นำ "โจทย์" จากชีวิตจริงมาวิเคราะห์แจกแจง, เปิดประเด็นปัญหา ขุดคุ้ยคำตอบที่ซ่อนอยู่ แล้วปรับสมดุลย์ด้วยสัจจะธรรม เพื่อให้เห็นเส้นทางดำเนินต่อไปในชีวิต ในช่วง "สมการชีวิต". New Episode ทุกวันจันทร์ เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ donhaisok.fm
วัดป่า ดอนหายโศก ฟังธรรมะ donhaisok
ลักษณะคำถามที่ว่า เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาทำไม? หรือ What is the meaning in life? เหล่านี้เป็นคำถามประเภทเดียวกัน ซึ่งเป็นคำถามที่ยังไม่ตรง 100% แต่ที่ควรจะเป็นคำถามในที่นี้ก็คือว่า ความหมายอะไรที่เราจะให้ในชีวิต หรือ คุณเกิดมาคุณจะทำอะไร? เพราะลักษณะคำถามแบบนี้มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะให้ความหมายอย่างไรกับชีวิตที่มี ซึ่งก็อยู่กับผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น แล้วอะไรคือประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น? ถ้าไปถามนักธุรกิจ นักเที่ยว นักเล่น นักดื่ม เขาก็จะพูดถึงผลประโยชน์ในลักษณะที่เป็นเรื่องของกาม เป็นเรื่องของความสุข เรื่องของอำนาจ เรื่องของเงินทอง แต่ถ้าไปถามผู้รู้ ท่านก็จะอธิบายถึงประโยชน์ในชาตินี้ ประโยชน์ในโลกหน้า ประโยชน์ตนเอง ประโยชน์ผู้อื่น และก็ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ถึงทางที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ ที่จะไม่ใช่เป็นไปเพื่อสุดโต่งสองข้าง ถ้าเราต้องการมีปัญญา จึงควรเข้าไปหาสมณะผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถามถึงว่า “อะไรจะเป็นประโยชน์เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน อะไรทำแล้วจะเป็นทุกข์เป็นโทษตลอดกาลนาน” อะไรที่มันจะไม่มีประโยชน์เราก็อย่าทำ อะไรที่จะมีประโยชน์มากเราก็ทำ สิ่งที่มีประโยชน์มากมีโทษน้อย ก็คือ อริยมรรคมีองค์ 8 (ทางแห่งศีล สมาธิ ปัญญา) ในทางตรงข้ามสิ่งที่มีโทษมากมีประโยชน์น้อย ก็จะไม่ไปตามทางนี้ เช่น ถ้าทำอะไรที่มันจะผิดศีลหรือออกทางอันประเสริฐนี้ แล้วคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์เป็นสุข อันนั้นจะเป็นทางหลอกลวง จะเป็นสุดโต่งพาไปตัน พาไปอ้อม พาไปวน เพราะฉะนั้น ให้เรามาตรวจสอบดูตัวเองว่า ชีวิตของเราที่เกิดมาจนถึงตอนนี้ มันมีสัดส่วนที่ตรงกันกับเกณฑ์ของทางอันประเสริฐที่มีองค์ประกอบ 8 อย่างนี้มากน้อยเพียงใด ซึ่งถ้ามีมาก จึงขึ้นชื่อว่าเกิดมาแล้วคุ้มค่า ได้ประโยชน์ได้กำไร ไม่เสียชาติเกิด. Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
“ใครจะสำเร็จอะไรอย่างไร ถ้าจะเพียงได้ด้วยความปรารถนาแล้วโลกนี้จะไม่มีใครเสื่อมจากอะไร ทุกคนก็จะสำเร็จหมด”...ให้เราลองทบทวนเป้าหมายในปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราหวังไว้อยากไว้อ้อนวอนไว้ปรารถนาไว้มันสำเร็จทุกข้อหรือไม่? สิ่งที่เราคิดไว้หวังไว้ปรารถนาไว้ว่าจะทำนั่นทำนี่ให้สำเร็จจะทำอันนั้นอันนี้ให้ได้ นั่นคือแผนที่ แล้วเราจะไปซ้ายหรือขวา แล้วความปรารถนาอะไรที่จะทำให้สำเร็จ ๆ นี้ มันจะไปถูกที่ถูกทางหรือไม่? พระพุทธเจ้าคือผู้ที่สำเร็จแล้ว สำเร็จความปรารถนาสูงสุดในความที่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านตรัสเปรียบไว้กับคนบอกทาง ที่เมื่อเราไปถามทางเขา เขาก็บอกเส้นทางเรามา คนบอกและคนถาม (ผู้เดินทาง) มันคนละส่วนกันทางสู่ความสำเร็จมันมีอยู่ ทางที่จะสำเร็จประโยชน์ที่เราคาดหวังไว้ มันมีทั้งประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า ประโยชน์เพื่อบุคคลเราเอง ประโยชน์เพื่อครอบครัว ทางที่จะไปสู่ความสำเร็จเหล่านี้ ไม่มีผิดพลาด จะไม่เป็นไปเพื่อความเสื่อมประโยชน์ จะไม่เป็นไปเพื่อความมีทุกข์โทษ แต่จะเป็นไปเพื่อความสุขความสำเร็จ ทางนี้คืออริยมรรคมีองค์แปด คือ ศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง โดยแบ่งเค้าโครงออกเป็น การละความชั่วก็คือเรื่องของศีล การทำความดีก็คือเรื่องของทางจิตเรื่องของทางสมาธิ และการทำจิตให้บริสุทธิ์เป็นเรื่องของทางปัญญา เพราะการกำหนดเค้าโครงก็คือกำหนดเส้นทาง ในทางกายทางวาจา เป็นฐานที่มั่นคงด้วยรักษาศีลคือข้อปฏิบัติ ในทางใจ ความคิดนึกของเราจะสำเร็จหรือไม่ จิตเราต้องมีกำลัง ทำอย่างไรจิตถึงจะมีกำลังใจได้?...ถ้ามีอกุศลธรรมอยู่ในปัจจุบันต้องละ มีกุศลธรรมอยู่ในปัจจุบันต้องเพิ่ม คิดแบบนี้เป็นลักษณะของสัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) เป็นหนึ่งในส่วนของการทำดี ซึ่งจะให้จิตของเรามีกำลัง ฉะนั้นอยู่กับปัจจุบัน คิดเรื่องอดีต อนาคตด้วยเหตุผลเป็นการพัฒนาปรับปรุงตัวเอง ซึ่งเป็นส่วนตรงกลางที่ต้องทำให้มาก และในส่วนปลายยอดนั่นคือปัญญาที่ใช้ตัดกิเลส ทำจิตให้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นเราต้องมีพื้นฐานที่มั่นคงด้วยศีล มีกำลังคือกำลังใจสูงด้วยสมาธิ และมีปัญญาที่คมดั่งมีด เปรียบเหมือนคนเก็บผลไม้ในที่สูง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
เมื่อเราทำบุญ ถ้าเป็นการให้ทาน เรียกว่า ทานมัย การรักษาศีลเรียกว่า ศีลมัย การภาวนาเรียกว่า ภาวนามัย นั่นคือ เราได้บุญต่อแรกแล้ว และถ้าเราบอกบุญคนอื่น เราจะได้บุญต่อที่สอง เรียกว่า “ปัตติทานมัย” และเมื่อเขาอนุโมทนาบุญกับเรา คือเขาแสดงความยินดีกับบุญของเรา เขาจะได้บุญจากการอนุโมทนา เรียกว่า ปัตตานุโมทนามัย การ “อนุโมทนา” เป็นการกระทำทางใจ บุญเกิดขึ้นที่ใจ การที่มีใจยินดีกับผู้อื่นด้วยใจจริง จะสามารถแก้ความอิจฉาริษยาได้ และผู้ที่มักจะมีโชคหรือมีกำไรจากทำอะไรก็แล้วแต่ เป็นเพราะเขาได้มีการให้ทาน แต่แทนที่เราจะหวังว่าจะถูกหวย 50 ล้าน 70 ล้าน ให้มาหวังว่า ทำธุรกิจแล้วรวยเป็นร้อยล้าน ยังจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าอีก เพราะบุญที่เราเคยทำไว้ เมื่อมันมีช่องทางให้บุญออกผล คือ การค้าขาย การทำงานด้วยความขยันขันแข็ง สุจริต มีปัญญา จะเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เรามีโภคทรัพย์ขึ้นมาได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
