาเข้าใจสัจธรรมความจริง ความโกรธก็ไม่มี เพราะว่าไม่มีความยึดติดถือมั่นตั้งแต่แรก ไม่มีตัวกู ไม่มีการยึดว่าเป็นตัวกูตั้งแต่แรก จึงไม่มีผู้โกรธ ใครมาด่าว่าอะไรก็ไม่รู้สึกว่าตัวกูถูกกระทบ เหมือนกับว่าโยนหินลงไป ไม่มีแก้วมารับการกระแทก ไม่มีการแตกร้าว ก็คือไม่มีความทุกข์ ใครจะว่าอะไรก็ไม่ทุกข์ เพราะว่าไม่มีตัวกูเป็นผู้รับคำต่อว่าด่าทอ ทรัพย์สินที่ถูกแย่งชิงไปก็ไม่ได้ทำไม่ทุกข์ เพราะไม่ได้คิดว่าเป็นของเราตั้งแต่แรก กายเจ็บกายป่วยก็ไม่ได้ทุกข์ ไม่ได้หงุดหงิด ไม่ได้โมโห ไม่ได้หวั่นกลัว เพราะว่าไม่ได้ยึดว่ากายนี้เป็นเราเป็นของเราตั้งแต่แรก ฉะนั้นความทุกข์หรืออารมณ์ที่เคยรบกวนจิตใจ ตอนนี้ก็เรียกว่าเลือนหายไป ใจก็เลยเป็นเรียกว่าแดนสงบ แคล้วคลาดจากอันตราย มีความสงบเย็นอย่างแท้จริง ตรงนี้แหละที่เรียกว่า เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง เพราะมีสติ มีความรู้สึกตัวคอยรักษา แล้วก็ยิ่งกว่านั้นคือ มีปัญญาที่จะช่วยสร้างความสว่างไสวให้กับใจ กวาดเอาความทุกข์ อุปสรรค ที่เกิดจากอวิชชา แล้วก็ความละกิเลสออกไปให้หมด แล้วเรามาแสวงหาหรือว่ามาสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยกลางใจเรา อันนี้จะดีกว่า เพราะว่าถ้าทำได้เช่นนี้ โรคภัยไข้เจ็บก็ทำให้ใจเป็นทุกข์ไม่ได้ ความพิการ ความแก่ชรา ความสูญเสีย ก็ทำให้ใจเป็นทุกข์ไม่ได้ เรียกว่าปลอดภัยอย่างแท้จริง
25 ม.ค. 68 - ฝึกตนให้เป็นผู้ใฝ่รู้ : ใฝ่รู้อีกความหมายหนึ่งก็คือว่า ใฝ่เรียนรู้ อะไรเกิดขึ้นก็เรียนรู้ หาประโยชน์จากมัน เพราะฉะนั้นเวลาคนต่อว่าด่าทอ แทนที่จะทุกข์ก็ได้รู้ ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันบอกอะไรเรา ฉะนั้นถ้าคนเราใฝ่เรียนรู้อยู่เสมอ มันได้ประโยชน์ เงินหาย เจ็บป่วย ก็ได้เรียนรู้ อาจจะเรียนรู้เรื่องความไม่เที่ยง อาจจะได้เรียนรู้เรื่องอนัตตา ไม่ใช่แค่อนิจจังอย่างเดียว รวมถึงอนัตตาด้วย หรืออาจจะได้เรียนรู้ว่า เราต้องระมัดระวังมากกว่านี้ เอาความผิดพลาดเป็นครู ที่ผ่านมาเราพลาด ประมาท หรือว่าไว้วางใจก็เลยถูกเขาหลอกเอาเงินไป หรือเป็นเพราะไม่ดูแลรักษาร่างกายให้ดี พักผ่อนน้อยไป ก็เลยเจ็บป่วย อันนี้จะเรียกว่าเป็นการเรียนรู้ในทางโลกก็ได้ เรียนรู้ในทางโลกว่า ที่สูญเงิน ที่เจ็บป่วยนี่เพราะอะไร ก็เอาผิดเป็นครู เป็นบทเรียน แต่ที่เรียนรู้ในทางธรรมก็คือว่า มันสอนในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สอนเรื่องไตรลักษณ์ให้กับเรา ฉะนั้นถ้าใฝ่รู้แบบนี้อะไรเกิดขึ้นกับเราก็ดีทั้งนั้น เรียกว่าได้ ได้เสมอ ไม่ว่าจะเสียไปเท่าไหร่ก็ได้เสมอ ได้บทเรียน ได้ความรู้ ได้ปัญญา อันนี้เพราะว่าใจที่ใฝ่รู้ ถ้าไม่ใฝ่รู้มันก็จะเอาแต่คร่ำครวญ โวยวายตีโพยตีพาย ก่นด่าชะตากรรม แต่ถ้าใฝ่รู้ แทนที่จะคร่ำครวญ มันจะใคร่ครวญ ไม่เหมือนกัน คร่ำครวญนี่มีแต่ทุกข์แต่ใคร่ครวญนี่ได้ปัญญา แล้วคนที่จะขยันใคร่ครวญนี่ได้ก็คือผู้ที่ใฝ่รู้ อะไรเกิดขึ้นก็ได้เรียนรู้อยู่เสมอ
