เสียงบรรยายธรรมของหลวงพ่อไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ (จัดทำโดยลูกศิษย์)

27 ก.ย. 68 - เจออะไรก็ไม่ลืมตัว : ฝึกในชีวิตประจำวัน เวลาทำอะไร กินข้าว หรือว่าเวลาทำงาน ได้ยินได้ฟังเรื่องอะไรก่อนหน้านั้นที่ทำให้เกิดความไม่พอใจ เกิดความโกรธ เกิดความเสียใจ หรือเกิดความตื่นตระหนก ก็รู้จักวางลงบ้าง กลับมาอยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำในเวลานั้น บางทีกำลังกินข้าวอยู่ นึกเป็นห่วงงาน ก็รู้จักวางงานลงบ้าง เพราะไม่เช่นนั้นใจนึกถึงงาน เลยลืมไปเลยว่ากำลังกินอะไร หรือบางทีนึกถึงงาน จนลืมลูก กำลังคุยกับลูก กำลังฟังลูก ลูกมีปัญหาชีวิต มีปัญหาในโรงเรียน แต่พ่อหรือแม่นี่ใจกลับหมกมุ่นครุ่นคิดกับงาน จนไม่ได้เปิดใจฟังลูก ไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของลูก ลูกก็รู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ได้ฟังเขาเลย ก็กลายเป็นว่าการทำงานหน้าที่ของพ่อแม่ที่พึงมีต่อลูก เสียไปเพราะว่าไม่มีสติ หลายคนถามว่าสติทำงานอย่างไร สติคืออะไร ก็ตอบง่าย ๆ สติคือ การระลึกรู้ ทำให้ไม่ลืมหน้าที่ที่ควรทำ หรือหน้าที่ที่กำลังทำอยู่ แล้วก็ไม่ลืมตน รวมทั้งไม่ลืมสัจธรรมความจริงที่จะต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของตน ไม่ช้าก็เร็ว ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

26 ก.ย. 68 - ชีวิตทีต้องตระเตรียม และต้องฝึกฝนตนอยู่เสมอ : เวลามาวัดถ้าเราคาดหวังความสบาย หวังความสงบ นี่ถือว่าประมาทแล้ว ชาวพุทธเราต้องเป็นผู้ใฝ่ฝึกฝน ใฝ่พัฒนาตน แล้วยิ่งถือว่าความไม่ประมาทเป็นสิ่งสำคัญ ถือว่าการตระเตรียมการฝึกฝนเป็นเรื่องสำคัญ เราจะฝึกฝนจากอะไร เราก็ฝึกฝนจากของจริง สิ่งที่มากระทบใจ สิ่งที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย อนิฏฐารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ไม่น่าพอใจ แทนที่จะปล่อยใจให้เป็นทุกข์กับมัน ก็สามารถยกจิตให้เหนือความทุกข์ได้ ถ้าเรามองแบบนี้ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเราในแต่ละวัน ๆ ก็ถือเป็นของดี เราได้มีโอกาสฝึกฝน เราได้มีโอกาสซักซ้อม จุดหมายสำคัญคือการรักษาใจให้สงบได้ไม่ว่ามีอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา อันนี้เป็นสิ่งที่เราควรตั้งจุดมุ่งเอาไว้ เวลามาวัด เวลามาปฏิบัติธรรม หรือว่าเวลาใช้ชีวิต เจอความราบรื่น เจอความสบาย เจอความสงบ อันนี้ก็ดีแล้ว แต่ให้รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นของไม่เที่ยง ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเจอกับสิ่งที่เสียดแทงใจ สิ่งที่ทำความไม่สบายกายไม่สบายใจ อย่างที่เราสวดทุกวัน ประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก พลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ถ้าเจอแล้วใจจะเป็นปกติได้อย่างไร ต้องคิดด้วย ซึ่งจะทำอย่างนั้นได้ ต้องฝึกต้องซ้อมจากของจริงก่อนที่จะไปเจอสิ่งที่หนักหนาสาหัส ถ้าเราแสวงหาแต่สิ่งที่สบายสิ่งที่ถูกใจ อันนี้แสดงว่าเรากำลังประมาทแล้ว เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เราตายใจ นิ่งนอนใจ แล้วก็ละเลยในการทำความเพียรได้

24 ก.ย. 68 - อัศจรรย์พบได้ในปัจจุบัน : เคยพาคนเดินรอบสระตอนเช้าๆ ระยะทางก็ไม่ยาวเท่าไหร่ ประมาณครึ่งชั่วโมงก็รอบสระแล้ว พอเดินเสร็จ ก็ถามเขาว่า ได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องไหม หลายคนบอกว่าไม่ได้ยิน เขาสงสัยว่ามีด้วยหรือ ที่จริงมี จิ้งหรีดร้องตามจุดต่างๆ รอบสระ แต่ทำไมเดินผ่านจุดนั้นไม่ได้ยิน เพราะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใจตอนนั้นลอย คิดโน่นคิดนี่ พอคิดโน่นคิดนี่ใจก็ไม่ว่าง ใจไม่ว่างก็เหมือนกับน้ำในแก้วที่เต็ม เติมน้ำใส่ลงไปก็ล้นออกหมด ใจที่ปิดรับเสียงนกร้อง เสียงจิ้งหรีด ก็เพราะว่ามันเต็มไปด้วยความคิด แล้วที่เต็มไปด้วยความคิดเพราะว่าตอนนั้นใจไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ใจอยู่กับอนาคตบ้าง อยู่กับอดีตบ้าง แต่ถ้าเกิดว่าเราเอาใจอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ใช่แค่รู้ใน คือรู้กายรู้ใจเท่านั้น ยังรู้นอกด้วย นกร้อง จิ้งหรีดร้องก็ได้ยิน แต่ว่าไม่ได้พะวง บางคนส่งจิตออกนอก พอได้ยินเสียงนกร้อง นึกว่านกอะไรน่ะที่ร้อง นกกระเต็นหรือเปล่า คงอพยพกันมา หรือบางทีก็นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เคยได้ยินเสียงนกร้องขณะที่อยู่ในสวน เดินเล่นกับแฟนซึ่งตอนนี้เลิกกันเรียบร้อยแล้ว เกิดความอาลัยอาวรณ์ เพราะเสียงนกร้องเตือนให้ระลึกถึงความหลังวันวานอันหวานชื่น ก็ยาวไปเลย อันนั้นก็ไม่ใช่ เพราะถ้าหากว่าอยู่กับปัจจุบัน มีสติ มีความรู้สึกตัว ได้ยินเสียงนกร้อง แต่ไม่ปรุงแต่ง ไม่ไหลไปอดีต ไม่ลอยไปอนาคต ไม่จมอยู่ในอารมณ์ แล้วพอใจเปิดรับ พร้อมจะเปิดรับสิ่งต่างๆ ก็จะเห็นสิ่งสวยงามได้

23 ก.ย. 68 - อย่าเผลอให้ความคิดทำร้ายใจเรา : ถ้าเราศึกษากาลามสูตร จะพบว่าท่านสอนให้ไม่เชื่อความคิด แม้บางอย่างจะดูแล้วมีเหตุมีผล อย่าเชื่อเพียงเพราะมันสมเหตุสมผล อย่าเชื่อเพียงเพราะการอนุมาน อนุมานก็เป็นเรื่องของความคิด อย่าเชื่อเพราะสอดคล้องกับตรรกะ ถึงแม้ว่าถูกต้องตามตรรกะ หรือมีเหตุมีผล ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อ เพราะว่าความจริงอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ผลีผลามด่วนสรุป หลงเชื่อตามความคิด หรือหลงเชื่ออะไรก็ตามที่มันสอดคล้องกับความคิดของเรา เราก็ถูกหลอกได้ยาก ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้เราเป็นทุกข์ เสียเงินเสียทอง หรือบางทีก็หน้าแตกก็มี การมีสติ ช่วยให้เรารู้จักทักท้วงความคิด และรู้จักเลือกใช้ความคิดที่มีประโยชน์ เป็นกุศล แล้วก็ช่วยทำให้เราสามารถจะเป็นนายความคิดได้ ไม่ใช่ว่าปล่อยให้ความคิดมาเป็นนายเรา จนพาชีวิตจิตใจของเราเข้ารกเข้าพง

22 ก.ย. 68 - ในเสียมีได้ : ถ้าเกิดถูกปล้นจนไม่เหลืออะไรเลย ก็ยังเรียกว่าเท่าทุนได้ ที่จริงยังได้กำไร เพราะว่าในหัวเราก็ยังมีความคิด มีสติปัญญา มีความรู้ ซึ่งเมื่อเทียบกับตอนที่เราเกิดมา เราไม่มีอะไรในหัวเลย อย่าว่าแต่ไม่มีเสื้อผ้าเลย แม้กระทั่งความรู้ ประสบการณ์ รวมทั้งเครือข่ายผู้คนที่รู้จัก ไม่มีเลย แต่ว่าพอเราโตขึ้น แม้เราจะไม่เหลืออะไรเลย อย่างน้อยเราก็มีความรู้ มีสติปัญญาอยู่ในหัว มีเครือข่ายความสัมพันธ์คนรู้จัก ถูกไฟไหม้จนทรัพย์สมบัติไม่เหลือ ก็ยังสามารถฟื้นตัวได้ อาศัยเครือข่ายญาติพี่น้อง เครือข่ายเพื่อนฝูง ทำมาหากิน ก็สามารถจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ฉะนั้นเรามองแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เมื่อเราสูญเสียไปมากมาย อย่างน้อยเราก็เท่าทุน แต่ถ้าเราฉลาดอีกหน่อย เราก็พบว่าเราได้ ได้เรียนรู้ ได้สติปัญญา ได้เรียนรู้สัจธรรม ถ้ามีปัญญา มันมีแต่ได้ไม่มีเสีย หรือถึงไม่ได้ ยังมองไม่เห็นว่าได้อะไร อย่างน้อยก็เท่าทุน ให้เราคิดแบบนี้บ้าง เพราะว่าชีวิตเราต้องเจอกับความสูญเสีย ไม่ใช่ว่าได้อย่างเดียวแล้วก็เสียด้วย ถ้าเรามองเห็นว่าที่เสียไป แต่เราก็ได้อะไรหลายอย่างกลับมา หรือถึงมองไม่เห็นว่าได้อะไร อย่างน้อยก็เท่าทุนเพราะว่าก่อนหน้านั้นเราไม่มีอะไรเลยเหมือนกัน

20 ก.ย. 68 - ออกจากทุกข์เพราะวางใจถูก : ถ้าดีกว่านั้นก็คือมีปัญญา เห็น เข้าใจ ความจริงของชีวิต เข้าใจสัจธรรม เข้าใจว่า สังขารเป็นทุกข์ ไม่น่ายึดถือ ยึดถือเมื่อไหร่ก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น หรือเห็นไปถึงขั้นว่า ไม่มีเรา ที่ทุกข์นี่ไม่ใช่เรา เป็นกายที่ทุกข์ ไม่มีเราทุกข์ ไม่มีเราป่วย ใครเขาด่า แม้เสียงด่ากระทบหู ก็ไม่ทุกข์ เพราะไม่มีตัวกูไปรับ เพราะว่าไม่มีความยึดติดถือมั่นในตัวกู ไม่มีตัวกูที่จะทุกข์เพราะคำด่า แบบนี้เรียกว่า ต้องเห็นสัจธรรม แต่จะทำกันได้ ต้องมีปัญญา ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ แต่ตัวอย่างที่พูดมา ทำได้ ปุถุชนคนทั่วไป ขอเพียงแค่มีสติ แล้วรู้จักคิด เรียกว่าคิดนอกกรอบก็ได้ หรือว่าคิดออกจากความเคยชิน เพราะถ้าอยู่กับความเคยชิน ก็ไปกังวลอยู่กับอนาคต ไม่สามารถจะพาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบัน และเห็นสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ได้ หรือไม่เช่นนั้นก็คิดตัดพ้อชะตากรรม ว่าทำไมแม่ต้องมาดูแลลูก ทำไมลูกไม่เป็นฝ่ายดูแลแม่ อันนี้เป็นการมองตามกระแส แต่พอมองหลุดออกจากกระแส หลุดจากกรอบ ก็รู้สึกว่า โชคดีที่เราป่วย แทนที่จะเป็นแม่ป่วย ลูกป่วยดีแล้ว จะเป็นแบบนี้ได้ต้องมองออกมานอกกรอบ แล้วจะออกมานอกกรอบอย่างนี้ได้ต้องอาศัยสติช่วย ไม่อย่างนั้นก็จะจมอยู่กับกระแสความคิด หรือความเคยชินเดิม ๆ ซึ่งก็มีแต่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์มากขึ้น