เพราะเป็นภัยของวัฎสงสาร จึงมีผัสสะมีการกระทบกระทั่งกับคนอื่นๆ เป็นธรรมดา ซึ่งพระพุทธศาสนาสอนว่า “ไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไร” “ทุกอย่างเป็นอนัตตา” “ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา” และความเข้าใจที่ถูกในเรื่องของกรรม คือ “ทำกรรมไม่ว่าจะดีหรือชั่วอย่างไร จะได้รับ ‘ผล' ของกรรมนั้น” ไม่ใช่! จะได้กรรมนั้นฉะนั้น ถ้าเรามีความทุกข์อยู่ แล้วมัวแต่ไปหาว่าคนนั้นคนนี้เขาอย่างนั้นอย่างนี้ หาว่าทำไมเขาพูดแบบนี้ทำแบบนี้ มันหาไม่จบ แต่ให้มีสติตั้งไว้ “จิตอยู่ที่ไหน สติต้องอยู่ที่นั่น” แล้วใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่า “จิตเป็นนามธาตุ สั่งสม เกิดดับเป็นกระแสเหมือนกระแสน้ำกระแสไฟฟ้า ตัวตนของมันไม่มี” แล้วที่เราทุกข์อยู่นี่ ก็เป็นเพราะไปยึดถือเป็นตัวตนเป็นตัวเรา แต่ถ้าไม่ได้เป็นตัวเรา ไม่ได้เป็นตัวตน เป็นอนัตตา ความทุกข์มันจะเกาะอยู่ไม่ได้ ก็ตัดความรักความพอใจความไม่พอใจนั้นเสีย Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ถ้ายังมีความคิดว่า "เขาทำเราอยู่ เขาว่าเราอยู่ เขาเอาของ ๆ เราไปอยู่ ยังคิดว่าเขาทำไม่ดีให้เราอยู่ คิดอยู่เรื่อย ๆ มันไม่มีทางที่จะคลายความไม่พอใจในเพื่อนบ้านนั้นได้เลย" “โรคในจิตของเรา” คือ ศัตรูที่แท้จริงเป็นกิเลสที่อยู่ในใจ ทำให้เราขัดเคืองบ้าง บีบคั้นให้ลุ่มหลงบ้าง ทำให้ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่วิธีที่ดีที่สุดในการรบ คือ "เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร" อันดับแรกเราต้องรักษาศีลให้ดี แล้วระงับความคิดในใจด้วยเมตตา กรุณา อุเบกขา เอากิเลสในใจออกไป เปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนด้วยพรหมวิหารสี่ ด้วยสติ ด้วยปัญญา รักษาจิตใจของเราแบบนี้ ก็ชื่อว่ารักษาผู้อื่นด้วยรักด้วยความรักความเมตตา ด้วยความไม่เบียดเบียน ด้วยเมตตาจิต ก็ชื่อว่ารักษาตัวเราเอง ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม ด้วยการทำให้มันสมควรแก่ธรรมะ ก็ชื่อว่ารักษาผู้อื่นด้วยเหมือนกัน Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ด้วยการกระทำทางกายวาจาใจ กับหลักการ 3 อย่าง คือ 1) เหตุคือกรรมหรือการกระทำ ผลคือวิบาก 2) ความหนักเบาของผลที่เปรียบไว้เหมือนรอยกรีดบนหิน บนทราย บนน้ำ 3) การให้ผลที่มากหรือน้อย เปรียบเหมือนความเค็มจากเกลือที่ผสมในน้ำด้วยความเข้าใจ 3 อย่างนี้ให้มั่นใจได้ว่า ถ้าเราสร้างเหตุไว้จะได้ผลแน่นอน ซึ่งกรรมที่หนักๆ ได้ผลยาวๆ และเตรียมการน้อย นั่นคือ การรักษาศีล การเจริญภาวนา สองอย่างนี้ เราจะมั่นใจได้ว่า เราจะไปสู่สุคติ ณ ปัจจุบัน ด้วยจิตที่สงบจากการภาวนาเป็นกรรมหนัก เพราะเห็นผลทันที มีสติไม่ว่าจากการดูลมหายใจ การนึกพุทโธ การฟังธรรม มีปัญญาเข้าใจความธรรมดาของชีวิต หาความสุขในภายในได้ นั่นจะเป็นวิหารธรรม เป็นที่อยู่ในจิตใจของเรา อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข เป็นสุขได้ในปัจจุบัน ภายภาคหน้าไปสวรรค์ ทำทางไปสู่นิพพานได้แน่นอน Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สำหรับคนที่เริ่มทำงานเหมือนเด็กหญิง Alice ที่ก้าวไปในแดนมหัศจรรย์ “Alice in Wonderland” เมื่อถึงทางแยก“ถ้าไม่รู้ว่าเราควรไปทางไหน ไม่มีแผนไม่มีเป้าหมาย” นั่นจะเป็นปัญหา “รู้ว่าไม่รู้อะไร กับไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร” เป็น 2 ระดับ ไม่มีแผนการดำเนินชีวิต ไม่ลงมือทำ เอาแต่คิดอย่างเดียว มันพัฒนาไม่ได้ และเราก็จะตกไปอยู่ในแผนการดำเนินชีวิตของคนอื่นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “ลงมือทำ” ทำจริงแน่วแน่จริง คือ “ทำเต็มที่” แล้วมันจะเกิดความรู้ว่า สิ่งนั้นๆ มันใช่หรือไม่ใช่สำหรับเรา และเราชอบหรือไม่ชอบที่ไม่ได้เป็นไปตามความอยาก ซึ่งถ้าเราไม่รู้ว่า ทางนี้จะดีสำหรับเราไหม ก็ให้ข้อคำแนะนำจากผู้รู้ผู้ที่ประสบความสำเร็จมาก่อน “ลงมือทำ ทำเต็มที่” มีอินทรีย์ 5 อิทธิบาท 4 จะเป็นทางที่เร็วที่สุดที่จะทำให้เรามีความแจ่มแจ้งในเป้าหมาย ไปถึงจุดหมายของเราได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
ปรากฎการณ์พยับแดด “เหมือนจะใช่ แต่จริงๆ หาสาระไม่เจอ หาแก่นสารไม่ได้” เรื่องความเชื่อต่างๆ เราต้องพิจารณาใคร่ครวญให้ดี เปรียบเทียบในคำสอน อันไหนลงกันไม่ได้เข้ากันไม่ได้ ก็ทิ้งไป อันไหนลงกันได้เข้ากันได้ ก็รับมาทำ“ความดีหรือความชั่วของเรา จะมีหรือจะไม่มี ดวงดาวไม่ได้จะทำอะไรได้ แต่จะดีหรือจะชั่ว อยู่ที่การกระทำของเรา” “บุญจากการให้ต้องประกอบด้วยเจตนา บุญเกิดตั้งแต่ตอนที่ตั้งเจตนา เมื่อให้ไปแล้วก็ได้บุญต่อเนื่อง” ให้มีกำลังใจ ‘โสตาปัตติยังคะ 4' คือ ศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ศรัทธาในสิ่งที่ดีปฏิบัติได้จริงของพระธรรม ศรัทธาในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระสงฆ์ และศรัทธา คือ มั่นใจในศีลของเรา มี “สัมมา คือ ความดี” ในครอบครัว ไล่ไปตั้งแต่สัมมาทิฏฐิจนถึงสัมมาสมาธิ คือ อริยมรรคมีองค์ 8 รักษาธรรมะในครอบครัวให้ดี เราจะเป็น Smart Family ครอบครัวคุณภาพ มีเมตตากรุณา และปัญญา ไม่ใช้อาชญา ไม่ใช้ศาสตราในการที่ครูจะสอนลูกศิษย์ให้ประพฤติตามเป็นคนดี สังคมไทยก็จะมีความมั่นคง ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองไปได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