24 ม.ค. 68 - รู้เรื่องตัวเองให้มาก รู้เรื่องคนอื่นให้น้อย : การที่คนเราจะรู้เรื่องตัวเองมาก ๆ มันไม่ใช่แค่ไปดูหน้าตัวเองที่กระจก สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้สอนเรื่องสตินี้มันมีความสำคัญมากเลย เพราะมันเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราเห็นตัวเองอย่างชัดเจน เห็นตัวเองแบบละเอียดเลย เห็นเลย อ๋อ เป็นเพราะความยึดติดในหน้าตาจึงเป็นเหตุให้ทุกข์ เป็นเพราะคาดหวังให้เขาชม พอเขาไม่ชมจึงทุกข์ เป็นเพราะคาดหวังให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอเขาไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง เราจึงทุกข์ พยายามที่ผ่านมาก็พยายามจะให้เขาเป็นอย่างที่เราคาดหวัง แต่พอปรับเปลี่ยนที่ใจของเราคือลดความคาดหวังลง ความทุกข์มันหายไปเลย แต่คนเราจะไม่รู้ว่าตัวเองนี่เป็นตัวการก่อทุกข์หรือสร้างทุกข์สร้างปัญหาให้กับตัวเองได้อย่างไร จนกว่าจะมีสติ เพราะบางครั้งเราอาจจะไม่ได้ทำอะไรที่เป็นปัญหา แต่ว่าใจของเรานั่นแหละ ความหลง ความไม่รู้ตัว ความยึดติดถือมั่น ตรงนี้แหละที่มันสร้างปัญหา เราอาจจะไม่ได้นินทาว่าร้ายใคร เราอาจจะไม่ได้ไปรังแกใคร แต่ว่าใจของเรายังวางไว้ไม่ถูก ยังยึดติดถือมั่นเวลาใครว่าอะไรก็ไปจดจ่อใส่ใจ แทนที่จะปล่อยให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็ปล่อยให้มันวนเวียนในหัว ยิ่งวนเวียนเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์ แล้วก็ไปโทษคนอื่น แต่ไม่ได้มองว่าความเป็นเพราะเราวางใจผิดจึงเกิดความทุกข์ขึ้นที่ใจของตัว การเจริญสติมันช่วยทำให้เราเห็นตัวเอง แล้วก็รู้เรื่องตัวเองเยอะ ๆ แล้วก็ไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของคนอื่น โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความทุกข์ในใจเรา แต่ถ้าหากว่าเราไม่มีสติ มันก็จะอดไม่ได้ที่ส่งจิตออกนอก แล้วก็จะไปเห็นความผิดพลาดของคนนั้นคนนี้ รวมทั้งโทษด้วยว่าเขาสร้างปัญหาให้กับเรา ที่ค้าขายไม่ค่อยดีก็เป็นเพราะคู่แข่ง ไม่ใช่เป็นเพราะตัวเรา นี่มันไปถึงขนาดนี้ แล้วที่คำพูดของนักธุรกิจคนนี้ รู้เรื่องตัวเองเยอะ ๆ รู้เรื่องคนอื่นน้อย ๆ จริง ๆ แล้วนี่มันมีความหมายในทางธรรมไม่น้อยเลยถ้าหากว่าเรารู้จักมอง