19 ก.ย. 68 - รู้กายรู้ใจได้ทุกที่ : รู้กายเคลื่อนไหวเมื่อทำกิจ เห็นใจคิดนึกเมื่อเจอผัสสะ หรือเมื่อเจอนั่นเจอนี่ คนเราทั้งวันก็ทำแค่ 2 อย่าง ถ้าไม่ทำนั่นทำนี่ ก็เจอนั่นเจอนี่ แต่ถ้าหากว่าเราจับหลักได้ว่า ไม่ว่าทำอะไรก็รู้กายเคลื่อนไหว หรือเจออะไรก็ตาม เช่น มีการกระทบ แล้วเกิดความคิด อารมณ์ขึ้นมา ก็รู้ทันความคิดและอารมณ์นั้น รู้กายเคลื่อนไหวเมื่อทำกิจ รู้ใจคิดนึกเมื่อเจอผัสสะ ถ้าทำได้ 2 อย่างนี้ ก็เรียกว่าปฏิบัติได้ทั้งวันแล้ว เพราะว่ามีแต่ทำกับเจอ เท่านั้นแหละตลอดเวลาที่เราตื่นมา การปฏิบัติหากว่า เราก่อรูปสร้างนิสัยขึ้นมาจากการที่มาปฏิบัติที่นี่ได้จะเป็นทุนสำหรับการนำไปทำต่อที่บ้าน ที่ทำงาน หรือถึงแม้จะไม่ได้อะไรอย่างที่หวังที่นี่ แต่ว่าถ้าไปทำต่อ สิ่งที่คาดหวังเอาไว้ย่อมประสบพบเห็นแน่ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา แต่เวลาจะไม่มีความหมาย จะช้าหรือเร็วก็แล้วแต่ ไม่สำคัญเท่ากับว่าได้ทำต่อเนื่อง ไม่ปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

18 ก.ย. 68 - ปัญหาอยู่ตรงไหน ธรรมอยู่ตรงนั้น : เวลามีปัญหาในการปฏิบัติธรรม ลองมองดูให้ดี อย่าเพิ่งหงุดหงิด อย่าเพิ่งโวยวาย เราก็จะเห็นธรรมที่เกิดขึ้น แต่เราจะเห็นได้ชัด ถ้าเรามีสติ เพราะสติทำให้เห็นธรรม ไม่ใช่เข้าไปเป็นผู้ทุกข์ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ เห็นทุกข์ แต่ไม่เป็นผู้ทุกข์ เห็นความเศร้า เห็นความโศก เห็นความโกรธ แต่ไม่เป็นผู้เศร้า ไม่เป็นผู้โกรธ ไม่เป็นผู้โศก แม้กระทั่งเห็นความปวด แต่ไม่เข้าไปเป็นผู้ปวด พอเราเห็นความโกรธ เห็นความโศก เห็นความเศร้า เราก็จะเห็นธรรมชาติของมันว่า เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ และต่อไปก็จะเห็นตัวการที่อยู่เบื้องหลัง ความโกรธ ความโศก ความเศร้า เรียกว่าอุปาทาน อุปาทานคือ ความยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นกู เป็นของกู ยึดมั่นในตัวกู ของกู หรือความสำคัญมั่นหมายว่านี่กูนะ ที่มีอยู่ รวม ๆ มี 3 ตัว ก็คือ ตัวกู ของกู แล้วก็นี่กูนะ แต่แค่ 2 ตัว ถ้ารู้ทันก็พอเพียงแล้ว ตัวกู ของกู หรือที่เรียกว่าอหังการ มมังการ ต้องมีสติถึงจะเห็น เห็นทะลุความโกรธ เห็นทะลุความโศก เห็นทะลุความเศร้า ว่ามีตัวการชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งบางทีเราก็เรียกว่ากิเลส หรือจะเรียกว่าความหลงก็ได้ หลงคือไม่เข้าใจความจริง ไม่เข้าใจว่ามันไม่เที่ยง ไม่เข้าใจว่ามันเป็นทุกข์ ไม่เข้าใจว่ามันไม่ใช่ตัวตน ก็คือไปหลงยึดว่ามันเที่ยง หลงยึดว่ามันเป็นสุข หลงยึดว่ามันเป็นเรา ของเรา

17 ก.ย. 68 - รู้กายเมื่อไหร่ ก็รู้ตัวเมื่อนั้น : ใจเรามีความสามารถในการเชื่อมโยงสองสิ่งเข้าด้วยกัน เช่น เชื่อมโยงระหว่างกลิ่นกับรสของอาหาร หรือบางทีเสียงอย่างหมา ถ้าได้กินอาหารทุกครั้งที่มีเสียงกระดิ่ง พอมีเสียงกระดิ่งดัง มันก็จะน้ำลายไหล ทั้งที่ไม่มีอาหารมารออยู่ข้างหน้า เพราะพอได้ยินเสียงกระดิ่ง มันก็นึกถึงอาหารขึ้นมา ก็เลยน้ำลายไหล เพราะว่าอาหารทำให้มันนึกถึงรสชาติที่อร่อย จิตเราก็เหมือนกัน พอเราปฏิบัติบ่อย ๆ จะเกิดความเชื่อมโยงระหว่างการเคลื่อนไหวทางกาย หรือความรู้สึกทางกาย เข้ากับความรู้สึกตัว พอรู้สึกว่ากายเคลื่อนไหวเมื่อไหร่ จะรู้สึกตัวเมื่อนั้นเลย นี่เป็นตัวช่วยทำให้เราสามารถจะมีความรู้สึกตัวในชีวิตประจำวันได้หากเราได้ปฏิบัติเยอะ ๆ ทั้งในรูปแบบและในชีวิตประจำวัน อันนี้เป็นอานิสงส์ที่ต่อไปเราก็จะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ

16 ก.ย. 68 - พบมิตรที่ใจ : ความสามารถในการยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นคุณสมบัติหรือทักษะที่ประเสริฐมาก ที่จะช่วยลดความทุกข์ของเราได้เยอะ แล้วเราจะพบว่าความทุกข์ของเรา โดยเฉพาะความทุกข์ใจ ล้วนแล้วแต่เป็นอาการที่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ เสียงไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ใจที่ปฏิเสธผลักไสต่อเสียงนั้นทำให้เราทุกข์ เช่นเดียวกัน ความฟุ้งไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ใจที่ปฏิเสธผลักไสไม่ยอมรับ ทำให้เราทุกข์ ถ้าเราเรียนรู้ รู้แบบรู้ซื่อ ๆ รู้ด้วยใจที่เป็นกลาง เราจะได้เรียนรู้จากความฟุ้ง แทนที่จะมีความทุกข์เกิดขึ้น นี่คือทักษะที่สำคัญ แม้เราจะไม่ได้ความสงบอย่างที่คาดหวัง แต่เราจะได้ของดีอย่างที่เราคิดไม่ถึง

15 ก.ย. 68 - รู้ตัวได้ไว ใจก็หายทุกข์ : ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต การทำการงาน สัมมาสติมีประโยชน์มาก มีประโยชน์ถึงขั้นที่จะพาเราพ้นทุกข์ได้ เพราะช่วยทำให้เกิดปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่เรียกว่าโลกุตรธรรม และสามารถที่จะทำให้จิต ยกจิตอยู่เหนือความยึดติดถือมั่น ซึ่งเป็นธรรมดาโลกได้ ก็ให้เราเข้าใจว่า สติที่เรากำลังฝึกนี้คืออะไร และจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าเราปฏิบัติถูก เราก็จะไม่วิตกกังวลกับความคิดที่เกิดขึ้นเยอะ เพราะหน้าที่ของเราก็แค่ดูมันเฉย ๆ ไม่ใช่ไปบังคับให้มันมีน้อยลง จะมีมากหรือน้อยไม่สำคัญ อยู่ที่ว่ารู้ทันหรือเห็นมันแบบรู้ซื่อ ๆ หรือเปล่า อันนี้คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้สัมมาสติของเราเจริญก้าวหน้า

14 ก.ย. 68 - ฝึกใจให้แค่รู้ : ความรู้สึกตัวก็เหมือนกัน ก็อยู่กับเรา แต่เราอาจจะไม่ค่อยสังเกต แต่จะตระหนักรู้หรือสังเกตชัด ก็ต่อเมื่อมีความหลง แล้วกลับมารู้ตัว ที่จริงแล้วความหลงก็เป็นตัวฝึกสติ ให้รู้ทันได้เร็วได้ไว เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจก็คือว่า การฝึกตนหรือการปฏิบัติธรรม ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของการให้ ใจดีมีเมตตา หรือการกดข่ม การหักห้ามใจ เราทำอย่างนั้นมาเยอะแล้ว เราลองมาฝึกการเห็นการรู้ แต่ก่อนที่จะไปรู้ความคิด รู้อารมณ์ ต้องมารู้กายก่อน รู้กายไม่ใช่เห็นว่ามือกำลังขยับ เท้ากำลังเขยื้อน ไม่ใช่ใช้ตาเนื้อ แต่ใช้ตาใน ก็คือสติ เราจะสังเกตว่า บ่อยครั้งเราเดินเราไม่ค่อยรู้กาย เพราะตอนนั้นใจลอย ยกมือสร้างจังหวะแต่ไม่ค่อยรู้สึกว่ามือยก เพราะว่าใจลอย ใจไปรับรู้เรื่องราวที่เป็นอดีต หรือกำลังครุ่นคิดกับอนาคต ก็เลยไม่รับรู้กาย เดินก็มีแต่กายที่เดิน แต่ว่าไม่รู้สึกว่ากายเดิน จนกว่าจิตจะกลับมารู้เนื้อรู้ตัว หรือกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว พอจิตกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ก็รู้เนื้อรู้ตัว รู้ว่ามือเคลื่อนไหว เท้าเขยื้อนขยับ ฉะนั้นให้เรามีสติรู้กายไปก่อน ต่อไปก็จะรู้ใจ รู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการที่เรายอมให้อะไรต่างๆ เกิดขึ้นกับกายและใจโดยที่ไม่ผลักไส ไม่ไปควบคุม เราควบคุมใจมามากแล้ว เราลองมาดูใจและเห็นมันอย่างที่มันเป็น โดยที่ไม่ไปแทรกแซง

13 ก.ย. 68 - จิตพัฒนาเพราะรู้จักหาตัวช่วย : รู้จักหาประโยชน์จากคำต่อว่า ก็เอาคำต่อว่าเป็นตัวช่วย ช่วยเราได้หลายอย่าง มาช่วยฝึกขันติของเราก็ได้ มาช่วยให้เราเห็นความโกรธที่เกิดขึ้นก็ได้ เพราะคนส่วนใหญ่เป็นปุถุชนพอเจอคำต่อว่าก็เกิดความโกรธ แต่ความโกรธเป็นแบบฝึกหัด เป็นโจทย์ให้กับนักปฏิบัติว่าเราจะรับมือได้อย่างไร แล้วที่จริงความโกรธก็สอนให้เราเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ด้วย สอนให้เห็นไตรลักษณ์ได้ไม่น้อยไปกว่าความดีใจ ความยินดี หรือความสุข เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติต้องรู้จักหาตัวช่วย อย่าไปรอตัวช่วยเวลาอยู่วัด เวลามาเข้าคอร์ส ออกไปข้างนอกก็มีตัวช่วยมีเยอะแยะ แม้กระทั่งคนในบ้านที่เคยทำให้เราหงุดหงิดหัวเสีย จนกระทั่งต้องหนีมาอยู่วัด แต่พอเราเข้าใจธรรมะระดับหนึ่ง มีสติเริ่มจะแก่กล้าขึ้น เราก็กลับไปเพื่อที่จะรับมือกับสิ่งที่กระทบต่าง ๆ โดยรู้จักหาตัวช่วยมาให้กับการเจริญสติเพื่อรู้ทัน พออินทรีย์แก่กล้า สิ่งกระทบนั้นจะเป็นตัวช่วยชั้นดี ช่วยขัดเกลากิเลส ช่วยลดละความยึดติดถือมั่น ทำให้เห็นอุปาทาน เพราะทุกครั้งที่เราโกรธ เป็นเพราะความยึดติดถือมั่นเรียกว่าอุปาทาน อาจจะเป็นยึดติดถือมั่นในทรัพย์สมบัติเรียกว่ากามุปาทาน ยึดติดถือมั่นในความคิดความเห็นของเราว่าความคิดของเราถูกเรียกว่าทิฏฐุปาทาน หรือยึดติดถือมั่นในตัวกูคืออัตตวาทุปาทาน หรือยึดติดถือมั่นในวิธีการว่าต้องแบบนี้ ๆ ยึดติดในรูปแบบ ต้องยกมือแบบนี้เรียกว่าสีลัพพตุปาทาน พวกนี้เวลาตราบใดที่ยังฝังอยู่ในใจ ก็พร้อมจะกระตุ้นทำให้เกิดความโกรธ ทำให้เกิดความไม่พอใจ แล้วถ้าเรารู้จักพิจารณาความโกรธ ความไม่พอใจ แม้กระทั่งความทุกข์ เราจะเห็นอุปาทานที่คอยชักใยซ่อนอยู่เบื้องหลัง สุดท้ายเราก็จะเห็นผู้ร้าย ผู้ร้ายตัวจริง แท้จริงคือตัวชักใยให้เกิดความทุกข์