เราต้องมีระบบ ระเบียบ วินัย ที่สามารถจะลงมือทำ ในสิ่งที่ต้องทำ ในเวลาที่ต้องทำ ไม่ว่าจะอยากทำหรือไม่อยากทำก็ตาม ซึ่งบางคนมักจะให้ความสำคัญกับงานหรือสิ่งต่างๆ ที่ควรจะต้องทำไม่ถูก แล้วมาเร่งลงมือทำในช่วง 4 เดือนท้ายของปี (Ber Months) เพราะใกล้ถึงกำหนด (Deadline)ด้วย ‘อิทธิบาท 4' มีการงานหรือสิ่งต่างๆ เป็นธรรมเครื่องปรุงแต่ง อาศัยสมาธิจดจ่อเชื่อมกับ ‘ฉันทะ' จะทำให้ “งานเริ่มได้” เชื่อมกับ ‘วิริยะ' จะทำให้ “งานเสร็จได้” และในระหว่างเชื่อมกับ ‘จิตตะ'จะทำให้ “งานต่อเนื่องได้” เชื่อมกับ‘วิมังสา' จะทำให้ “พัฒนางานให้ถูกวิธีถูกเวลาได้” ทำด้วยความเข้าใจที่ถูก ทำตามระบบทำตามวินัย ตั้งใจทำให้ดีตามระบบระเบียบ สิ่งที่เราตั้งเอาไว้นั้น จะมีความสำเร็จเกิดปาฏิหาริย์เป็น Miracle Month ขึ้นมาได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
เจริญในทางโลก หมายถึง ชีวิตครอบครัว การงาน การเงิน สิ่งแวดล้อม เพื่อนฝูง ที่เป็นปัจจุบัน จะดีได้ เราต้องมีธรรมะที่บางคนเรียกว่า “คาถาเศรษฐี/หัวใจเศรษฐี - อุ อา กะ สะ” คือ อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา และสมชีวิตา ซึ่งการงานจะสำเร็จ ไม่คั่งค้าง ไม่หมดไฟ เมื่อมีการเจริญอิทธิบาท 4 ด้วยการที่เอาการงานนั้นๆ เป็นธรรมเครื่องปรุงแต่ง แล้วมี “ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา” แต่ละข้อๆ เป็นประธานกิจ โดยอาศัยสมาธิ การงานนั้นจะสำเร็จได้ส่วนเจริญในทางธรรม ให้มีธรรม 4 อย่าง “ศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา” ที่เมื่อเรารักษาจิตให้อยู่ในทางธรรมแล้ว พอแก่ตัวไป อินทรีย์มีความแก่กล้ามากขึ้นๆ ในเวลาต่อมาๆ ถ้าตายไปแล้ว มีธรรมะ ก็จะไม่ตกต่ำ มีที่ไปที่สูงที่ดีได้ และการสวดมนต์ ถ้าเรารู้ความหมายของบทสวดก็จะดีกว่า แต่ที่สำคัญ คือ จิตใจต้องสงบเย็นเป็นสมาธิจากการสวดนั้นด้วย Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
“คนคิดมากคิดน้อยไม่เป็นไร แต่คิดแล้วๆ จะสามารถให้เกิดประโยชน์ ป้องกันโทษที่จะเกิดได้ไหม และจะหาประโยชน์จากความคิดของเราได้หรือไม่” แล้วอะไรคือความคิด ด้วยสภาวะของความเป็นมนุษย์ ระบบสมองจึงมีความซับซ้อน ทำให้คิดอะไรได้ซับซ้อน ซึ่งสมองไม่ใช่จิต สมองเป็นแค่เครื่องมือสำหรับการคิด‘จิต' มีสภาวะของการสั่งสม แล้วอะไรที่ทำให้เราแยกแยะได้ว่า “อันนี้ควรคิด อันนี้ไม่ควรคิด อารมณ์อะไรที่เราควรเสพ หรือไม่ควรเสพ” นั่นคือ สติ และปัญญา ซึ่งถ้าไม่มีสติ ปัญญา สะสมไว้ จิตของเรา ก็จะไปตามอารมณ์เหมือนสัตว์ป่าที่ฝึกไม่ได้ จะมีสติมีปัญญาได้ ต้องอาศัยสมาธิ มีศีลเป็นพื้นฐาน ประกอบกับความเพียรแล้ว “จิตเราทุกคนที่เกิดเป็นมนุษย์ ฝึกได้แน่นอน” Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ ‘เกิด' คือ อุบัติ ‘ดับ' คือ นิโรธ เมื่อมีการเกิดอุบัติขึ้น การเกิดก็ดับไป เป็น “ชาติหรือชา-ติ” ถ้าตายคือมรณะ แล้วคิดว่าตายซะ ปัญหาจะจบๆ ไป มันไม่ใช่ แต่ความตายเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ต่างหาก “การทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป ทำให้ปราณหรือชีวิตหายไป ล่วงไป อันนี้เป็นการผิดศีล ยิ่งทำให้ความทุกข์เพิ่มขึ้น” แต่จะดับการตาย ต้องดับที่การเกิด ด้วยการปฏิบัติตามระบบของมรรค 8ถ้ามีการเจริญอิทธิบาทสี่ จะทำให้อายุสังขารของเรา ในที่นี้หมายถึงแขนขา และระบบสมอง อยู่ได้เต็มขีดจำกัดของเขา และถ้าเรา “เกษียณ” หมายถึง มีโอกาสว่าง นอกจากจะทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆ แล้ว ให้ทำที่พึ่งของเราต่อไปและต่อๆ ไป คือ บุญกุศล ให้มาพัฒนาตรงนี้ “ฝึกสมาธิ ฟังธรรม” บุญเกิดได้หลายอย่าง และจิตไม่ได้จะมีหญิง หรือชาย เป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ มีสิทธิเท่าเทียมกัน ตรัสรู้ธรรมได้ ทำได้เหมือนกัน Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.
สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่มีความสำคัญ เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง ‘ครอบครัว' คือ เรื่องของคนที่อยู่ในวงในที่ใกล้ชิดกับตัวเรามากที่สุด วงนี้จึงมีความสำคัญ แล้วถ้าในวงนี้มีเงื่อนไขที่ไม่ลงตัว ปรับตัวแปรไม่ดี มันจะกลายเป็นเงื่อนเป็นปมที่ถ้ามันแน่นเข้าๆ คลี่คลายไม่ออก มันจึงทุกข์ได้ ‘มารดาบิดา' สองบุคคลที่หาได้ยากในโลก ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เราต้องเลี้ยงท่านตอบ ต่อให้ท่านไม่อยู่หรือไม่ได้เลี้ยงดู เราก็ต้องทำบุญอุทิศให้ เพราะความกตัญญูกตเวทีจะเกิดขึ้นในจิตใจเราทันที และต้องไล่ลำดับความสำคัญให้ถูก พ่อแม่มีความสำคัญเป็นอันดับแรก รองมาคือพี่น้อง ลูก และสุดท้ายจึงเป็นคู่ครอง “ถ้าปมอยู่ตรงไหน แก้ตรงนั้น แต่ถ้าแก้ไม่ถูก มันจะกลายเป็นเสี้ยนหนามได้ แต่ถ้าแก้ถูกแล้ว ตรงนั้นจะเกิดเป็นมงคลในชีวิตขึ้นมาได้”
การลงทุนมีความเสี่ยง จะป้องกันการถูกหลอกได้ด้วย ‘โยนิโสมนสิการ' การใคร่ครวญโดยแยบคาย อย่าเพิ่งเชื่อแต่ให้ตรวจสอบกับกิเลสในใจตัวเองว่าเป็นความอยากความโลภหรือไม่ และให้มีการบริหารความเสี่ยง แบ่งจ่ายทรัพย์ 4 ส่วน เลี้ยงตน/ลงทุน/บริจาค/สร้างบุญสร้างกุศล ให้ถูกต้อง…จริงๆ ทุกอย่างในชีวิตมีความเสี่ยงทั้งการทำงาน การเดินทาง การพูดคุย ซึ่งเราต้องมีสติสัมปชัญญะอย่างมาก ที่สามารถฝึกได้เตรียมตัวไว้ก่อนได้ ‘บุญ' ไม่ใช่มีแค่จากการให้ทาน แต่ยังมีบุญที่เกิดจากการรักษาศีล นั่งสมาธิ เจริญภาวนา ฟังธรรมหรือบุญจากการอนุโมทนา ฯ ซึ่งถ้าเรามีเงินน้อย แต่ถ้าแบ่งให้แบ่งใช้ให้ถูกใน 4 หน้าที่ มีการทำบุญ เราไม่ใช่คนจนแต่เป็นร่ำรวยต่างหาก เพราะมีอริยทรัพย์ ไม่ใช่จิตที่ตระหนี่ ดังนั้นเกิดเป็นคนแล้วให้เราทำกิจที่ควรทำให้เต็มที่ในทิศทั้ง 6 เพื่อที่เราจะไม่ร้อนใจในภายหลัง