23 ม.ค. 68 - แก่อย่างมีความสุข : ใจจะไหลไปอดีต ลอยไปอนาคต ก็ดึงกลับมา ทำที่บ้าน ทำทุกวัน แล้วใจก็จะเริ่มมีความสดชื่น เพราะความรู้สึกตัวจะช่วยขับไล่ความเบื่อ ความเซ็ง ความเหงา มันจะปกป้องใจไม่ให้ความคิดเกี่ยวกับอดีตและอนาคตมารบกวนบีบคั้นเรา อย่าขยันแต่ทำบุญอย่างที่เคยทำ อันนี้ก็ดีอยู่แต่มันไม่พอ ต้องฝึกปฏิบัติธรรมด้วยเพื่อเราจะได้มีเครื่องมือรักษากายและใจ ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนเกียร์แล้วนะ จากเกียร์ 4 เกียร์ 5 มาเปลี่ยนเป็นเกียร์ 1 เกียร์ 2 จากการแสวงหาความสำเร็จ ชื่อเสียง เงินทอง แสวงหาความสุขสิ่งเสพ มาเป็นการดูแลรักษากายและใจให้เป็นสุข แล้วเราก็จะเป็นคนแก่ได้อย่างมีความสุข ใครจะเรียกว่าเราแก่ เราก็ไม่ได้อับอายอะไร ไม่ต้องเรียกว่าสูงวัยก็ได้ แก่อย่างมีคุณภาพ แก่อย่างมีความสุข ถึงเวลาป่วยก็จะป่วยได้โดยไม่ทุกข์ เพราะว่าเรามีธรรมะรักษากายและใจ เวลาป่วยก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย ไม่วิตกกังวลอะไร อยู่กับความเจ็บป่วย อยู่กับความแก่ได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ นี่แหละคือสิ่งที่ธรรมะจะช่วยเราได้
22 ม.ค. 68 - ชีวิตที่ถูกตามใจเป็นทุกข์ได้ง่าย : คนทุกวันนี้จิตใจอ่อนแอมาก ไม่สามารถที่จะสู้หรือทัดทานกิเลสได้ เพราะว่าถูกตามใจมาตลอด แล้วสิ่งที่ตามใจก็อย่างที่บอก ไม่ใช่พ่อแม่เท่านั้น แต่รวมถึงเทคโนโลยี โทรศัพท์มือถือ โซเชียลมีเดีย พวกนี้มันปรนเปรอเราตลอดเวลา ถ้าเราไม่รู้ทัน เราก็จะพึ่งพา เสพติดมัน แล้วก็ตกเป็นทาสของมัน เพราะว่าไม่มีความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ หรือทักท้วงกิเลสได้ การเจริญสติก็เป็นสิ่งสำคัญ แต่นั่นเป็นเรื่องของปัจจัยภายใน เราต้องช่วยกันสร้างหรือสรรหาปัจจัยภายนอกที่จะเกื้อกูลต่อการภาวนา ต่อการทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งขึ้น ปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กัน มีแต่ปัจจัยภายใน แต่ว่าไม่ให้ความสำคัญกับปัจจัยภายนอก สติหรือว่าปัญญาของเราก็อาจจะไม่เข้มแข็งมากพอที่จะสู้กับกิเลสได้ แต่ถ้าหากว่ามีแต่ปัจจัยภายนอก แต่ไม่สร้างปัจจัยภายใน คือไม่ได้ฝึกจิตฝึกใจไว้ พอเราเปลี่ยนที่ กลับไปอยู่สถานที่เดิม มันก็กลับไปสู่ร่องเดิม ก็คือร่องแห่งความทุกข์ ชีวิตที่ย่ำแย่ ฉะนั้นถ้าเรารักชีวิต รักจิตรักใจของตัวเอง เราต้องรู้จักสร้างปัจจัยภายใน ควบคู่ไปกับการหาปัจจัยภายนอกที่จะช่วยทำให้เราเป็นตัวของตัวเองได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะมีสิ่งล่อเร้าเย้ายวนอย่างไร ก็ไม่ปล่อยใจให้หลงใหล หรือไม่ปล่อยให้กิเลสมีอำนาจเหนือจิตใจของเรา