12 ก.ย. 68 - สติจำเป็นต่อชีวิตอย่างไร : การที่ใจเราจะหลงไปบ้าง หรือหลงไปบ่อยๆ เพราะเราไม่มีการบังคับจิตไม่ให้อยู่กับที่ แต่เราปล่อยให้มันไป ไปทีไรมันก็หลงทุกที หลงเข้าไปในความคิด หลงเข้าไปในอารมณ์ หลงเข้าไปในอดีต หลงเข้าไปในอนาคต แต่พอเราฝึกสติ เราก็ฝึกวิธีที่จะให้จิตกลับมา กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ก็รู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัวบ่อยๆ สติเราก็จะไวขึ้น ต่อไปเวลามีอะไรมากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือแม้แต่ทางใจ เกิดอาการสั่นไหวใจกระเพื่อม เกิดอารมณ์ตามมา เช่น ความโศกความเศร้า ความโกรธ เราก็จะรู้ทัน เห็นมันได้เร็ว แล้วเราจะรู้วิธีว่า ทำยังไงถึงจะเห็นโดยไม่เข้าไปเป็น เมื่อเรารู้วิธีที่จะเห็นโดยไม่เข้าไปเป็น เราก็จะพบว่าความสงบเกิดขึ้นได้แม้ไม่บังคับจิต ความสงบเกิดขึ้นกับใจได้แม้เปิดตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง เป็นความสงบที่เกิดจากการรู้ ไม่ใช่ความสงบที่ตัดการรับรู้ หรือการปิดตา หรือการปิดโทรศัพท์มือถือ หรือว่าปิดประตูหน้าต่าง ตัดการรับรู้โลกภายนอก ซึ่งทำให้เราสงบได้ชั่วคราว ความสงบที่สำคัญก็คือ สงบแม้จะรับรู้ รับรู้คือรับรู้ทางตา รับรู้ทางหู หรือแม้กระทั่งใจเกิดเผลอคิดนึกอะไรไป หรือเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นมาจากการกระทบ ไม่ว่าจะเพราะมีสิ่งล่อเร้าเย้ายวนให้เกิดความยินดี หรือยั่วยุให้เกิดความโกรธ อารมณ์เหล่านี้ก็ทำให้ใจหวั่นไหวกระเพื่อมไม่ได้เลย เป็นความสงบเพราะรู้ รู้เพราะว่ามีสติ รู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ เห็นโดยไม่เข้าไปเป็น เป็นความสงบที่เกิดจากความรู้สึกตัว เพราะเราจะรู้สึกตัวได้ เราต้องวาง ต้องวางอดีต วางอนาคต แล้วพอเรารู้สึกตัวได้ การวางก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย และไม่ว่าเราจะวางก่อนรู้สึกตัว หรือวางหลังจากรู้สึกตัว สิ่งที่เกิดขึ้นคือความโปร่งความเบา ซึ่งเราก็เรียกอีกอย่างว่าความสงบ

11 ก.ย. 68 - ยอมรับความจริงได้ ใจคลายทุกข์ : บางครั้งความคาดหวังก็ทำร้ายเรา สิ่งที่ทำให้คนเรายอมรับความทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ก็เพราะเรามีความคาดหวังที่ตรงข้าม คาดหวังว่าจะอายุยืน คาดหวังจะไม่เจ็บไม่ป่วย พอความจริงสวนทางกับความคาดหวัง ทุกข์เลย และทำให้ยอมรับความจริงไม่ได้ หลายคนไม่ค่อยตระหนัก ความคาดหวังสามารถทำร้ายเราได้ แม้ความคาดหวังจะไม่ได้เกินเลยไปสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามันสวนทางกับความจริงแล้ว ก็สามารถทำร้ายเรา แต่คนไม่ค่อยตระหนัก อย่างที่เราสวดทุกเช้ามีประโยคหนึ่ง ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ ไม่ได้นี่ไม่เป็นไร แต่ที่ทำให้ทุกข์เพราะว่าปรารถนาแล้วไม่ได้ การที่เราไม่ได้ ไม่ทำให้เราทุกข์ แต่ตัวที่ทำให้ทุกข์ คือความปรารถนาหรือความคาดหวัง

10 ก.ย. 68 - ทุกข์เบาบาง เมื่อวางใจถูก : เวลามีอะไรร้าย ๆ เกิดขึ้นกับเรา สิ่งสำคัญคือใจ ถ้าเราวางใจให้ดี มันก็จะไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทุกข์มันจะจางคลายลง ถ้าเราวางใจให้ถูก วางใจให้เป็น

9 ก.ย. 68 - ฝนสอนธรรม : เราจะตั้งมั่นที่จะเตรียมตัวให้พร้อม เหมือนกับถ้าไม่อยากให้ฝนตกมาเปียก เราก็สร้างบ้าน สร้างอาคาร มุงบังให้แน่นหนา ฝนตกแต่ตัวไม่เปียก ดังอุปมาอุปไมย หมายความว่า ถ้าเรามีเครื่องรักษาใจ อย่าว่าแต่ฝนเลย แม้ว่าเหตุร้ายต่าง ๆ ที่ใคร ๆ ไม่ประสงค์แม้เกิดขึ้น ก็ไม่ทำให้ใจทุกข์ได้ นี้คือความสำคัญหรือเหตุผลที่เราต้องมาฝึกจิตรักษาใจ เพราะว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตนี้ที่ควบคุมไม่ได้เลย และฝนก็เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้น จะว่าไปแล้ว ฝนเขาก็มาสอนธรรมให้กับเรา แทนที่เราจะบ่นว่าฝนตกทำไม ทำไมมาตกเวลานี้ เราก็มาถามตัวเราเองว่า ฝนสอนอะไรเรา ให้แง่คิดอะไรกับเราบ้าง

8 ก.ย. 68 - ชีวิตเปลี่ยนเพราะตั้งคำถามถูก : ความทุกข์เกิดจากความคาดหวังของเรา เป็นความคาดหวังที่ไม่สอดคล้องกับความจริง รถติดไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่การที่เราตั้งความหวังไม่ตรงกับความจริง นั่นก็หมายความว่า เหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา ไม่ใช่เพราะรถติด รถติดแต่จิตไม่ตกก็ได้ ถ้าเราวางใจเป็น เช่นเดียวกัน เวลาใครมาส่งเสียงดัง หรือว่าโทรศัพท์มือถือไม่ปิด มีเสียงสัญญาณ มีเสียงเข้ามา เราก็รำคาญ อาจจะนึกในใจว่า ทำไมเขาไม่ปิดโทรศัพท์มือถือ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าที่นี่เขาให้ปิดโทรศัพท์มือถือ ถ้าถามแบบนี้ มันทำให้เราหงุดหงิดง่าย แต่ถ้าเราถามใหม่ว่า ทำไมเราต้องหงุดหงิดกับเสียงโทรศัพท์ด้วย พอถามอย่างนี้ ก็ทำให้เรากลับมาดูตัวเองว่า เราหงุดหงิดเพราะอะไร แล้วเราก็จะพบคำตอบว่า เหตุแห่งทุกข์ หรือเหตุแห่งความหงุดหงิดอยู่ที่ใจเรา เพราะว่าถ้าเราวางใจถูก เสียงโทรศัพท์ดัง ใจเราไม่ทุกข์ก็ได้ เพราะมีสติ รู้ทัน เวลาจิตกระเพื่อม เมื่อมีเสียงกระทบหู ฉะนั้น การตั้งคำถามเวลาเจอเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจไม่ว่า รูป รส กลิ่น เสียง ที่มากระทบ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิต ถ้าเราตั้งคำถามถูกจะได้ประโยชน์ เป็นคำถามที่ชวนให้กลับมาใคร่ครวญตัวเอง เป็นคำถามที่ชวนให้กลับมาดูแลใจตัวเอง แต่ถ้าเราตั้งคำถามไม่ถูก ก็กลายเป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับจิตใจ ลองถามตัวเองว่า ที่เราทุกข์ทุกวันนี้ เป็นเพราะเราตั้งคำถามผิดหรือเปล่า ไม่ใช่เฉพาะในการดำเนินชีวิต แม้กระทั่งในเวลาทำงานด้วย

7 ก.ย. 68 - น้อมใจสู่วิถีธรรม : แม้ปัญหาบางอย่างต้องไปจัดการภายนอกด้วย แต่ก็ทำด้วยใจที่สงบ เรียกว่าทำกิจและทำจิตด้วย วิถีโลกเขาทำกิจอย่างเดียว จัดการกับสิ่งภายนอก ใครไม่ดีก็จัดการเอาออกไป หรือไม่ก็เล่นงาน แต่ว่าในทางวิถีธรรม เมื่อมีความไม่พอใจเกิดขึ้นในใจ เราก็จัดการที่ใจเรา เพราะปัญหาไม่ได้เกิดจากภายนอกย่างเดียว ปัญหาเกิดขึ้นจากใจของเราด้วย วิถีธรรมก็นำไปสู่การแก้ที่ใจ มีความไม่ถูกต้องเกิดขึ้น เห็นมันชัด ๆ แต่ว่าก็ไม่ลืมที่จะมาดูแลใจให้ถูกต้องเสียก่อน เพราะถ้าไม่ดูแลใจให้ถูกต้อง ปล่อยให้ใจไม่ถูกต้อง สิ่งที่ทำไป ก็จะนำไปสู่ปัญหา นี่คือวิถีธรรมที่เราต้องเข้าใจ ต่างจากวิถีโลกมาก แต่บางคน ที่จริงจะว่าไปก็เกิดขึ้นกับหลายคนมาก เวลามาปฏิบัติธรรมมาวัด แต่ว่าใจก็ยังคิดแบบโลก ๆ อยู่ อยากมั่งอยากมี อยากเด่นอยากดัง อยากให้คนชม หรือว่าเวลามีความทุกข์ใจเกิดขึ้น ก็คิดแต่จะจัดการกับสิ่งที่อยู่ภายนอก ไม่ได้มองว่าใจของเราก็เป็นปัญหาที่เราต้องจัดการเหมือนกัน ต้องเข้าใจความแตกต่างให้ดี ระหว่างวิถีโลกกับวิถีธรรม เพื่อที่ว่าเวลาเรามาวัด เราก็จะไม่เอาวิถีโลกมาใช้ในการแก้ปัญหา และมีความพยายามที่จะน้อมใจเข้าสู่วิถีธรรม เพราะนั่นคือสิ่งที่จะช่วยทำให้จิตใจเราเจริญงอกงาม ช่วยให้พบกับความสงบเย็นอย่างแท้จริง

6 ก.ย. 68 - ความรูสึกที่ควรมีให้มาก : เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกตัวขึ้นมามันจะวาง เกิดความเบาขึ้นมา คนที่ท้อ คนที่เหนื่อยหน่าย หรือคนที่งัวเงีย อารมณ์พวกนี้จะหายไปเลย แล้วจะทำให้เราไม่ได้เป็นทาสของความรู้สึก ถ้าคนเราเป็นทาสของความรู้สึก โดยเฉพาะเป็นทาสสุขเวทนา ชีวิตก็มีแต่จะผิดศีลผิดธรรมได้ง่าย แต่ถ้าเรารู้สึกตัวเมื่อไหร่ ก็จะมั่นคงอยู่ในศีลมั่นคงอยู่ในธรรม และเจริญก้าวหน้าจนพบธรรมที่ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เรามาฝึกกันที่นี่ หลายคนถามว่าทำไมไม่เน้นเรื่องสมาธิ ไม่เน้นเรื่องความสงบ อันนั้นเป็นผลพลอยได้ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีความรู้สึกตัว แต่ถ้าเอาความสงบเป็นหลักก็อาจจะเกิดความสงบประเภทที่จมอยู่ในความหลงก็ได้ หรือมีสมาธิแต่ไม่มีสติ แต่ถ้ามีสติเมื่อไหร่การเกิดสมาธิก็ไม่ใช่เรื่องยาก และสติเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เกิดความรู้สึกตัว และทำให้ใจนี่พบกับความสงบ ความโปร่ง ความเบาได้ เพราะว่าวางสิ่งที่ทำให้จิตใจว้าวุ่น ฉะนั้นมาเรียนรู้เรื่องความรู้สึกตัว ทำความเข้าใจความรู้สึกตัวให้ดีๆ