ถ้าร่างกายเราแก่ไปๆ จิตใจที่เชื่อมอยู่กับกาย มีสมอง มีแขนขา เราจะรักษาสมองอย่างไรให้มันแก่ไปตามร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป ก็ด้วยตัวแปรที่เป็นทวาร 3 อย่าง คือ กาย วาจา ใจ ปรุงแต่งทางกาย: ด้วยการนอนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย กินพออิ่ม มีการจัดระเบียบในชีวิต ปรุงแต่งทางวาจา: ด้วยการฝึกอ่านออกเสียง พูดตามภาพที่คิด ฝึกตั้งคำถาม ฝึกฟังคนอื่นพูด ฝึกชมคนอื่น ปรุงแต่งทางใจ: ด้วยการเขียนปรับความคิด ฝึกคิดวางแผน คิดเรื่องสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ ฝึกสมาธิ และฟังเทศน์บ้าง “ฝึกสมองให้คม” สมองควบคุมร่างกาย แต่จิตควบคุมสมองอีกที ดังนั้นถ้าฝึกสังเกตโดยไม่ส่งจิตออกนอก แต่รักษาจิตด้วยสมาธิ คอยสังเกตดู จะช่วยพัฒนาสมองได้ เมื่อสมองยังดี จิตใจที่ดีมีกุศลธรรม ด้วยบุญกุศลที่เราสะสมไว้ กายและใจเราจะให้เกิดเป็นผลดีได้
“เวลาฟังข่าวแล้วหรืออ่านตำราหนังสืออะไร ต้องดูว่าเขาสื่อถึงอะไร แล้วเราจะไม่หลุดประเด็น เราก็จะทำความดีได้” ในทีนี้ได้พูดคุยเรื่องข่าวอยู่หลายประเด็น ซึ่งการสำรวจหรือการศึกษามันไปได้ไม่มีที่สุดจบ แต่ถ้าจะจบได้ ต้องศึกษาต้องสำรวจมาในภายใน คือ รู้กายรู้ใจของเรา และการที่จะรู้ได้นั้น ต้องเดินตามทาง ‘เส้นทาง' ที่มีองค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง นอกจากนั้น “การตั้งจิตไว้ถูก” องค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่าง คือ ‘เป้าหมาย' ในชีวิตที่เราต้องรู้และต้องมีอิทธิบาท 4 เมื่อมีอิทธิบาท 4 และมาตามทางที่ถูกต้องแล้ว สามารถที่จะบรรลุผล 3 ขั้นตอนทั้งผลเฉพาะหน้า ผลในระยะกลาง และผลที่สุด ได้ประโยชน์ทั้งในปัจจุบัน ในเวลาต่อไปและต่อๆ ไปได้
เมื่อเจอสิ่งที่ไม่น่าพอใจ พลัดพรากจากสิ่งที่พอใจนั้น เราจะต้องทำอะไรที่ไม่สุดโต่งไปทั้งสองทาง แต่ได้ประโยชน์ทั้งตนเอง ทั้งผู้อื่น และทั้งสองฝ่าย นั่นคือ ไปตามทางสายกลาง ‘มัชฌิมาปฏิปทา' มีการพิจารณาใคร่ครวญ เพื่อให้เกิดปัญญา เพราะปัญญา คือ สัมมาทิฏฐินั้นจะเป็นองค์นำหน้าของมรรคแปด ในที่นี้ใช้ 3 นัยยะ คือ 1. ฐานะที่เป็นธรรมดาที่ใครๆ ในโลกไม่พึงได้ คือ ขออย่าให้แก่ เจ็บไข้ ตาย สิ้นไป และฉิบหายไป 2. อนมตัคคปริยาย คือ น้ำตาไม่มีที่สิ้นสุดที่มาจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักตลอดกาลยืดยาวนานของสังสารวัฏ และ 3. กล้าที่จะเผชิญหน้าความจริงว่า “มันก็เป็นแบบนี้แหละ” ในเมื่อธรรมชาติเป็นแบบนี้ แล้วจะไปยึดถือเพื่ออะไร ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เป็นการงานต้องทำ ก็ทำไป ปัญญามันเกิดตรงนี้ พิจารณาอยู่เนืองๆ ทำอยู่เป็นประจำ จะทำให้สติมีกำลังเพิ่มขึ้นๆ เราจะมีอาวุธคือปัญญา ที่เราจะอยู่ผาสุกได้ แม้เจอผัสสะที่ไม่น่าพอใจ แม้ในการที่จะพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่น่าพอใจได้
“ให้ตั้งอยู่ในความดี ห้ามเสียจากบาป” นี่คือ 2 ใน 5 หน้าที่ของมารดาบิดา และครูอาจารย์บางท่านที่ก็ทำหน้าที่แทนพ่อแม่ให้ด้วย แต่ถ้าจะห้ามด้วยการทำบาปเหมือนกัน มันจะไม่ได้ “ทำชั่วก่อน เพื่อจะชักชวนให้คนอื่นเขาทำดี” แต่ “ต้องใช้ดี ในการห้ามความชั่ว” “ใช้เมตตาใช้อุเบกขา ไม่ใช่ใช้อาญชา ใช้ศาสตรา” นี่คือ หลักการในทางคำสอน ให้เรามี “ที่พึ่งที่เกษม” คือ พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ “พึ่งตนพึ่งธรรม” พึ่งตน คือ ให้มีสติ พึ่งธรรมะ คือ ให้มีมรรคแปด ให้มีการตั้งตนไว้ถูกตั้งตนไว้ชอบ นั่นคือ ตั้งจิตนั่นเอง ต้องมีเป้าหมายในชีวิต ซึ่งกระบวนการตรงนี้ คือ ปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อตั้งสติ ตั้งด้วยมรรคแปดแล้ว ไปตามทางนี้ ตั้งตนไว้ถูก จะมีความเกษม คือ นิพพานนั่นเอง
คนเราถ้ายังมีกิเลสอยู่ มันเหมือนเป็นบ้า ถ้าคุณตามราคะโทสะโมหะนั้นไป อยู่ที่บ้ามากหรือบ้าน้อย อยากได้สิ่งใดบางทีไม่เป็นตัวเอง หรือโกรธไปตามเสียงที่เขาด่าว่า เราจะประสาท เราจะมีปัญหาทันที ในที่นี้ยกตัวอย่างคนที่ได้ยิน หรือเห็นภาพที่คนอื่นไม่ได้สัมผัสแบบเดียวกัน ดังนั้นต้องเริ่มจากการแยกแยะว่า เป็นความคิดที่เกิดจากการปรุงแต่งของจิต เราคิดขึ้นเอง หรือเกิดจากสิ่งภายนอก หรือเป็นญาณทัสสนะจริงๆ เครื่องมือที่จะช่วย คือ ‘ศีล' ที่จะรักษากาย วาจา และ ‘สติ' รักษาใจ ทำจิตให้ละเอียดลงไป..3 ช่องทางนี้ และจิต 4 ทิศทาง 4 ตัวแปร ที่สามารถปรับไปมา พอปรับตัวแปรถูก มาตามทางที่มีองค์ประกอบอันประเสริฐแปดอย่าง เราจะลดความเป็นบ้าความเพี้ยนในจิตใจของเรา รักษาได้แก้ไขได้
“บุญเป็นชื่อของความสุข” แยกได้เป็น ‘ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา' หรือแบ่งเป็นทางกาย วาจา ใจ ‘ทาน' มากหรือน้อยไม่ได้วัดที่ตัวเงิน แต่ปริมาณบุญที่ได้อยู่ที่ศรัทธาของผู้ให้ และราคะ โทสะ โมหะของผู้รับ “ศีลเป็นไปเพื่อความไม่ร้อนใจ เป็นไปเพื่อโภคทรัพย์” ที่ไม่ใช่การอ้อนวอนขอร้อง แต่สร้างเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง และถ้าทำผิดไปแล้ว “เห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วกระทำคืนตามธรรม” นี่คือ บัณฑิตเป็นคนฉลาด ‘ภาวนา' มาจากศัพท์คำว่า ภาวิตา คือ พัฒนา จากที่มีน้อยทำให้มีมากขึ้น จากที่ยังไม่ค่อยดี ทำให้ค่อยๆ ดีขึ้น “ทำสิ่งที่เป็นกุศล ละสิ่งที่เป็นอกุศล” และการปฏิบัติธรรมแตกต่างกับ ‘การหลีกเร้น' ที่ทำให้สติของเรามีกำลังขึ้นมาได้ พอสติมีกำลัง จิตจะเป็นสมาธิ จิตที่มีสมาธิจะมีปัญญาในการกำจัดรากถอนโคนอวิชชาได้
‘สามีภรรยา' ถ้าจะอยู่ด้วยเมถุนธรรมอย่างเดียว มันไม่รอดหรอก แต่จะอยู่ร่วมกันให้ยืดยาวให้อยู่อย่างผาสุกได้ ต้องอยู่แบบเพื่อนกัน ด้วยธรรมะอะไรที่จะต้องมี “ชีวิตเมื่อมีความทุกข์ ต้องแสวงหาทางออกจากทุกข์ ถ้าไม่ใช่ธรรมะทางออกนั้นไม่เกษมไม่ยั่งยืน เวลาเสียเปล่า” ในที่นี้ยกตัวอย่างเรื่องในสมัยพุทธกาล และชีวิตคู่ที่มีคนที่สาม ต่อมาเมื่อเขาปรับพฤติกรรมแล้ว เราต้องไม่เอามาเป็นของอ้างในการไม่ไว้ใจกัน ไม่อดทนกัน ถ้ามีความระแวงให้กัน มันอยู่ไม่เป็นสุข หรือเอาความชั่วความไม่ดีของเขา จึงจะทำชั่วบ้างไม่ดีบ้าง อ้างความดีที่จะให้เขากลับตัวเป็นคนดี ด้วยการด่า นั่นก็ไม่ดี ดังนั้นสามีภรรยาต้องรักษาหน้าที่ของกันและกัน ลองคิดดู ถ้าสามีหรือภรรยาประพฤติอะไรๆ ก็ตามที่เป็นที่พอใจของอีกฝ่าย ปัดโธ่!! เป็นสุขแน่นอน
ความทุกข์อันใดอันหนึ่ง 5 อย่าง “ที่เป็นธรรมดา” ไม่ว่าจะเป็นเทวดาเทพมารพรหมหรือสมณะองค์ไหนก็ตาม” ที่ขอว่า “อย่าแก่..อย่าเจ็บไข้..อย่าตาย..อย่าสิ้นไป..อย่าฉิบหาย”..เขาจะไม่ได้.. ความทุกข์เมื่อมีมา เมื่อมีความทุกข์ถูกต้องแล้ว รุมเร้าบีบรัด จะมีพฤติกรรมมีการกระทำอันเป็นผลจากความทุกข์อยู่ 2 ประการนี้เท่านั้น คือ ร่ำไห้คร่ำครวญ ทุบอกชกตัว ถึงความเป็นผู้งุนงงคลั่งเพ้อ หรือแสวงหาว่า “ที่พึ่งภายนอก ใครหนอจะรู้ทางออกของความทุกข์นี้ สักหนึ่งหรือสองวิธี” “ที่พึ่งบางอย่าง ไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม” เพราะมันจะวนจะตันจะกลับที่เก่า “ไม่ได้แก้ปัญหานั้นได้อย่างยั่งยืน” “ที่พึ่งอันเกษม คือ พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์” มี “ศีลสมาธิปัญญา” เป็นทางสายกลาง เป็นทางที่จะออกจากปัญหานี้ “ด้วยอะไรที่เราต้องมี ที่ถ้าเราจะต้องทุกข์อยู่อย่างนี้ เราจะอยู่ได้อย่างผาสุก” คำตอบนี้คือ “ต้องมีปัญญาที่จะมอง ปัญญาที่จะเห็น ปัญญาที่จะเข้าใจ ปัญญาที่จะพิจารณา อ๋อ! ทุกข์มันก็เป็นแบบนี้แหละ”
กลยุทธ์ที่จะรับมือกับวิกฤตการเงินที่ใครๆ ก็โดน! ได้ด้วย ‘สมชีวิตา' ให้รายรับท่วมรายจ่าย แบ่งจ่ายทรัพย์ให้ถูกต้องเหมาะสมใน 4 หน้าที่ คือ ใช้จ่าย ใช้เก็บ ใช้ลงทุน และใช้สงเคราะห์ผู้อื่นสร้างบุญ “บุญเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ ถ้าจิตใจฝืดเคืองตระหนี่ จะมีอริยทรัพย์ไม่ได้” เราจะมีอริยทรัพย์ภายในได้ด้วยการทำหน้าที่อย่างนี้ คำถามในที่นี้ คือ จะอยู่อย่างไรที่ถ้าภัยอื่นๆ ในอนาคตที่พระพุทธเจ้าทรงเตือนไว้ โจรกำเริบ สงคราม ข้าวยากหมากแพง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย “จะอยู่อย่างไรให้ผาสุก อะไรที่ต้องรู้ อะไรที่ต้องเห็น อะไรที่ต้องบรรลุ” ด้วยอริยทรัพย์ในจิตใจ “ศีล ศรัทธา ปัญญา จาคะ ฟังธรรม” จะหล่อเลี้ยงให้จิตใจไม่ให้แห้งผาก ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชุ่มเย็นร่าเริงในใจ “แม้ทรัพย์ข้างนอกฝืดเคือง แต่ทรัพย์ข้างในให้มี เราจะอยู่ผาสุกได้”
ไม่ใช่ทั้งหมดที่ความสุขสมหวัง ความผิดหวังในชีวิต จะเกิดจากผู้อื่นบันดาลเป็นพรหมลิขิตหรือกรรมเก่าอย่างเดียว แต่มีเหตุมีปัจจัย และไม่ใช่ว่าเหตุเดียวผลเดียว อาจเกิดจากการเตรียมตัวไม่สม่ำเสมอ หรือเหตุบังเอิญก็เป็นไปได้ และหากรู้สึกรักใคร่ชอบพอก็อาจจะเคยเกื้อกูลกันมาในภพก่อนๆ มีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ที่เสมอๆ กัน ‘กรรม' เกิดได้ทางกายวาจาใจ เป็น ‘ราคะ โทสะหรือโมหะ' ซึ่งกรรมอันใดที่ไม่ได้ทำเพราะโทสะหรือโมหะ นั่นไม่ได้เป็นกรรมที่จะให้เกิดการผิดศีล แต่เพราะมีการกระทบกระทั่งเบียดเบียนกันเกิดขึ้น เราจึงรู้สึกไม่ดี เพราะนี่คือโทษของวัฏฏะ โทษของสังสารวัฏ ซึ่งพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่เบียดเบียนอยู่แล้ว ดังนั้นแม้ใครจะเบียดเบียนเรา แต่ให้มี ‘ธรรมเครื่องขูดเกลา' ที่เรายังต้องมีความอดทน มีความรักใคร่เอ็นดู มีเมตตาจิตอยู่เสมอ พิจารณาแบบนี้จิตใจเราจะสูง ต่อให้ตาย การตายนั้นเป็นการตายที่ไม่สูญเปล่า
ถ้ามีกฎเกณฑ์ความสุขในชีวิตมาก เป็นไปตามกระแสของโลกมาก ความทุกข์ของเราจะมาก ตามกระแสของโลกคือตัณหา มีตัณหามากความทุกข์ก็มาก แทนที่จะความสุขมากตามกฏเกณฑ์ที่มีมาก No! ความทุกข์ยิ่งมาก แต่ถ้ามีกฎเกณฑ์ความสุขในชีวิตน้อย คือ ไม่ต้องไปตามกระแสของตัณหาเท่าไหร่ เออ! มีกฎเกณฑ์ความสุขน้อย ความสุขกลับมาก เป็นความสุขที่เหนือกว่าสุขเวทนา เพราะจิตใจไม่ผูกเป็นปมเป็นเงื่อนไม่ลงตัว กินอะไรอยู่ที่ไหนทำอะไรก็มีความสุขได้ เป็นความสุขเกิดขึ้นจากในภายใน ไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขของในภายนอก เราต้องรอสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามเงื่อนไขปัจจัยที่คาดหวัง ถึงจะมีความสุข ไม่จำเป็น แต่มีความสุขที่นี่เดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ได้ทันที ด้วยการตั้งจิตใหม่ให้มาตามทางมรรคที่มีองค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง “ปรับกฎเกณฑ์ใหม่ ให้กฎเกณฑ์ของเราเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของโลก กฎของอริยสัจคือความจริงอันประเสริฐ ถ้าปรับตามนี้แล้ว ชีวิตของเราจะมีความสุขได้ทันที”
ทุกคนในโลกที่เกิดมาเป็นมนุษย์ บรรลุถึงธรรมะที่ให้เกิดความดีจะว่าอย่างนั้นก็ยังได้ เพราะความที่เกิดเป็นมนุษย์ไม่ใช่ง่าย ๆ เราบรรลุซึ่งความดีที่ได้ยากแล้ว มีบุญมากพอ ต่อไปอีก คนจะมามืดหรือมาสว่าง แต่ให้ไปสว่าง จึงควรแท้ที่จะไม่ประมาท เพราะที่สูงขึ้นไปยังมีให้เกิดการบรรลุเป็นขั้น ๆ เหมือนการปฏิบัติที่เป็นไปตามลำดับ ธรรมะใช้ให้ถูกจุด เราจะมีกำลังใจในการปฏิบัติ เริ่มจากศีลธรรมดา ๆ ความเพียร หิริโอตตัปปะ หรือแม้แต่การกินอาหารที่ไม่ได้มัวเมา แต่เพื่อระงับเวทนาฯ .. เมื่อเข้าใจถูกแล้ว ทำเป็นขั้น ๆ “ทำทีละน้อย ๆ ฝนตกทีละเม็ด ๆ เขื่อนเต็มขึ้นมาได้” เหมือน “เราตั้งสติไว้ทีละครั้ง ๆ ก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้” นี่หมายถึงระดับขั้นสูงนั่นเลย
ถ้าจะให้ประสิทธิภาพในการทำงานยังมีอยู่สูง เราต้องมีวิธีละความเครียด “เจริญธรรมะฉันทะ เพื่อละกามฉันทะ” ซึ่งรูปแบบของความเครียดจะมาว่าเราอยากไปดูเฟสบุ๊ค ยูทูป นั่นคือ มีกามฉันทะขึ้นแว๊บนึง หรือมีความไม่พอใจคนนั้นคนนี้ มีความง่วง มีความคิดฟุ้งซ่าน สงสัย เคลือบแคลง คือ มีนิวรณ์ 5 เกิดขึ้น ‘สติ' จะเป็นตัวแยกแยะว่า เราจะสู้ต่อหรือพอแค่นี้ แต่ถ้าสติมีกำลังอ่อน ก็ฝึกให้สติมีกำลังมากขึ้น สมาธิก็จะมีกำลังมากขึ้น ด้วยการจดจ่อในการเจริญอิทธิบาท 4 ‘ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา' อย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดสมาธิได้ “ทุกคนมีศักยภาพในการทำงานอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องรู้จักเลือกที่จะใช้ในงานที่จะต้องทำ ในเวลาที่เหมาะสม ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