5 ก.ย. 68 - อย่าให้ความอยากเอาชนะครองใจเรา : เรื่องนิสัยหรือว่าความอยากเอาชนะ มันเป็นเรื่องที่น่ากลัว ข้อดีมันก็มี แต่เราต้องระวัง เพราะถ้าเราไม่รู้เท่าทันมัน อย่างน้อย ๆ มันก็ทำให้เราเสียเวล่ำเวลาไปกับการเล่นเกม เล่นการพนัน เป็นบ้าเป็นหลังกับการเอาชนะคู่แข่ง คู่ต่อสู้ ความต้องการเอาชนะ ถ้าเรารู้จักควบคุมมันให้พอดี มันก็มีประโยชน์ เจออุปสรรคก็ไม่ยอมแพ้ จะสู้ แต่ถ้าเราควบคุมไม่ดี มันทำให้เกิดอุปสรรคทั้งการปฏิบัติและในความสัมพันธ์กับผู้อื่น มันก็เป็นตัวเดียวกับความต้องการอวดว่า กูเก่ง กูแน่ มีอะไรก็อยากจะอวด อยากจะโชว์ แต่ถ้าเจอคู่แข่ง ก็ต้องการเอาชนะ ยอมไม่ได้ เวลามีการโต้เถียงกันก็ไม่ยอมแพ้ เอาชนะให้ได้ เสร็จแล้วก็ถึงขั้นเลิก พ่อแม่ตัดลูก ผัวกับเมียทะเลาะกัน ก็เลิกรากัน เพราะว่าความต้องการเอาชนะ มันก็นำไปสู่ความบาดหมางกันในที่สุด ฉะนั้น คุมมันให้ดี รู้ทันมันให้ได้ ไม่งั้นมันพาชีวิตจิตใจของเรานี้จมดิ่งไปสู่ความทุกข์เลย

4 ก.ย. 68 - เลือกไม่ถูก ชีวิตทุกข์ยาก : คนเราถ้าไม่มีสติ มันก็จะเลือกไปในทางต่ำ หรือเลือกไปข้างความสุขอย่างหยาบๆ ได้ แม้กระทั่งสิ่งที่ทำความทุกข์ให้กับเรา เราก็เลือกที่จะไปจดจ่อมัน ทั้งๆ ที่อีกทางหนึ่งมันให้ความสุขกับเรามากกว่า การที่มีสติสำคัญมาก ช่วยทำให้เราเลือกในสิ่งที่ถูก สิ่งที่เป็นคุณกับเรา ผู้ใฝ่ธรรมจะต้องมีโจทย์ให้ต้องเลือกอยู่เสมอ เรียกว่าทุกวันก็ว่าได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับความทุกข์ เช่น เจ็บป่วย เจ็บป่วยนี่จะเลือกเอาจมอยู่กับความทุกข์ ทุกขเวทนา เป็นผู้ทุกข์ หรือเลือกที่จะเห็นความทุกข์ ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเป็นผู้ทุกข์ แทนที่จะเห็นความทุกข์ ถ้าเราเลือกที่จะเห็นความทุกข์ มันก็ทุกข์แต่กาย ใจไม่ทุกข์ แต่พอไปเลือกเป็นผู้ทุกข์ เป็นผู้ป่วย มันป่วยทั้งกายป่วยทั้งใจเลย เพราะฉะนั้นต้องเลือกให้ถูก เลือกไม่ถูกนี่โดนความทุกข์มันกินไปเลย

3 ก.ย. 68 - มองตนจนพ้นอำนาจของกิเลส : ถึงเวลามีสิ่งล่อเร้าเย้ายวน หรือมีสิ่งยั่วยุ เราจะไม่เผลอตกอยู่ในอำนาจของมัน ทำสิ่งที่ต้องเสียใจในภายหลัง หรือทำสิ่งที่ต้องสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ฉะนั้นการเห็นนี่สำคัญ เห็น รู้ทัน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อต้องหมั่นมองตนบ่อยๆ มองตนจนเป็นนิสัย จนกระทั่งมันมีเสียงเตือนเวลาใจกระเพื่อม ไม่ใช่ว่าต้องมองจิตอยู่ตลอดเวลา เราอาจจะทำงานทำการต่าง ๆ แต่พอใจมันสั่นไหว ใจมันกระเพื่อม ก็รู้เลย เหมือนกับแมงมุม เวลามีเหยื่อมาติดใยมัน มันรู้เลย เพราะใยมันสะเทือน ไม่ใช่ว่ามันต้องคอยจ้องใย มันไม่จ้องใยนะ มันก็ทำอะไรของมันไปเรื่อย ๆ แต่พอมีเหยื่อมาติดที่ใยของมัน มันจะรู้เอง เพราะมีแรงสั่นสะเทือน ใจเราก็เหมือนกัน ถ้าใจเรามีกิเลส มีอารมณ์เกิดขึ้น มันจะกระเพื่อมขึ้นมาเลย และเราก็จะรู้ ตัวที่ทำให้รู้กระเพื่อมก็คือสตินั่นแหละ เหมือนกับเป็นสัญญาณเตือน ต้องรู้จัก แล้วก็ทำให้สติชนิดนี้เกิดขึ้นในใจเรา

2 ก.ย. 68 - รู้ทันเหตุผลของกิเลส : อย่าลืมว่าพอเมื่อเรามีธรรมะ เมื่อเรารู้ธรรมะเยอะ กิเลสมันก็รู้ธรรมะด้วย คนจบปริญญาเอก กิเลสมันก็จบปริญญาเอกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นกิเลสมันก็สามารถจะหลอกพวกปริญญาเอกได้ด้วยเหตุผลที่สวยหรู คนรู้ธรรมะก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเรารู้คนเดียว กิเลสมันก็รู้ด้วย แล้วมันก็จะเอาธรรมะนี้มาหลอกเรา อ้างธรรมะสวยหรู เพื่อที่จะหลอกให้เราทำตาม เพราะฉะนั้นคนมีธรรมะรู้ธรรมะ ไม่ได้เป็นหลักประกันเลยว่าจะรอดพ้นอำนาจของกิเลส หรือบ่วงมารได้ มันต้องมีสติ มันต้องมีปัญญา ต้องมีธรรมะที่เป็นกุศลคอยหน่วงเหนี่ยวจิตใจ หรือทักท้วงความคิด ทักท้วงเหตุผล เพราะไปเชื่อเหตุผลทุกอย่างไม่ได้ คนที่ทำชั่ว มีกิ๊ก มีเมียน้อย พวกนี้มีเหตุผลทั้งนั้นแหละ แต่เหตุผลมันไม่ใช่เหตุผลที่จะพาเราไปสู่ความเจริญงอกงามได้ หรือพาเราไปสู่ทางที่สูง มันมีแต่ฉุดเราไปสู่ทางที่ต่ำ ต้องมีสติรู้ทัน ทักท้วงความคิด ไม่หลงเชื่อมัน นอกเหนือจากการที่รู้จักเฝ้าดูอยู่ห่างๆ อยู่เฉยๆ ดูอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น ต้องฝึกเอาไว้นะ ฝึกการดูอารมณ์ที่เกิดขึ้น ดูความคิดที่เกิดขึ้น โดยที่ไม่ไปหลงใหล หลงเชื่อมัน เรียกว่ารู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ รวมทั้งรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ ไม่ว่ามันจะมีเหตุผลสวยหรูอย่างไร ก็เท่าทันมันเสมอ

1 ก.ย. 68 - มองจากมุมของคนอื่นบ้าง : การที่คนเรารู้จักมองเหตุการณ์จากมุมของคนอื่นบ้าง มันช่วยได้เยอะ ช่วยบรรเทาความโกรธ ความเกลียด ไม่ว่าเกลียดคนอื่นหรือเกลียดตัวเอง มนุษย์เรามีความสามารถในการที่จะมองจากมุมของคนอื่นได้ แต่บ่อยครั้งพอเราจากมุมของตัว เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง มันก็เลยทำให้เราไม่สามารถจะเข้าใจคนอื่นได้ แล้วพอไม่เข้าใจก็เลยเกิดความโกรธ ความเกลียด บางทีก็ไม่ได้โกรธเกลียดใคร โกรธเกลียดตัวเอง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่เรารักเขาทำกับเราอย่างนั้น คนเราถ้ามันจมอยู่กับมุมมองความคิดของตัวเอง หรือจมอยู่กับอารมณ์ มันก็ไม่สามารถจะเห็นมุมมองของคนอื่นได้ แล้วพอเราไม่เห็นมุมมองของคนอื่นเราก็ไม่เข้าใจเขา ก็ทำให้เกิดความโกรธความเกลียดขึ้นมา คือความไม่เข้าใจ ที่จริงถ้าหากว่าคนเรามีสติ มันก็จะช่วยทำให้ใจเรามันไม่ถูกครอบด้วยอารมณ์

31 ส.ค. 68 - เจออะไรอย่าลืมดูใจตน : ธรรมะนี่มันอยู่ตรงนี้ อยู่ที่ว่า เมื่อเราเจออะไรกระทบแล้ว เรารักษาใจของเราได้มากแค่ไหน เราสามารถจะจัดการกับอารมณ์ใฝ่ต่ำได้ดีเพียงใด อย่างที่มาเดียเขาบอก แล้วที่สำคัญคือ เขายังมีความเมตตากับคนที่ทำร้ายเขา ยังกลัวว่าเขาจะไม่มีที่ยืนในสังคม นี่เป็นแบบอย่างที่ดีมาก ที่แม้กระทั่งนักปฏิบัติธรรมก็ต้องเรียนรู้ แล้วก็ฝึกจากเหตุการณ์แบบนี้

30 ส.ค. 68 - ถอนใจออกจากความหลงในตัวกู : เบื้องหลังความอยากก็คือ ความสำคัญหมายในตัวกู อยากพูด อยากแสดงความคิดเพื่อให้คนชมว่า กูเก่ง กูเก่ง ในเบื้องหลังความอยาก ที่อยากจะพูด อยากจะแสดงความคิดเห็นก็คือ ตัวกู หรือความสำคัญหมายในตัวกู ความยึดมั่นในตัวกู ซึ่งจะว่าไปก็คือ มานะ ก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ฉะนั้นการปฏิบัติ เริ่มต้นด้วยการรู้กาย เห็นกาย ต่อไปก็จะเห็นใจ เห็นความคิด ต่อไปก็จะเห็นแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังความคิดและอารมณ์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกิเลส โลภะบ้าง โทสะบ้าง ต่อไปก็จะเห็นลึก ว่าเบื้องหลังโลภะ โทสะ ก็คือความยึดมั่นในตัวกู หรือมานะ ฉะนั้น ถ้าเห็นแบบนี้ มันก็จะเริ่มรู้เท่าทันแล้ว รู้เท่าทันตัวกู หรือความยึดมั่นในตัวกู ไม่ปล่อยให้มันมาครองใจ แต่ก่อนไม่รู้ทัน มันก็เลยมาครองใจ เหมือนกับเราไม่รู้ทัน ไปปรุงแต่งว่ามีผี พอไปเชื่อว่ามีผีเข้า ก็ทำให้นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ทั้งที่ไม่มีอะไรเลยข้างนอก การปรุงแต่ง การจินตนาการ ก็ทำให้มีผลต่อจิตใจและร่างกายของเราได้ แต่พอเรามีสติรู้ทัน ความปรุงแต่งหายไป จิตใจก็โปร่งโล่ง ให้ปฏิบัติแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วเดี๋ยวมันก็จะเห็นเอง จนกระทั่งเห็นความจริงที่ลึกไปกว่านั้น ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