“ธรรมะทางตรงธรรมะทางลัด คือ ทางเอก ไม่ใช่ทางอ้อม” เป็นมัชฌิมาปฏิปทา เป็นการแก้ปัญหาโดยตรง ต้องทำตามนี้ ไม่อย่างนั้นต้องวนกลับมาเหมือนเดิม “เกิดในสังสารวัฏ ทุกคนเป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกันอยู่แล้ว มีความเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” ท่านจึงแนะนำว่าอย่าไปอยู่ในสังสารวัฎ มันทุกข์มาก มีปัญหามาก เมื่อมีผัสสะคุณจะมีเวทนา ถ้ามีเวทนา คุณจะมีความทุกข์ได้” สำคัญคือ มีผัสสะแล้ว มีทุกข์ไหม ถ้าเข้าใจผัสสะได้ถูกต้องว่า “ผัสสะไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นตัวเราหรือเปล่า” นี่คือสัมมาทิฏฐิ…เข้าใจได้เริ่มจากศรัทธา ฟังธรรม จิตเป็นสมาธิ จะมีสัมมาสมาธิได้ ต้องมีสัมมาสติ ซึ่งอานิสงส์ของผู้ที่เจริญเมตตาอยู่เป็นประจำ จะทำให้เข้าสมาธิได้ง่าย
จิตที่ไม่มีสติ เสวยอารมณ์ใดๆ จะผลิตสิ่งที่เรียกว่ากิเลส เมื่อสั่งสมมากเข้าๆ จนเป็นอาสวะหรือสิ่งที่ไหลออกจนเป็นพฤติกรรม ‘โมหะ' อาสวะที่ทำให้กลัว มีโทษมากคลายช้า “เรากลัวสิ่งใด จะละความกลัวได้ ก็ต้องละในสิ่งนั้น” ‘ราคะ' อาสวะที่ทำให้เกิดความหลง โทษน้อยคลายช้า ส่วน ‘โทสะ' อาสวะที่ทำให้ขัดเคือง โทษมากคลายเร็ว อาสวะเหล่านี้ จะตัดจะแก้ได้ ต้องใช้ ‘ปัญญา' เปรียบเหมือนความคมของมีด กำลังของ ‘สมาธิ' คือมีดเล่มเล็กหรือใหญ่ เล็งลงไปให้ตรง นั่นคือสติ "อาสวะมันเหนียว ฟันทีเดียวไม่ขาด หรือขาดแล้วต่อใหม่ได้" เพราะเป็นพฤติกรรมที่สั่งสมมานาน จึงต้อง “พิจารณา” ซ้ำๆ ย้ำๆ ถึงกุศลและอกุศล ฟันลงไปฟาดลงไปให้ตรง พิจารณาต่อเนื่อง จะเกิดประโยชน์ขึ้นแน่นอน
“ศาสนานี้คำสอนนี้ เป็นศาสนาของปัญญา” เมื่อ “เห็นโทษโดยความเป็นโทษ แล้วกระทำคืนตามธรรม” ที่ว่าจำเป็นต้องทำไม่ดี ต้องดูที่เจตนาเปรียบเหมือนรอยกรีดลงบนน้ำ ทรายหรือหิน “กระทำอะไรก็ตาม ต้องได้รับผลมีวิบากของกรรม” ซึ่งการที่เกิดมาเป็นคน มีความดีรักษาเราอยู่แล้ว ฉะนั้นให้เป็นผู้มีตาที่ 1 ในการทำความดี ตาที่ 2 ในการหาทรัพย์ และตาที่ 3 ในการเห็นอริยสัจ 4 ฟังแล้วใคร่ครวญให้เกิดปัญญา ไม่ประมาทในชีวิตทั้ง 3 วัย คุณธรรมอะไรดีๆ เก็บไว้ๆ ไม่เห็นแก่ว่ามันน้อย มันสั้น แต่เก็บไว้ด้วยการตั้งสติให้ดี แทงลงตรงจุดที่เป็นกุศลธรรม แก้กรรมที่ทำไม่ดีมาก่อน อินทรีย์มีความแก่กล้าขึ้น ปล่อยวางจุดนั้นจุดนี้ จิตสุดท้ายทำให้ดี จะทำให้เกิดการสิ้นกรรมขึ้นมาได้
โลกนี้..หลายๆ อย่างมันเป็นเงื่อนงำ ผูกเป็นปมซ่อนเร้นให้ไม่เห็นว่า ข้างในเป็นอะไร ฉะนั้นเราต้องมองให้ลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่เพียงผิวเผิน ใคร่ครวญโดยแยบคาย ที่จะให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีในลักษณะให้ไม่เข้าใจ ให้ไม่พอใจ หรือให้เกิดความลุ่มหลงเป็นอาสวะ 3 แบบกาม ปฏิฆะ และอวิชชา ขึ้นมาได้ “ทำดี” ไม่ได้จะหวังเอาสิ่งดีๆ แต่เพื่อกำจัดความอยาก เพื่อกำจัดความตระหนี่ “จะดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ปากคนอื่น ไม่ได้จะอยู่ที่ว่าจะมีสุขหรือมีทุกข์ จะร่ำรวยหรือยากจน ไม่ได้อยู่ที่เวทนาแบบไหน แต่อยู่ที่ตัวเรา” เราจึงต้อง “พึ่งตนพึ่งธรรม” ใช้ปัญญา พิจารณาเข้ามาที่ตัวเองในลักษณะที่ไม่ให้อาสวะเกิดขึ้น ปัญญาก็จะแจ่มแจ้งขึ้นอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
“ทำไมมีเวทนาบางอย่าง สุขก็มีทุกข์ก็มี” เพราะเหตุ 8 อย่าง หนึ่งในนั้นคือกรรมเก่า แต่หากเชื่อว่า “กรรมเก่าเท่านั้นที่ทำให้เราต้องทุกข์ หรือทำให้เขาหน้าตาดีฐานะดี” ความเข้าใจนั้นผิด เพราะจิตจะน้อมไปที่จะไม่ทำอะไรในตอนนี้ชาตินี้ แต่ถ้าอยู่กับทุกข์ได้ถูกวิธี จิตใจเราจะไม่ทุกข์ หรืออยู่กับสุขโดยไม่ลุ่มหลง ‘สุขทุกข์เป็นธรรมดา' นี่เป็นทิฏฐิที่ถูก และ “บุญเป็นชื่อของความสุข” ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดสว่างหรือมืด แต่ให้ไปสว่าง คือ ชีวิตมีกำไร เพราะฉะนั้น ‘ทานศีลภาวนา-ศีลสมาธิปัญญา' เป็นเหตุเงื่อนไขปัจจัยที่สามารถสร้างได้ในปัจจุบัน แทงลงตรงจุดที่เป็นกุศลธรรม ไม่ว่าบุญจะให้ผลเวลานี้ ในเวลาต่อมา หรือต่อมาๆ บุญก็ให้ผลเป็นความสุข
ระบบและระเบียบ คือ ‘ระเบียบวินัย' คนที่จะประสบความสำเร็จต้องมีระบบเสมอ ระบบเป็นสิ่งให้เราสู่ความสำเร็จ สู่อิสรภาพจากสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าต้องการจะสำเร็จเรื่องอะไร มีคนเคยทำสำเร็จมาแล้วทั้งสิ้น ว่าแต่คุณจะมีวินัยทำตามระบบนั้นได้ไหม และจะทำให้ชีวิตเรามีระเบียบวินัยตั้งอยู่ในระบบที่ดีได้อย่างไร ฟังแล้ว..ให้มีความกล้า ให้มีกำลัง ให้มีความเพียร “ทำทันที” ด้วยวินัย ให้เป็นผู้มีความสันโดษ และไม่สันโดษ “ไม่อิ่มไม่พอในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ถอยกลับในการทำความเพียร” ทำตามทัศนคติตามระบบที่มีองค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง..จี้จ่อลงไป ฝึก/ทำตรงจุดที่ทำไม่ได้นั่นแหละ ทำให้ดีกว่าเดิม ตรงนั้นจะให้ผลตอบแทนสูงสุด
โลกนี้สุขทุกข์เป็นธรรมดา มีเหตุให้เกิดก็เกิด มีเหตุให้ดับก็ดับ จะเข้าใจได้ ไม่มี “อคติ 4-ลำเอียงเพราะชอบ ชัง หลง กลัว” จิตต้องมีพลังสติพลังสมาธิ “ใครเขาด่าว่าแดกดันหรือสรรเสริญเยินยอ จิตเราจะไม่แปรปรวนได้” สติเป็นทักษะที่ฝึกได้ ‘พลัง' นี้เป็น soft power คือ พละ 5 ที่ไม่ใช่อาชญาไม่ใช้ศาสตรา มีองค์ประกอบ 5 อย่าง “ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา” เมื่อทำแล้ว รักษาจิตให้มีพลัง การงานใดที่ยากที่หนัก เวลาที่สัมพัทธ์กับจิต ใจที่สบาย การงานนั้นก็มีประสิทธิภาพ จัดการให้ดีได้ ทั้งเพื่อประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นและทั้งสองฝ่าย ก็ชื่อว่ารักษาตนและรักษาผู้อื่นด้วย “เกิดมาครั้งนี้ ไม่ต้องเอาทั้งชาติ เอาตั้งแต่เช้าแค่วันเดียว วันนี้เรากำไรหรือขาดทุน?”
ปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการดำเนินชีวิต เป็นอาวุธที่ใช้แก้ปัญหา เหมือนกุญแจที่จะปลดล็อคสิ่งต่างๆ ที่เป็นเงื่อนเป็นปม คำถามคือจะทำปัญญาให้เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งในทีนี้ได้ยกไว้ถึง 10 ตัวอย่าง ปัญญา คือ ความคิดจากการคิดอ่านการงานธรรมดานี่แหละ ที่เราสามารถพัฒนาปัญญาให้มากขึ้นๆ ไปในทางที่ดีขึ้นๆ จากที่คิดทำมาหากินอย่างเดียว ไม่คิดคดโกง ไม่คิดเบียดเบียนหรือตระหนี่ แต่ให้คิดที่จะแบ่งปัน คิดในการที่จะหาความสงบในจิตใจ ฟังเทศน์ฟังธรรม เป็นผู้ที่ไม่อยู่ด้วยความประมาท สร้างอาวุธ คือ ปัญญา สุดท้ายปัญญาในการที่จะกำจัดกิเลส ฆ่ากิเลสที่อยู่ในจิตใจ ให้เราเป็นผู้ที่มีความสงบเย็น มีความพ้นทุกข์ รักษาตนให้พ้นจากภัยในวัฏฏะได้
เครื่องหมายของสมาธิที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ คือ ความคิดในทางอกุศลต้องดับไป ถ้าคิดเรื่องที่หลีกออกจากกาม ไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียน นั่นคือจิตเป็นสมาธิแล้ว และการรู้ว่าอะไรเป็นความคิดในทางดี นั่นคือสัมมาทิฏฐิ แยกแยะได้แล้วพยายามคิดถึงในสิ่งที่ดี ความพยายามนั้นคือสัมมาวายามะ ความระลึกถึงสิ่งที่ดีได้ นั่นคือสัมมาสติ บางครั้งรู้ว่าอะไรชั่วอะไรดี แต่กำลังในการที่จะลงมือทำในสิ่งที่ดี ไม่พอ เพราะฉะนั้น 3 อย่างต้องประกอบกัน ความรู้ตรงนี้จะทำให้เกิดการพัฒนา ถ้าเราฝึกอยู่เป็นประจำ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เพราะสติเป็นเรื่องของจิตใจ ฝึกในรูปแบบตอนเช้าหรือเย็น ระหว่างวันก็ฝึกได้ จะช่วยหนุนกันให้เกิดสมาธิที่ลึกซึ้งขึ้นไปได้
‘โรคซึมเศร้าที่เกิดจากความวิตกกังวลแก้ได้ด้วยการปฏิบัติธรรม' ในที่นี้ได้ยกเคสที่กินยามานานที่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง มันก็แก้ไขไม่ได้ ด้วยเทคนิคต่างๆ ทั้งการระบายความเก็บกดออกมา โดยเราต้องมีผู้รับฟังที่เป็นกัลยาณมิตร มีคุณธรรม คือ พรหมวิหาร 4 พูดคุยกันอย่างเปิดเผย รู้จักเอาความกังวลออกไป มีการฝึกทำสมาธิ มีการพิจารณาให้เห็นทุกข์ เข้าใจทุกข์ด้วยจิตที่สงบ มีปัญญา “ปัญหาทุกปัญหาแก้ได้ โรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างแก้ได้ หายจากเชื้อโรคในจิตใจ เอาชนะความวิตกกังวล เมื่อมีความคิดแล้วไม่ตามไป แต่ให้ตั้งสติเอาไว้ มีพรหมวิหาร เริ่มจากแผ่เมตตา กรุณา ให้ตัวเราเอง.”
ทางสายกลางของพระพุทธเจ้า คือ สติ จะนำหลักธรรมมาปรับใช้อย่างไร ในที่นี้มีทั้งผัสสะที่ไม่น่าพอใจ ก่อนอื่นต้องมีความระงับ รักษาจิตให้มีธรรมะอยู่ในใจ “ตอบโต้ด้วยความอดทน ด้วยความไม่เบียดเบียน ด้วยเมตตาจิต ด้วยความรักใคร่เอ็นดู” หรือผัสสะที่น่าพอใจกำหนัดยินดีลุ่มหลง ต้องมีความยับยั้งใจ เตือนตนด้วยตน “เราตริตรึกคิดนึกไปทางไหน จิตจะน้อมไปทางนั้น สิ่งนั้นยิ่งมีพลัง” การตั้งเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้เริ่มจากมองว่าเรามีอะไรที่ดีอยู่ เอามาเป็นพื้นฐานเป็นกำลังใจเป็นความมั่นใจในความดีที่เรามีอยู่นั้น แล้วพัฒนาต่อยอดคุณธรรมอื่นให้ดียิ่งขึ้นไป
“เราไม่ควรตั้งความไม่พอใจ ความอาฆาต ความพยาบาทในบุคคลใด แม้แต่บุคคลที่ประพฤติไม่ชอบทั้งทางกาย วาจา ใจ เพราะเราจะไปมืด แต่ให้ตั้งไว้ด้วยเมตตา กรุณา หรืออุเบกขา” เปรียบเหมือนกับการชัก ‘ผ้าบังสุกุล' ที่เขาทิ้งแล้วมาใช้งาน เพราะส่วนที่ดียังมีอยู่ การจะอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะในครอบครัว ที่ทำงาน หรือในระดับไหนก็ตาม จะมีความผาสุกได้ด้วย ‘การให้ธรรมะ' ที่ไม่จำเป็นต้องพูดหรือมีสิ่งของอะไรให้ แค่เอามาทำเอามาปฏิบัติ ปรับจิตปรับใจ ‘พัฒนาจิตของเรา' ตั้งมั่นในธรรม ละสิ่งที่เป็นอุศลทำสิ่งที่เป็นกุศล ที่ไม่ว่าเราจะมามืดหรือสว่าง แต่ให้ไปดีไปสว่าง ไปตามทางที่มีองค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง รักษาตนให้พ้นจากภัยในวัฏฏะนี้
การติดโซเชียลมีเดียไม่ต่างกับติดยาเสพติดหรือติดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นการติดเวทนา คือ ติดความรู้สึกที่เป็นสุขที่เกิดขึ้น มีตัณหามีความพอใจในเวทนานั้น จะแก้ไขได้ ต้องเห็นเวทนานั้นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เราจะคลายความยึดถือ คลายความกำหนัดยินดีนั้นได้ ‘นินทา' จะเอาชนะความเท็จต้องด้วยความจริงเท่านั้น ถ้าคนที่เข้าใจผิดเป็นคนพาล เราไม่จำเป็นต้องกล่าวแก้ก็ได้ แต่ต้องอยู่ให้เรื่องราวระงับเสียก่อน แต่ถ้าเขาเป็นบัณฑิต เราควรเอาความจริงมาเปิดเผย และในทางคำสอนของพระพุทธเจ้า ความอดทนมีแต่ดีอย่างเดียว “ความอดทน ความสามารถในการละสิ่งที่เป็นอกุศล เป็นธรรมะ” คุณธรรมสองข้อนี้จะรักษาตัวเราให้อยู่ในทางโลกและทางธรรมได้ดีแน่นอน
หลักการเรื่องโภคทรัพย์ ‘สมชีวิตา' คือ การบริหารจัดการรายรับ/รายจ่ายที่ต้องมีความเหมาะสม เปรียบเหมือนผลมะเดื่อ คือ มีระบบการจัดแจงภายในให้ดี “รายรับต้องท่วมรายจ่าย” รายรับและรายจ่ายต้องเป็นไปโดยธรรม รายรับมาจากการทำงาน จัดให้ทำหรือจัดแจงการงาน ส่วนรายจ่ายให้รู้จักแบ่งจ่ายใน 4 หน้าที่ และต้องระวัง ‘รูรั่ว' จากอบายมุข ความประมาทมั่วเมาพระพุทธเจ้าอุปมาการสะสมทรัพย์ให้พอกพูนเหมือนจอมปลวกหรือรวงผึ้ง ที่ปลวกหรือผึ้งทำงานอย่างเป็นระบบ มีการสะสมๆ หมุนไปๆ จอมปลวกหรือรวงผึ้งก็ใหญ่ขึ้นมาได้ และคนที่เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เขาไม่ได้มีจอมปลวกจอมเดียว รวงผึ้งรวงเดียว เขาก็จะมีรวงผึ้งหลายๆ อัน จอมปลวกหลายๆ แห่ง
เราจะรักษาจิตอย่างไร เมื่อความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากคนที่เรารักมาถึง และเมื่อมีทุกข์น้อยหรือทุกข์มาก ที่เราจะยังผาสุกอยู่ได้ คำตอบนั้นคือองค์ประกอบอันประเสริฐแปดอย่าง ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ ไล่ไปจนถึงสัมมาสมาธิให้เกิดขึ้นในจิตใจ วิธีการ คือ ตั้งสติเอาไว้ เห็นตามความเป็นจริง ให้มีการพิจารณาเนืองๆ ว่าเรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เพื่อที่จะไม่ให้เพลิดเพลินไปในความไม่มีโรค ไม่เพลิดเพลินในความหนุ่มสาว ไม่เพลิดเพลินในความมีชีวิต เพราะเมื่อเราเจอสิ่งนั้นแล้ว เราจะอยู่กับทุกข์ได้