29 ส.ค. 68 - อดกลั้นได้ใจงอกงาม : แต่ว่าการอั้นความคิดอารมณ์กับการอั้นอุจจาระปัสสาวะนี่ มันต่างกันอย่างหนึ่ง ที่สำคัญก็คือว่า เวลาอั้นอุจจาระปัสสาวะมันต้องระบายออกมา ต้องระบายเร็ว ๆ ด้วย แต่ว่าอั้นความคิด อั้นอารมณ์ แม้บางครั้งใหม่ ๆ มันรู้สึกเหมือนอกจะแตกแต่ว่าถ้าเรามีสติเห็นมัน ดูมัน มันก็จะค่อย ๆ คลี่คลายไปได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะต้องระบายเหมือนกับระบายปัสสาวะอุจจาระในยามที่ต้องอั้นนาน ๆ อุจจาระปัสสาวะนี่มันต้องระบาย แต่ว่าความคิดอารมณ์แม้ในภาวะแรก ๆ รู้สึกว่าต้องอั้น ต้องใช้ความอดกลั้น แต่พอเวลาผ่านไป มันค่อย ๆ หายไป ค่อย ๆ คลี่คลาย ละลายหายไป หรือยิ่งถ้าเกิดว่าเรามีท่าทีที่ถูกต้องกับมัน เราก็ดูมันเฉย ๆ มันจะหายไปเอง อาจจะไม่ต้องระบายเลยก็ได้ แต่คนใหม่ ๆ ก็ต้องระบาย คนที่ไม่ได้ฝึกมาก็ต้องระบาย แต่ถ้าระบายเป็นอาจิณ ไม่รู้จักอดกลั้นเสียบ้าง มันก็มีผลเสียต่อตัวเราเองอย่างที่ว่ามา ฉะนั้นการรู้จักอดกลั้นมันเป็นเรื่องสำคัญมากแต่ต้องอดกลั้นให้ถูก ใหม่ ๆ ก็ต้องใช้ขันติ อดกลั้นเอาไว้ โกรธแล้วไม่พูด เพราะรู้ว่าถ้าพูดไปแล้วมันจะเกิดความเสียหายตามมา อยากจะนินทาว่าร้ายใครแต่ก็ไม่พูด เพราะรู้ว่าถ้านินทาไปแล้ว เดี๋ยวเกิดปัญหาตามมาเมื่ออีกฝ่ายก็ได้ยิน เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน เราก็ไม่พูด แน่นอนว่าใหม่ ๆ มันก็ต้องใช้ความอดกลั้นมาก อาจจะรู้สึกเหมือนกับอกจะแตก แต่พอเราทำไปนาน ๆ ไม่ใช่แค่ฝึกขันติอย่างเดียวแต่ว่าเราฝึกสติไปด้วย เราจะเห็นความคิดเห็นอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น เห็นแล้วจะเรียกว่าปล่อยหรือวาง มันจะเกิดสิ่งที่หลวงพ่อเรียกว่า มันจะเกิดความราบเรียบขึ้นมา สติเหมือนกับตัวไถให้ราบเรียบ สิ่งที่เคยอัดแน่นอยู่ในใจมันก็ค่อย ๆ คลี่คลายหายไป ก็โปร่งโล่ง และนี่เป็นวิธีที่เราต้องฝึกเหมือนกัน ความรู้จักอดทนรอคอย และอดกลั้นต่อความอยาก ไม่ว่าจะเป็นความอยากชนิดใดก็ตาม อยากรู้อยากเห็น อยากได้คำตอบ อยากเสพ อยากบริโภค อยากพูด อยากบ่น อยากโวยวาย อันนี้มันเป็นเรื่องที่เราต้องฝึก เพราะถ้าหากว่าคนเรามีความคิดอยากจะพูดก็พูด มีความคิดอยากจะโวยวายก็โวยวาย อยากจะได้อะไรก็ไปหาสิ่งนั้นมาสนองความอยาก เราจะไม่มีความเจริญเติบโตงอกงามภายในเลย สุดท้ายเราก็พ่ายแพ้ต่อกิเลสได้ง่าย และคนเราถ้าหากว่าพ่ายแพ้ต่อกิเลสแล้ว มันก็มีแต่ความทุกข์สถานเดียว

28 ส.ค. 68 - เปิดลิ้นชักใจให้เป็น : คนที่ทำงาน แค่งานเช้า งานบ่ายวันนี้ ก็เยอะอยู่แล้ว ยังต้องไปนึกถึงงานเช้าบ่ายของวันพรุ่งนี้ มีตั้ง 10 ชิ้น ถ้าเรานึกถึงงานทั้ง 10 ชิ้น มันก็เหมือนกับเปิดทั้ง 10 ลิ้นชัก ใจมันห่อเหี่ยวเลย แม้ว่าเราจะมี 40 ลิ้นชัก 40 เรื่องที่ต้องครุ่นคิด แต่ถ้าเราเปิดทีละลิ้นชัก เสร็จลิ้นชักนี้ก็เปิดลิ้นชักนั้น เสร็จลิ้นชักนี้ก็ปิด เปิดลิ้นชักใหม่ อะไร ๆ มันก็จะง่ายขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องการฝึกใจให้อยู่กับปัจจุบัน แล้วถ้าเราทำอย่างนี้เป็นนิสัย ถึงเวลานอน นอน ถึงเวลากิน กิน เรื่องอื่นวางไว้ก่อน ถึงเวลาอาบน้ำ ใจราก็อยู่กับการอาบน้ำ ถึงเวลาฟังธรรม ใจก็อยู่กับการฟังธรรม ถึงเวลาสวดมนต์ ใจก็อยู่กับการสวดมนต์ ชีวิตมันจะเป็นระเบียบ แล้วมันจะโปร่งโล่งเบาสบาย การซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง ด้วยการคิดหลาย ๆ เรื่องพร้อมกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลาจะคิด ไม่ใช่เวลาจะขบแก้ปัญหา มันก็จะเกิดขึ้นน้อยลง เดี๋ยวนี้เราคิดแต่จะทำบ้านให้เป็นระเบียบ แต่เราไม่สนใจที่จะทำใจเราให้เป็นระเบียบ การฝึกสตินี่มันช่วยทำให้ใจเป็นระเบียบมากขึ้น ยังไม่ต้องพูดถึงการพ้นทุกข์ ยังไม่ต้องพูดถึงการที่เข้าถึงโลกุตรธรรม แค่เรื่องที่เป็นโลกิยธรรมพื้น ๆ เช่น เรื่องงานเรื่องการ เรื่องการใช้ชีวิต ถ้าเรารู้จักทำอะไรทีละอย่าง คิดทีละเรื่อง เปิดทีละลิ้นชัก ชีวิตมันจะเบา มันจะสบายกว่าเดิมมาก บ่อยครั้ง ความวุ่นวาย ความเครียด มันเกิดจากใจของเราเอง ไม่ใช่เพราะเรามีงานเยอะ ไม่ใช่เพราะเรามีภาระมาก แต่เป็นเพราะเราจัดการกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่เป็นต่างหาก

27 ส.ค. 68 - มองเขาแล้วกลับมามองตน : แต่ว่าเราก็ต้องเผื่อใจไว้ด้วยว่า สิ่งที่ราได้ยิน สิ่งที่เรา รับรู้มา มันอาจจะไม่ใช่ความจริง เผื่อใจไว้ว่าความจริงอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่เราได้รับรู้มาก็ได้ พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ให้เราระแวงทุกอย่างที่เราได้ยิน เพียงแต่ให้ระวังเอาไว้ว่า สิ่งที่ได้ยินมา สิ่งที่เห็น สิ่งที่ปรากฏกับสายตาของเรา อาจจะไม่ใช่ความจริง 100% เผื่อใจไว้บ้าง เผื่อใจสำหรับความผิดหวัง อันนี้เรียกว่าระวัง แต่อย่าถึงกับระแวง เพราะถ้าระแวง มันก็จะเรียกว่า ไม่เชื่ออะไรเลย ตั้งคำถามกับทุกอย่าง ซึ่งมันก็เกินไป ระวังดีแล้ว แต่อย่าระแวง แล้วที่สำคัญคือ ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ตัวบุคคลที่เราได้ยินมา ได้เห็นมา เป็นข่าวปรากฏ จะย่ำแย่อย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องกลับมาดูตัวเรา อย่าไปมองแต่คนอื่น อย่าไปตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์ ทำไมเขาแย่แบบนี้ ทำไมเขาหลอกเราแบบนี้ ต้องกลับมาถามตัวเองว่า แล้วทำอย่างไรเราจึงจะไม่เป็นอย่างเขา นี่คือคำถามที่หลายคนมองข้ามไป ไม่ได้กลับมาดูตัวเองเลยว่า เราจะดูแลรักษาตัวอย่างไรไม่ให้เป็นอย่างเขา ต้องเอาคนที่เขาพลาดพลั้งมาเป็นครูสอนเรา แล้วคนเหล่านี้ก็เป็นครูให้กับเราได้ว่า ทำอย่างไรเราจะไม่เป็นอย่างเขา หรือไม่ไปเดินตามเขา เพราะถ้าเมื่อไหร่เราไม่ระวัง เราอาจจะแย่กว่าเขาก็ได้ ถ้าเรามีโอกาส ที่เราไม่แย่อย่างเขา เพราะเรายังไม่มีโอกาส อาจจะยังไม่มีเงินมีทองมาก ยังไม่มีฐานะ ตำแหน่งสูงเหมือนเขา ยังไม่ได้สมณศักดิ์เหมือนเขา อันนี้ก็รวมไปถึงเวลาเราได้ข่าวคราวเกี่ยวกับนักการเมือง ข้าราชการชั้นสูงที่ทุจริตคอร์รัปชัน ก่อนที่เราจะไปวิจารณ์หรือประณามเขา ต้องกลับมาถามตัวเองว่า ถ้าเราเป็นอย่างเขา เราจะดูแลตัวเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้อย่างไร หรือว่าให้อยู่ในศีลในธรรมได้อย่างไร อยู่ในความถูกต้องได้อย่างไร เพราะถ้าเราอยู่ในฐานะเดียวกับเขา เราก็อาจจะเป็นอย่างเขา หรือแย่ยิ่งกว่าเขาก็ได้ แต่ที่เรายังไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเรายังไม่มีโอกาส เราแค่ไม่มีโอกาสเท่านั้นแหละ ถ้ามีโอกาสแบบเขา อยู่ในสถานะเดียวกับเขา เราก็อาจจะไม่ได้ต่างจากเขาเท่าไหร่ก็ได้ อันนี้คือสิ่งที่ต้องระวัง

26 ส.ค. 68 - ป่วยกาย แต่ใจไม่ทุกข์ : แล้วถ้าเห็นด้วยความรู้สึกตัว มันก็จะค่อย ๆ ราบเรียบหายไป เวลาป่วยแล้ว ปรากฏว่าป่วยทั้งกายทุกข์ทั้งใจ ถ้ายอมรับได้ว่า เรายังปฏิบัติมาไม่มากพอ ยังมีความหงุดหงิดหัวเสีย ยังมีความทุรนทุรายในใจ เห็นความทุรนทุรายนั้นด้วยใจที่เป็นกลาง มันก็จะไม่มีธนูดอกที่ 3 เข้ามาทิ่มแทง แล้วถ้าเกิดว่าดูไปเรื่อย ๆ สุดท้าย ธนูดอกที่ 2 ก็จะหลุด ก็จะมีแต่ธนูดอกแรก แต่ถึงแม้ธนูดอกที่ 2 ยังอยู่ก็ยอมรับมันด้วยใจที่เป็นกลาง อย่างน้อยก็ทำให้ไม่ต้องเจอธนูดอกที่ 3 มาทิ่มแทง การปฏิบัติธรรมนี้ แม้เราจะรู้ว่า การตายอย่างสงบเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แม้เราจะรู้ว่าความทุกข์ทรมานในยามเจ็บป่วย เกิดขึ้นได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ แต่ถ้าเกิดว่าเราทำตรงนั้นไม่ได้ ไปไม่ถึง ก็ยอมรับได้ ไม่โวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย ไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง

25 ส.ค. 68 - ความไม่รู้ที่ควรรู้ : เราก็ต้องรู้จักแยกแยะให้ได้ว่า อะไรที่ควรรู้ อะไรที่ไม่ควรรู้ แล้วก็ไม่ควรเสียใจว่าเราไม่รู้อะไรเลย หรือไม่รู้อะไรมากมาย หรือกระหยิ่มยิ้มย่องว่าฉันรู้เยอะ มันไม่มีประโยชน์ถ้าสิ่งที่เรารู้นั้นมันเป็นขยะ ไม่มีประโยชน์ แล้วที่จริง อันนี้ก็คือวิสัยของบัณฑิต ปราชญ์ที่แท้ไม่ใช่เขารู้ทุกเรื่อง ไม่ใช่เขารู้มากมาย ปราชญ์ที่แท้คือคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร ซึ่งอันนี้ต่างจากเจ้าหญิง เจ้าหญิงนั้นไม่รู้ว่า ตัวเองไม่รู้อะไร แต่ปราชญ์ที่แท้เขา รู้ว่าเขาไม่รู้อะไร แล้วยิ่งรู้เยอะ เขาก็จะรู้ว่า โอ้โห สิ่งที่เขาไม่รู้นี้มีเยอะมาก ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ก็พบว่าความรู้ที่ตัวเองมีมันแค่ 10% หรือไม่ถึง 10% แล้วอีก 90% หรือ 99% คือ ตัวเองไม่รู้ พรมแดนแห่งความไม่รู้นี้ มันจะกว้างใหญ่ไพศาลมากสำหรับคนที่มีความรู้มาก พูดง่าย ๆ คือ ยิ่งรู้เยอะ ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรมาก อย่างที่นักปราชญ์แห่งเต๋า เล่าจื๊อ บอกว่า ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้ ผู้รู้ไม่พูด เพราะรู้ว่าตัวเองนี้ไม่รู้อะไรมากมาย ก็เลยรู้ว่าตัวเองไม่ได้เก่งกล้าสามารถอะไร ความไม่รู้ทำให้ตัวเองถ่อมตัว จึงไม่อยากโอ้อวด ไม่อยากสอน ส่วนคนที่ไม่รู้ก็คิดว่าตัวเองรู้เยอะแล้ว ก็เลยอยากจะพูด อยากจะสอน ดังภาษิตโคลงโลกนิติว่า รู้น้อยว่ามากรู้ เริงใจ กลกบเกิดอยู่ใน สระจ้อย ไป่เห็นชเลไกล กลางสมุทร ชมว่าน้ำบ่อน้อย มากล้ำลึกเหลือ กบนี่มันรู้น้อย แต่มันคิดว่ามันรู้มาก เห็นบ่อน้ำ ก็นึกว่าเป็นทะเลกว้างใหญ่ เพราะมันไม่เคยเห็นทะเล ถ้ามันเคยเห็นทะเล มันจะรู้ว่าบ่อที่มันอยู่นี้ เล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับทะเล แต่เพราะมันคิดว่ามันรู้มาก ฉะนั้นที่เล่าจื๊อพูดถูกแล้ว ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้ จะว่าไปแล้วคำตอบที่ตอบยากที่สุด คือคำตอบว่าไม่รู้ หลายคนจะพบว่าตอบคำว่าไม่รู้ นี่ยากมาก โดยเฉพาะครู หมอ พระ นักวิชาการ จะตอบยากมากหรือไม่ตอบเลยว่าไม่รู้ เพราะถ้าตอบแล้วเดี๋ยวคนเขาจะหาว่าเราไม่มีความรู้มากพอ เจ้าหญิงนิ่งอึ้งแทนที่จะตอบว่าไม่รู้ ก็เพราะกลัวว่าตอบไปแล้ว จะเสียภาพลักษณ์ความฉลาด

24 ส.ค. 68 - ธรรมนำใจให้พ้นทุกข์ : เมื่อไม่ยึดติดถือมั่นในสิ่งต่าง ๆ ไม่ยึดว่ามันเที่ยง ไม่ยึดว่ามันเป็นสุข ไม่ยึดว่ามันเป็นของเรา ครั้นมันเสื่อมสลายหายไป ไม่เป็นดั่งใจ ก็ไม่ทุกข์ เพราะทุกข์เกิดขึ้น เนื่องจากมีความยึดติดถือมั่น พอมันไม่เป็นไปอย่างที่ยึดอย่างที่อยาก ก็เลยทุกข์ มันทุกข์เพราะความยึดความอยาก แต่พอไม่มีความยึดไม่มีความอยาก เพราะเห็นความจริงว่าไม่มีอะไรที่ยึดติดถือมั่นได้ ความทุกข์ใจก็ไม่เกิดขึ้น ความสูญเสียยังมีอยู่ แต่ความทุกข์ใจไม่มีแล้ว อันนี้ก็คือสิ่งที่เราจะประสบได้ ถ้าหากเราตระหนักว่า ความทุกข์ใจนี่มันไม่ใช่เพราะสิ่งอื่น เหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจเราแล้วถ้าเราดูแลรักษาใจให้ดี หรือฝึกใจให้ดี จนกระทั่งเหตุแห่งทุกข์มันตั้งอยู่ไม่ได้ ความทุกข์ก็ไม่อาจเกิดขึ้นกับจิตใจของเราได้ อาจจะเกิดขึ้นกับกาย เกิดขึ้นกับทรัพย์ เกิดขึ้นกับคนที่เราเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์ได้

23 ส.ค. 68 - เห็นนอกเห็นใน ใจปกติ : ถ้าเรากลับไปที่บ้าน เวลาทำอะไร ขณะที่ใช้ตา ใช้หู ขณะที่กำลังเคี้ยว ขณะที่กำลังขับรถ ขณะที่กำลังเดิน อย่าเห็นแต่ข้างนอก ให้เห็นข้างใน เห็นใจ เห็นอารมณ์ เห็นความคิดที่เกิดขึ้น ซึ่งอันนี้เป็นงานของสติ เพราะสติเปรียบเหมือนตาใน แล้วก็อย่าไปเผลอ ขณะที่เราดูกายหนึ่งดูใจ ก็อย่าไปจ้อง ไปเพ่ง หรือบังคับจิต เพื่อจะไม่ให้มันไปไหน เพราะถ้าทำเช่นนั้น เราก็จะเห็นแต่ข้างใน แต่ไม่เห็นภายนอก บางคนทำผิด ๆ ถูก ๆ แต่งตัวลืมรูดซิป เพราะว่าขณะที่ใส่เสื้อ ใส่กางเกง ก็เอาแต่เพ่งดูข้างในใจว่าจิตมันกระเพื่อม จิตมันคิดอะไรไหม จนกระทั่งลืมไปว่าไม่ได้รูดซิป อันนี้เรียกว่าเป็นเพราะการเพ่ง เพ่งเข้าใน จนกระทั่งไม่รับรู้สิ่งที่กำลังเกี่ยวข้อง สิ่งนอกตัวที่กำลังเกี่ยวข้องอยู่ ก็เลยทำผิด ๆ ถูก ๆ ถ้าเรา รู้นอกหนึ่งรู้ใน ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ สติเราก็จะโตไว เวลามีความคิดที่ไม่ได้รับเชิญเกิดขึ้น ความลักคิดเกิดขึ้น โผล่มาตอนกลางคืนขณะที่กำลังเคลิ้มหลับ เห็นมันก็ไม่ไหลไปตามมัน มันมาแล้วก็ไป ไม่ได้ทำให้เราพัวพันกับมันจนตื่น จนนอนไม่หลับ พอมันมาแล้วก็ไป เราก็หลับได้ในที่สุด ไม่ใช่ว่าไม่มีความคิดเลย มันมี เหมือนกับมีแขกแปลกหน้ามาเรียกแต่ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะว่าเรามีสติเป็นเครื่องรักษาใจ

23 ส.ค. 68 - เห็นให้เป็น ก็ไม่เป็นทุกข์ : คำว่า “เห็น” มันมีความสำคัญมาก เห็นข้างใน ไม่ว่าจะเป็นความคิดอารมณ์ โดยเฉพาะตัวทุกข์ อารมณ์ทุกข์ที่เกิดขึ้น เห็นแล้วไม่ยึด เห็นแล้วไม่ผลักไส ไม่กดข่ม ใจก็จะพ้นทุกข์ได้ เห็นข้างนอกก็เช่นกัน ผู้คน สิ่งของ เห็นว่ามันเป็นตัวทุกข์ แม้มันจะทำความพอใจให้กับเรา แต่มันก็เป็นตัวทุกข์ที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ถ้าเราเห็นอย่างนั้นก็จะพ้นทุกข์ได้ เห็นข้างในด้วยสติ ทีแรกก็เห็นข้างนอกด้วยปัญญา ก็ช่วยทำให้เราพ้นทุกข์ได้ในที่สุด ฉะนั้นเราที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ก็อย่าคิดแต่ว่าได้ใกล้ท่านแล้วใจจะสงบเย็น เพราะนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว มีความสามารถในการเห็น เห็นโดยไม่เข้าไปเป็น แล้วก็เห็นทั้งข้างนอกและข้างใน รวมทั้งเห็นทุกข์ที่มันปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ทุกข์ในใจ แล้วก็ตัวทุกข์ข้างนอก เราก็จะพ้นทุกข์ได้ในที่สุด ก็ขอให้เราได้นำคำสอนของหลวงพ่อไปปฏิบัติ และเชื่อแน่ว่าถ้าเราเห็นอย่างที่หลวงพ่อได้สอน เราก็จะพ้นทุกข์ได้ในที่สุด

18 ส.ค. 68 - รักตัวต้องฝึกใจ : การเจริญสติสำคัญมาก ถ้าจิตของเราไม่มีสติ หรือไม่รู้จักฝึกฝนให้มีสติ เราก็แย่ ร่ำรวยแค่ไหน อายุยืนเพียงใด แต่สุดท้ายลงเอ่ยด้วยความทุกข์ กลัดกลุ้ม เศร้าโศกเสียใจ เวลาเจอสิ่งที่ไม่สมหวัง เวลาเจอความพรากสูญเสียจากคนรัก ของรัก เวลาเจอความเจ็บป่วย ถึงแม้ว่าจะไม่สนใจศาสนา แต่ถ้ารักตัว รักชีวิต ก็ควรจะใส่ใจกับเรื่องการฝึกจิตเอาไว้ มันมีประโยชน์ที่คุ้มค่ามาก แม้ว่าใหม่ ๆ จะทำไม่ได้ง่าย แต่ต่อไปจะให้ผลคุ้มค่า

14 ส.ค. 68 - อย่าเพลินในสุข อย่าปลื้มในโชค : เวลาเรามีความสุข ไม่ว่าสุขเพราะอะไรก็ตาม โดยเฉพาะสุขจากการเสพ หรือสุขจากการที่ประสบอิฏฐารมณ์ ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเอาไว้ อย่าเพลินในสุข มันมีก็ดีแล้ว แต่อย่าเพลิน อย่าหลงใหลกับมัน พอถึงเวลาที่มันเสื่อมไป ก็จะคร่ำครวญ โวยวาย หรือจมในทุกข์ นี่ต้องหมั่นเตือนใจอยู่เสมอ ฝึกใจให้มีสติเอาไว้ ให้มีสติรู้เท่าทัน เวลาเจอสิ่งที่ถูกใจ บางคนเก็บอาการไม่อยู่นะ โอ๊ย ดีใจ พูดจาคุยโม้ อารมณ์ดี อันนี้เรียกว่าเก็บอาการไม่อยู่ เพราะว่าเพลินในสุข แล้วก็ไม่รู้ตัวนะว่า เก็บอาการไม่อยู่ บางทีคุยจ้อเลย รู้จักเฉลียวใจบ้างว่า นี่เรากำลังดีใจ เห็นความดีใจอย่างที่เด็กคนนั้นว่า แล้วถึงเวลาที่ความเสียใจเกิดขึ้น มันก็ทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ เพราะเราเห็นมันซะก่อน

13 ส.ค. 68 - หมั่นสร้างเหตุ แต่อย่ายึดผล : เราทำได้คือการสร้างเหตุสร้างปัจจัย แต่ผลมันไม่อยู่ในอำนาจของเรา เราต้องแยกให้ถูก เราสามารถสร้างเหตุสร้างปัจจัยได้ แต่ผลไม่อยู่ในอำนาจของเรา แล้วเราก็ต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัยไปเรื่อย ๆ ด้วย ซึ่งต่างจากคนที่เชื่อในเรื่องของโชควาสนา หรือว่าการดลบันดาลของเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนที่เชื่อแบบนั้นไม่สนใจสร้างเหตุปัจจัยเลย ก็เอาแต่การอธิษฐาน ขอร้องทวยเทพ จะสร้างเหตุสร้างปัจจัยก็ไม่ทำ แต่การสร้างเหตุปัจจัยก็ต้องระวัง ว่าเราทำได้แค่นั้น คือ สร้างเหตุสร้างปัจจัย แต่ผลไม่อยู่ในอำนาจของเรา หน้าที่ของเราคือสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้มันดี เข้าใจเหตุปัจจัยว่า อะไรจะก่อให้เกิดผลอย่างที่ต้องการ แต่ทำแล้วมันก็อาจจะไม่เกิดผลอย่างที่ต้องการก็ได้ เพราะเหตุปัจจัยไม่ถึงพร้อม ซึ่งอันนี้เป็นทางสายกลาง ทางสายกลางระหว่างความเชื่อว่า ทุกอย่างควบคุมได้ กับความเชื่อว่าทุกอย่างเป็นความบังเอิญ แล้วแต่โชคชะตา แล้วแต่พรหมลิขิต แล้วแต่การดลบันดาล ชาวพุทธเรามีความเห็นที่อยู่ตรงกลาง ที่ว่าทางสายกลาง คือ ไม่ได้คิดว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องของโชคชะตา ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะทำอะไรได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้คิดว่า ทุกอย่างเราควบคุมได้หมด สิ่งที่เราทำได้คือสร้างเหตุสร้างปัจจัย แต่ผลเราควบคุมไม่ได้ เพราะถึงที่สุดแล้ว เหตุปัจจัยเราก็ไม่สามารถจะควบคุมทั้งหมดได้เหมือนกัน อันนี้เราก็ต้องระวังในมายาภาพ หรือความหลงที่ว่าเราควบคุมอะไรได้หากว่ามันออกมาจากมือไม้ของเรา ออกมาจากการเลือกของเรา อย่างนี้มันเป็นความหลงแบบหนึ่ง

12 ส.ค. 68 - เป็นพุทธอย่าลืมธรรม : เพราะอย่างนี้สิ่งสำคัญต้องย้ำก็คือว่า ธรรมะแสดงออกที่คำพูดและการกระทำ และแน่นอนว่าต้องมาจากธรรมะในใจด้วยและนี่ก็เป็นเหตุผลที่คนสมัยก่อนแม้จะนับถือพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้เรียกตัวว่าเป็นชาวพุทธ หรือพุทธศาสนิกชน แต่เรียกตัวเองว่าเป็นธรรมจารี ธรรมวิหารี เพราะเป็นการให้ความสำคัญกับธรรมะมากกว่ายี่ห้อ หรือภาษาสมัยใหม่เรียกว่าอัตลักษณ์ ต้องระวัง รักศาสนาแต่ว่าลืมธรรมะ อันนี้อันตรายมาก แล้วก็เป็นบาดแผล เป็นจุดอ่อนของศาสนาจำนวนมากที่ติดในยี่ห้อ ไม่ว่าจะเป็นคริสต์ อิสลาม แต่ว่าย่อหย่อนในธรรม พวกเราจะต้องไม่ไปหลงยึดติดในยี่ห้อ อย่าไปสำคัญมั่นหมายในความเป็นพุทธ แต่ให้ความสำคัญกับธรรมะที่เราปฏิบัติ อันนี้จะสำคัญกว่า

11 ส.ค. 68 - ทำดีทำไมในเมื่อไม่มีตัวกู : คำถามที่ว่า ในเมื่อไม่มีตัวกูแล้วปฏิบัติธรรมไปทำไม คำตอบมันก็ชัดอยู่แล้วว่า ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมถึงเวลาความทุกข์เกิดขึ้น มันก็จะมีความรู้สึกว่า กูทุกข์ ๆ อยู่ เพราะความสำคัญมั่นหมายว่ากูยังมีอยู่ ความสำคัญมั่นหมายเกิดจากการที่ยังมีอวิชชาครอบงำใจ เช่นเดียวกันกับในเมื่อไม่มีตัวกู แล้วทำไมเราไม่ควรกินเหล้า สูบบุหรี่ เพราะอะไร เพราะว่าถ้ากินเหล้าเยอะ ๆ สูบบุหรี่มาก ๆ พอเกิดความเจ็บความป่วยขึ้นมา จะรู้ว่ามีตัวกูหรือไม่มันก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเกิดความเจ็บป่วยกับร่างกาย เกิดมะเร็ง มะเร็งปอด มะเร็งตับ ตับแข็ง และตราบใดที่ยังไม่มีการเจริญสติ ไม่มีปัญญา มันก็ยังมีความสำคัญมั่นหมายว่า กู มี กู อยู่

10 ส.ค. 68 - เจออะไรใจก็นิ่งได้ : ความสุขที่แท้ คือจิตที่สงบ ที่ประกอบไปด้วยธรรม แม้ปัญญายังไม่มีมากพอ หมายความว่า พอเจอสิ่งที่ถูกใจก็เกิดความยินดี สิ่งเย้ายวนก็เกิดความเพลิดเพลิน พอเจอสิ่งที่ยั่วยุก็ทำให้เกิดความโกรธ สิ่งที่ไม่ถูกใจก็เกิดความหงุดหงิด ความหวั่นวิตก แต่ถ้ามีสติมันก็จะช่วยรักษาใจได้ อารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ความอยาก ความกลัว ความโกรธมีขึ้นในใจ แต่ก็มีสติรักษาใจไม่ให้มันครอบงำ หรืออาจจะเผลอปล่อยใจจมเข้าไปในอารมณ์เหล่านั้น ก็มีสติดึงจิตออกมาจากอารมณ์เหล่านั้นได้ สุดท้ายมันจะเกิดความสงบขึ้นมา อันนี้จะว่าไปแล้วมันคือจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา ในมงคลสูตร 4 ข้อสุดท้ายนี้ก็เป็นเรื่องนี้แหละ จิตของผู้ใดอันโลกธรรมถูกต้องแล้ว ไม่หวั่นไหว ไร้ธุลีกิเลส เป็นจิตเกษมศานต์ ไม่โศกเศร้า นี้เป็นมงคลอันสูงสุด ถ้าคนเราถือว่านี่เป็นจุดมุ่งหมาย ก็ต้องพยายามไปให้ถึง แต่ถ้าเราไม่คิดว่านี่คือสิ่งที่วัดความก้าวหน้า เราก็ปล่อยใจไปตามอำนาจของสิ่งล่อเร้าเย้ายวน แล้วเราก็คิดว่าใคร ๆ เขาก็ทำกัน ใคร ๆ เขาก็ทำกัน ใคร ๆ เขาก็เป็นกัน คิดแบบนี้ก็ถือว่ามองข้ามศักยภาพที่เรามี เราสามารถจะทำได้มากกว่านั้น หรือเป็นได้มากกว่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่า สิ่งที่จะวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของเราคืออะไร คำตอบง่าย ๆ คือการรู้จักรักษาใจให้นิ่งสงบ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบ หรือไม่ว่าประสบกับอะไรก็ตาม

8 ส.ค. 68 - ยิ่งอยากหนี ก็ยิ่งเจอ : ธรรมดาคนป่วยก็อยากหาย แต่ความอยากหายที่ทำให้ป่วยได้นานขึ้น เพราะว่าพอไม่หายอย่างที่หวังก็เครียด ไม่พอใจ ความเครียดมันก็ทำให้การฟื้นตัวของร่างกาย หรือการหายจากโรคเป็นไปได้ช้าลง ของแบบนี้ถ้าไม่มีสติ มันก็ทำได้ยาก เพราะว่ามันอดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ความอยากเข้ามาครอบงำ ไม่ว่าจะอยากถูกหวย อยากหายจากโรคภัยไข้เจ็บ อยากหายจากความฟุ้งซ่าน อยากระงับความโกรธ อยากเลิกเหล้า พวกนี้ถ้าวางใจไม่เป็น มันกลับเป็นตัวซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้มากขึ้น มีสติรู้ทันความอยากนะ ความอยากมันก็ดีพาให้เรามาที่นี่ แต่พอลงมือปฏิบัติก็ต้องวางความอยาก อยากหายโกรธนี่เป็นเรื่องดี แต่ว่าพอพยายามฝึกใจให้มีสติ เพื่อจะรู้ทันความโกรธ ก็วางความอยากลง แล้วถ้าเราสามารถเอาชนะ หรือรู้ทันความอยากได้ รู้ทันความคาดหวังได้ มันก็จะมารบกวนจิตใจเราน้อยลง

7 ส.ค. 68 - ชีวิตที่ต้องมีตัวกวน : ถ้าจะว่าไปแล้วการที่มีความคิดปรุงขึ้นมา มันก็เป็นตัวป่วนตัวกวนอย่างหนึ่งซึ่งมีประโยชน์ ในการปฏิบัติธรรมเราต้องการตัวกวนตัวป่วน ต่างจากทางโลก ทางโลกพยายามหนี ใครที่คิดหนีสิ่งที่มาปั่นป่วนกวนจิตใจ แสดงว่ายังคิดแบบทางโลกมาก แต่ถ้าคิดแบบทางธรรมแล้ว กลับอยากจะให้มีมากๆ ถ้าไม่มีอาจารย์ ก็ทำหน้าที่เองเป็นตัวป่วนเสียเอง แล้วก็ทำให้ได้บทเรียน ถึงแม้ไม่มีอาจารย์มาคอยเป็นตัวกวนตัวป่วน แต่ในชีวิตประจำวันเราก็จะมีพวกนี้อยู่แล้ว เรียงหน้าเข้ามาเป็นระยะๆ สิ่งนั้นก็คืออนิฏฐารมณ์ หรือบางทีเราก็เรียกว่าทุกข์นั่นเอง ทุกข์ก็เป็นตัวป่วนตัวกวนที่มีประโยชน์มาก เหมือนกับเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกายแล้วทำให้เรามีภูมิคุ้มกัน บางทีเชื้อโรคไม่มีก็ต้องฉีดยาเข้าไป ยาในที่นี้คือการเอาเชื้อโรคเข้ามาในร่างกายเพื่อไปกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน นักปฏิบัติธรรมต้องมี ต้องเจอทุกข์ แล้วทุกข์นี้จะทำให้เรามีภูมิคุ้มกันความทุกข์ ก็คือเกิดปัญญา เกิดสติ หลวงปู่กงมาท่านเคยพูดว่า ถ้ากลัวทุกข์ก็ไม่มีวันพ้นทุกข์ แต่ถ้าอยากพ้นทุกข์ก็ต้องเข้าหาทุกข์ แต่ก็อย่างที่บอก เราไม่จำเป็นต้องเข้าหาก็ได้ เพราะมันก็มาหาเราอยู่แล้ว แต่บางทีเราต่างหากที่หนีมัน หรือเรียกร้องที่จะไม่ให้มีสิ่งที่เป็นตัวกวนตัวป่วน แต่ถ้าเรายอมรับมันได้ ก็จะทำให้เราเติบโตได้ จนกระทั่งสามารถออกจากทุกข์ หรืออยู่เหนือทุกข์ได้

6 ส.ค. 68 - แม้ถูกกวนแต่ใจไม่ขุ่น : ที่จริงในชีวิตประจำวันก็มีสิ่งพวกนี้อยู่แล้วที่มากวนเรา ไม่ว่าจะเป็นแมลง อากาศร้อน เสียงดังจากข้างนอก หรือว่าพฤติกรรมที่น่ารำคาญน่าระอาของใครบางคนที่อยู่รอบตัวเรา หลายคนพอเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจก็โวยวายตีโพยตีพาย หารู้ไม่ว่านี่เป็นของดีที่เขามาฝึกใจเรา หนองป่าพงบางทีก็ไม่ค่อยมีสิ่งนี้ หลวงพ่อชาท่านก็เลยทำเสียเองเลย สวดปาฏิโมกข์ก็แกล้งให้สวดผิดสวดถูก ใครที่ภาคภูมิใจว่าสวดเก่ง พอเจอแบบนี้เข้าก็อายขายหน้า แต่ที่จริงแล้วแม้ใครมาแกล้ง แม้สวดไม่ดี ไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าหากไม่ไปหลงใหลเพลิดเพลินในความสำเร็จ นี่เป็นสิ่งที่เราต้องฝึกเอาไว้ ทำอะไรก็ตาม ทำเต็มที่แต่ว่าอย่าไปคาดหวังความสำเร็จ มีความสำเร็จก็แค่รู้เฉยๆ ถ้าไม่สำเร็จไม่มีคนชมก็รู้เฉยๆ เราทำดี ไม่มีคนเห็น ก็เฉย ใครชมเรา เราก็เฉย เพราะเรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ แล้วจริงๆ เราไม่ต้องรอให้ครูบาอาจารย์มากวนใจเราให้ขุ่น เพราะว่าจริงๆ แล้วมันมีสิ่งต่างๆ ที่จะคอยกวนใจเราอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าเราพยายามหลีกพยายามเลี่ยง แต่ถ้าเกิดว่าเรารู้จักเผชิญกับมันบ้าง แล้วมองว่าเขามาฝึกใจเรา ทำอย่างไรแม้จะมีสิ่งมากวนใจแต่ว่าใจไม่ขุ่นใจ ยังสงบได้ ถ้าทำได้อย่างนี้ถึงเรียกว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า แต่ถ้าใจสงบเพราะไม่มีอะไรมากวน พอมีอะไรมากวนเข้า ใจนี่ขุ่นมัวหงุดหงิดหัวเสีย แสดงว่าเรายังต้องฝึกอีก

5 ส.ค. 68 - เจออะไรไม่สำคัญเท่ากับมองมันอย่างใร : ความทุกข์เป็นสิ่งที่เราทุกคนหลีกหนีไม่พ้น ไม่ว่าร่ำรวยหรือยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ต้องพบกับความไม่สมหวัง รวมทั้งความพลัดพรากสูญเสีย ดูแลรักษาสุขภาพดีอย่างไร ก็ยังต้องเจ็บป่วย ตั้งใจทำงานเพียงใดก็ยังเจอความล้มเหลว ระมัดระวังเพียงใด ก็ยังต้องเสียทรัพย์ แต่ไม่ว่าจะเกิดเหตุร้ายอย่างไร ใจเราก็ยังสามารถเป็นปกติ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ เพราะความสุขนั้นแท้ที่จริงอยู่ที่ใจ ป่วยกาย แต่ใจไม่ป่วย เสียทรัพย์ แต่ใจไม่เสีย เป็นสิ่งที่เราทำได้ หาเกินความสามารถของเราไม่ ไม่ว่าเจออะไร ย่ำแย่แค่ไหน ก็ยังมีความสุขให้เราสัมผัส หรือพบได้แม้ในท่ามกลางความทุกข์ ดังมีพุทธภาษิตว่า “ผู้มีปัญญา แม้ประสบทุกข์ ก็ยังหาสุขพบ” ความสุขอย่างหนึ่งที่เราพบได้ในทุกหนแห่งก็คือความสุขที่ใจ ขอเพียงแต่เรารู้จักรักษาใจ หรือหันกลับมาดูแลใจ รวมทั้งคิดให้ถูก มองให้เป็น ก็พบความสุขได้ไม่ยาก

4 ส.ค. 68 - ฝึกใจให้เป็นนายความคิด : คำว่า รู้ มีประโยชน์ แต่ถ้า รู้งี้ ไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่มันมักจะเกิดขึ้นกับคนที่รู้แต่ไม่ทำ เพราะห้ามใจไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่ได้ฝึกใจ และถ้าฝึกใจไว้อยู่เสมอ แม้จะรู้ไม่มากแต่ว่าถ้าฝึกใจเอาไว้ รู้เท่าไหร่ก็ทำเท่านั้น มันก็ทำให้ชีวิตเลี่ยงทุกข์แล้วก็ประสบสุขได้ แต่รู้มากเพราะใช้ความคิดเยอะ ได้ยินได้ฟังมาเยอะ แต่ว่าไม่ได้ฝึกจิตเลย แล้วบางทีก็รู้ว่าควรจะฝึกแต่ว่ามันก็มีข้ออ้างในการไม่ฝึก ก็มักจะลงเอย จบไม่สวยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นนอกจากการฝึกหรือการรู้จักใช้ความคิดให้มีประโยชน์ รู้จักคุมความคิด ใช้ความคิดเพื่อกระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิตแล้วมันต้องฝึกด้วย ต้องฝึกจิต ฝึกให้มีสติ ฝึกให้มีความรู้สึกตัว ฝึกให้มีปัญญา ซึ่งจะช่วยทำให้ไม่ว่าคิดอะไร ใจก็จะไม่คล้อยตาม แล้วก็ช่วยทำให้กิเลส อวิชชา ครอบงำจิตใจเราน้อยลง และช่วยทำให้รู้จักพาใจไม่ให้ทุกข์ได้แม้จะเจอความทุกข์ คือความเจ็บ ความป่วย ก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย แม้กระทั่งตายก็มีแต่ความตายแต่ไม่มีผู้ตาย ไม่มีผู้ทุกข์

3 ส.ค. 68 - ทำดีแล้ว ทำใจด้วย : ถ้าหากว่ารู้จักเอาธรรมะพื้น ๆ นั้นมาใช้ นั่นก็คือการวางใจให้เป็น เช่น การให้อภัย การรู้จักมีเมตตากับคนที่เขาสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น อย่าปล่อยให้ใจมันเกิดความโกรธเกลียด เพราะถ้าเรานึกไปถึงชะตากรรมที่เขาต้องประสบในวันข้างหน้าอันเป็นผลจากการทำไม่ดีของเขา มันจะทำให้เรามีแต่ความสงสาร ความโกรธ ความแค้น ก็จะน้อยลง ยิ่งตระหนัก หรือมีสติระลึกว่า หรือเห็นภัยของความโกรธว่ามันมีแต่จะกัดกร่อนจิตใจเรา ถ้ารักตัวเอง ก็อย่าให้ความโกรธครองใจ ให้มีสติ รู้จักวางมันบ้าง หลายคนเจอปัญหานี้ไปไม่เป็น แม้จะรู้เข้าใจเรื่องอนัตตา เรื่องปรมัตถธรรม แต่มันรู้แค่หัว บางทีรู้ว่าไม่มีตัวกู-ของกู แต่พอเจอปัญหาแบบนี้นี่ก็จมอยู่ในความทุกข์ มันไม่ใช่เรื่องโลกุตตรธรรม มันเป็นเรื่องโลกียธรรม ซึ่งต้องรู้จักเอามาใช้เพื่อแก้ปัญหาชีวิตของตัว แก้ปัญหาจิตใจ และไม่ใช่แค่ความโกรธเกลียดพี่สาว ความน้อยใจพ่อแม่ก็เหมือนกัน ถ้าวางใจให้เป็น มองให้ถูก มันก็มีแต่ความเข้าอกเข้าใจเขา แล้วก็มันก็มีแต่การรู้จักปล่อย รู้จักวาง เพราะเห็นว่าจริง ๆ แล้วเหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจเรานั่นเอง คาดหวังให้เขาเห็นความดีของเรา คาดหวังว่าเขาควรทำสิ่งที่ถูกต้อง การไปคาดหวังคนอื่นมันมีแต่จะสร้างความทุกข์ เมื่อพบว่าเขาไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด อย่างที่เราคาด แต่เรามาปรับใจของเราดีกว่า วางใจให้ถูก มองให้เป็น มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทุกข์

2 ส.ค. 68 - เห็นธรรมในทุกสิ่ง : ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าหมายถึงอะไร หมายถึงทุกสิ่งเลย ทั้งที่เป็นความคิด อารมณ์บวกและลบ รวมทั้งเสียง รูป ที่เกิดขึ้น ถ้าเราเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้น ๆ อย่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน แล้วทำเช่นนั้นบ่อย ๆ ก็จะเห็นธรรม เราจะเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ ก็เพราะมีสติ เมื่อเห็นธรรมะที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า เห็นมันอย่างที่มันเป็น ปัญญาก็เกิด ปัญญา คือ ความเข้าใจความจริงของสรรพสิ่ง ฉะนั้นฝึกเอาไว้ เจออะไร ก็มองเห็นธรรมจากสิ่งนั้น นักดนตรีอย่างซานตาน่า เขาเห็นทำนองเพลงจากทุกสิ่ง แต่ว่าผู้ใฝ่ธรรมอย่างพวกเรานี้ ต้องหรือควรจะมองเห็นธรรมะจากทุกสิ่งได้ด้วย แล้วเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเราไม่เห็นธรรมจากทุกสิ่ง เราก็จะตกหลุมแห่งความทุกข์ได้ง่าย จะหลุดจากทุกข์ได้ ก็เพราะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรม ถ้าไม่เห็นมัน มันก็ทุกข์สถานเดียว

1 ส.ค. 68 - ผ้าขี้ริ้วสอนธรรม : ถ้าเรากลับมาดูตัวเองเราก็จะไม่ปล่อยให้กิเลสเหล่านั้น หรือสิ่งที่เป็นอกุศลของคนที่อยู่ข้างนอกหรือคนที่อยู่รายรอบเรา เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา เราก็ต้องรู้จักขัดเกลาตัวเองบ้าง ไม่ใช่ว่ายิ่งทำไปตัวเองก็ยิ่งแย่ จิตใจก็ตกต่ำดำมืด แล้วขณะเดียวกันถ้าดูตัวเองมันช่วยทำให้เรารู้จักขัดเกลาตัวเองด้วย ไม่ใช่ขัดเกลาแต่คนอื่น อย่างที่บอกผ้าขี้ริ้วมันทำความสะอาดให้กับทุกอย่าง แต่มันทำตัวมันเองให้สะอาดไม่ได้ เราไม่เหมือนผ้าขี้ริ้ว จิตใจเราสามารถจะขัดเกลาตัวเองได้ ถ้าเรารู้จักฝึกฝน กลับมามองใจอยู่เสมอ เราก็จะเห็นกิเลส เราก็จะรู้เท่าทันกิเลส ไม่ปล่อยให้กิเลสมันมาครองใจ ยิ่งเราขัดเกลาคนอื่นมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องกลับมาดูใจเรา อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ไปซึมซับรับเอาความไม่ดีของคนที่อยู่รอบ ๆ เราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของใจเรา ฉะนั้นการหมั่นมองตนมันก็จะทำให้เกิดทั้งความสุข ช่วยทำให้ความทุกข์จางคลาย และมันช่วยทำให้ความดีหรือกุศลธรรมในจิตใจเราก็ยังดำรงคงอยู่ เพราะไม่อย่างนั้นทั้ง ๆ ที่เราพยายามทำความดี อยากช่วยใครต่อใครมากมาย สอนคนโน้นคนนี้ แต่สุดท้ายเราต้องกลับแย่ลง ขัดเกลาคนอื่นได้มากมาย ถากคนอื่นมากมาย แต่ว่าลืมถากใจตัวเอง อันนี้ต้องระวังมากเลย อันนี้คือสิ่งที่คนที่ทำความดีทำประโยชน์ต้องระมัดระวัง เห็นผ้าขี้ริ้วแล้วก็เอามาเตือนใจว่า ตอนนี้ใจของเราหรือชีวิตของเราเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วหรือเปล่า เอาผ้าขี้ริ้วมาสอนใจ ก็จะทำให้เราสามารถจะทำประโยชน์ตนควบคู่ไปกับประโยชน์ท่านได้ หรือว่าทำประโยชน์ท่านโดยที่ไม่ได้ทิ้งประโยชน์ตน ขัดเกลาคนอื่นแล้วก็ขัดเกลาตัวเองไปด้วย

31 ก.ค. 68 - ใฝ่สร้าง อย่าใฝ่เสพ : ความสงบนี่เราต้องรู้จักสร้างให้เกิดขึ้นมาในใจ อย่าไปหวังพึ่งพาสิ่งแวดล้อม อย่าไปคาดหวังจากคนนั้นคนนี้ อย่าไปคาดหวังจากสิ่งแวดล้อมหรือธรรมชาติ แต่พร้อมที่จะเอาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา และเกิดขึ้นในใจเรา มาเปลี่ยนให้กลายเป็นความสงบ และไม่ใช่ความสงบอย่างเดียว กลายเป็นความสว่างด้วย จากความสงบกลายเป็นปัญญา จะทำอย่างนี้ได้มันต้องมีท่าทีแบบผู้ใฝ่สร้าง แต่ถ้ามาวัดด้วยท่าทีของผู้ใฝ่เสพ มันจะไม่มีความสุขเลย เดี๋ยวโน่นเดี๋ยวนี่ ไม่เห็นสงบ ไม่เห็นราบรื่น ไม่เห็นเรียบร้อยเลย เพราะว่าพอเจออะไรที่ไม่ถูกใจก็เป็นทุกข์ เหมือนกับคนที่ไปเที่ยวโรงแรม พอเจอเสียงดัง เจอพนักงานไม่เรียบร้อย ก็มีความทุกข์ อันนั้นก็ธรรมดาเพราะเขาไปเที่ยว ไปในฐานะผู้ใฝ่เสพ แต่เรามาวัดเราต้องมาในฐานะผู้ใฝ่สร้าง สร้างคือสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่ารอบตัวเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม

30 ก.ค. 68 - ค้นพบคุณค่าในตัวเอง : อย่าให้อารมณ์ที่เป็นลบเข้ามารบกวน แล้วก็อย่าไปเติมอารมณ์ลบๆ ให้กับใจด้วยการเสพสิ่งที่ไม่ดี มันอาจจะถูกใจ แต่จริงๆ แล้วมันถูกกิเลสมากกว่า แต่มันทำร้ายจิตใจของเรา สื่อรอบตัว ถ้าเราไม่รู้จักแยกแยะในการเสพ ก็เท่ากับเรากำลังเอายาพิษมาทำลายใจของเรา อันนี้ก็เป็นเรื่องยาก เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราแยกไม่ออกระหว่างสิ่งที่ถูกใจกับสิ่งที่ถูกต้อง ถูกใจจริงๆ มันคือถูกกิเลสนั่นเอง ส่วนสิ่งที่ถูกต้องมันไม่ถูกกิเลส แต่ว่ามันเกื้อกูลต่อจิตใจ เกื้อกูลต่อสุขภาพ ต่อความผาสุก เราจะรู้จักแยกแยะได้ก็ต่อเมื่อรู้จักหมั่นเฝ้าดูจิตใจ รับรู้ว่าเวลารับอะไรเข้าไป ใจเป็นอย่างไร เวลาคิดลบคิดร้ายใจเป็นอย่างไร เวลาคิดบวก ใจเป็นอย่างไร เวลาใจมันแบกทุกข์แบกอารมณ์ ใจเป็นอย่างไร เวลาใจปล่อยวาง มันเป็นอย่างไร เวลาช่วยเหลือคนอื่น ใจมีความสุขไหม แต่เวลาเราคิดแต่จะเอา ใจมันเป็นอย่างไร อาจจะถูกใจกิเลส แต่ลึกๆ เราก็มีความทุกข์ พวกนี้ต้องอาศัยการเฝ้าดูจิตใจ จะเฝ้าดูจิตใจก็ต้องมีเวลากับใจ อย่าปล่อยเวลาให้เพลิดเพลินกับความสนุกสนานชั่วครู่ชั่วคราว เพราะถึงเวลาที่เกิดทุกข์ เกิดความเจ็บป่วย เกิดความพลัดพรากสูญเสีย กิเลสไม่ได้ช่วยเราเลย มีแต่ซ้ำเติมเรา แต่ว่าใจที่ฝึกไว้ดีแล้ว จะช่วยให้ความทุกข์เบาบาง หรือสามารถจะพบสุขท่ามกลางความทุกข์ได้ อย่างที่พุทธเจ้าตรัสว่าผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ก็ยังหาสุขพบ