กระบวนการความสำเร็จของตั้งเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เริ่มต้นทุกวันด้วย 4 ขั้นตอน เริ่มจากทำจิตให้สงบ ใส่ใจไว้กับลมบ้าง กระดูกบ้าง จิตนิ่ง ๆ เป็นสมาธิ แล้วตั้งจิตนึกคิดเป็นภาพในกิจการงานที่เราจะทำในวันนั้น ๆ ที่เรียกว่าเทคนิคการ Visualization โดยต้องไม่ใส่ใจไปกับอารมณ์ต่าง ๆ ไม่เป็นไปในทางกามพยาบาทเบียดเบียน หรือมีความอยาก เพราะจะทำให้จิตอ่อนกำลัง นี่คือลักษณะของอิทธิบาทสี่ มีธรรมเครื่องปรุงแต่ง จบด้วยการแผ่เมตตาแบบไม่มีประมาณ แถมด้วยพรอีก 9 ประการ วันนั้นดีแน่ ประสบความสำเร็จ “คิดบวกให้ถูกหลัก จากร้ายจะกลายเป็นดี” หรือต่อให้สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามแผน แต่ด้วยจิตที่ฝึกมาดีแล้วนั้น เราจะนิ่ง เย็น สงบ ได้
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นสามในห้าอย่างของเทวทูตที่เตือนสติให้เราทำความดี ตั้งสติเอาไว้ ซึ่งความดี-ความไม่ดี ต้องดูตามแบบที่ผู้รู้ คือ วิญญูชนบอกสอน ในที่นี้ คือ หลักของศีล สมาธิ ปัญญา หรือศรัทธา ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา ไม่หนีไปจากนี้ นี่คือความดีที่ให้กระทำไว้ เห็นสิ่งต่างๆ แล้วตั้งเทวตานุสติ คือ ระลึกถึงความดีของผู้อื่น หรือมรณสติ รู้สึกถึงสัมปชัญญะ ก็ดำเนินชีวิตของเราไปได้ เมื่อ ‘สัจจกิริยา' คือ การตั้งสัจจะด้วยเหตุที่เราได้ทำมาดีแล้ว สร้างเหตุไว้อย่างถูกต้อง มีจิตที่ตั้งอยู่ในแดนกุศล แล้วถ้าช่องของบุญจะให้ผล สิ่งที่เราหวังอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็อาจจะให้ผลได้ อย่างน้อยจิตใจมีความผาสุกอยู่ได้
ตราบาป คือ นิมิตเครื่องหมายของความไม่ดี อาจทำให้จิตของเราตกไปอยู่ห้วงอกุศล เพราะฉะนั้นถ้ามีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัว เราต้องรักษาให้ดี บางทีคำขอโทษง่ายๆ ไม่ยาก ช่องทางมีน้อย โอกาสหาแทบไม่เห็น แต่ขอให้ทำ อย่าให้มีการผูกเวรกัน แต่ให้มีความเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีอุเบกขาให้กัน พอพัฒนาปรับปรุงความสัมพันธ์แล้ว จิตใจเราถูกปลดล็อคคลายเงื่อนคลายปม จะไม่มีความหงุดหงิดอยู่ในใจ จะมีความสบาย ชีวิตมันจะดีขึ้นได้ เป็นทางดำเนินที่ถูก เป็นทางโล่งทางโปร่งไม่ประกอบด้วยขวากหนาม เป็นทางที่เกษมร่มเย็น "จิตใจที่ดำเนินไปตามทาง ‘ศีลสมาธิปัญญา' อาจจะยากบ้างอาจจะมีทุกขเวทนาบ้าง อันนี้เป็นธรรมดา"
“บุญแปลว่าความสุข” บุญเกิดจากกายวาจาใจ หรือ ‘บุญกิริยา 10' แบ่งเป็นทางใจ 3 วาจา 4 และกายอีก 3 รวมลงในศีลสมาธิปัญญา บุญจากทานศีลภาวนา บุญจากการอุทิศ บุญจากการอนุโมทนา บุญที่ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ตัวอย่างพระเวสสันดร “สิ่งที่ตัวเองให้ เป็นสิ่งที่ตัวเองรัก และเป็นสิ่งที่พอใจด้วย รัก จึง ให้” เพราะดูถึงคุณธรรมที่จะเกิดขึ้น ส่วนความคิดลบที่ว่าทุกอย่างเป็นกรรมเก่า เป็นคนเลวคนไม่ดีนั่นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้ละเสีย ไม่ว่าจะสว่างมา คือ มีสุขเวทนา หรือมืดมา คือ มีทุกขเวทนา ให้อดทนมีความเพียรมีเมตตา ต้องไปตามมรรคไปทางสว่าง เพื่อให้จิตไปทางกุศล ชีวิตจะค่อยปรับไปๆ มีอะไรก็ “อยู่กับมันให้ได้ ให้มีกำลังใจสูง”
ทุกอย่างอยู่ที่ ‘ผลประโยชน์' คือ ในทางโลกกับในทางธรรม แต่อะไรที่จะดีกว่าให้กำลังใจเราได้มากกว่า คงอยู่ได้ยาวนานยั่งยืน มีข้อเสียน้อย และเป็นประโยชน์ใหญ่ ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่นด้วย นั่นคือประโยชน์ในทางธรรมะ อย่างความอดทนหรือการให้ ‘จาคะ' ที่บางคนอาจจะคิดว่า ‘เสีย' แต่จริง ๆ แล้วคุณ ‘ได้' ต่างหากได้ให้ทานได้สละออก ให้เห็นแก่ประโยชน์ตนเป็นหลักตั้งขึ้น เพราะประโยชน์ด้านโลกุตระเราได้ประโยชน์แล้ว คนอื่นก็ได้ประโยชน์ด้วย สังคมก็จะอยู่ได้อย่างราบรื่น รู้จักปรับผลประโยชน์ให้เห็นมาในส่วนของมรรค ปรับสายตาให้มีดวงตาคือปัญญา ในการที่จะเห็นผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในด้านโลกุตระให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
วันสำคัญในเดือนนี้ มีแง่มุมธรรมะว่า อย่างไรจึงเป็นมงคล .. “บูชาบุคคลที่ควรบูชา” คือ ผู้ที่มีศรัทธา ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา เป็นพุทธมามกะ นับถือพระรัตนตรัย และปีนี้จะดีจะชงหรือไม่ อยู่ที่เราทำดีนั่นคือดี ใช้โอกาสในการเริ่มต้นใหม่ ๆ ผูกมิตร ทำดี ๆ ให้กัน อดทน ไม่เบียดเบียนกัน มีเมตตาจิต รักใคร่เอ็นดูนั่นจะเป็นการดี ส่วนเรื่องในสังคมที่เกิดขึ้น .. “เราไม่จำเป็นต้องทุกข์” มันแค่วิธีคิดวิธีทำจิต ตั้งทิฏฐิให้ถูก กลับมาที่สติ มีกัลยาณมิตร มีสัมปชัญญะ “ทุกข์เป็นที่ตั้งของศรัทธา” อุบายที่จะออกจากทุกข์ได้ ต้องมาตามทางศรัทธา “ทำความเพียร ทำจริงแน่วแน่จริงในการตั้งสติขึ้น” เห็นสิ่งเหล่านี้ในความเป็นของไม่เที่ยงเป็นเรื่องธรรมดา
ชีวิตของเรามีเรื่องที่ต้องให้ตัดสินใจอยู่ตลอด ในรูปแบบของผัสสะหรือปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นสุขเวทนา ชื่อเสียงเงินทอง ทุกขเวทนา ถูกด่าถูกว่าไล่ออกสูญเสียเงิน วัน ๆ หนึ่งต้องตัดสินใจหลายอย่าง ยิ่งเป็น Disruption world โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จะตัดสินใจอย่างไรที่ไม่ใช่มองโลกในแง่ร้ายหรือโลกสวยมองแต่แง่ดีจนเกินไป ปรับจิตให้อยู่ในทาง ‘ปัญญา' จึงเป็นจุดสำคัญ ที่จะเปลี่ยนให้เราเป็นคนรอบคอบ เป็นคนดีมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีพรหมวิหารสี่ มีความเป็นผู้นำสูง เรามาเรียนรู้ ปรับปัญญารักษาจิตให้เป็นพละเป็นอินทรีย์ พัฒนากุศลที่เรามีดีอยู่ให้เกิดขึ้น ด้วยมรรคแปดที่เรารักษาไว้ในสถานการณ์ต่าง ๆ
“เราอยู่ในโลกใบนี้เหมือนเราโหลดแอปมา เราต้องยอมรับเงื่อนไขของแอปที่เราโหลด เหมือนงูกับลิ้นงูที่ต้องอยู่ด้วยกันให้ได้” Q: การบวชผู้ที่มีจิตใจไม่ใช่เพศชายได้หรือไม่ A: ในหลักธรรมมีบัณเฑาะก์อยู่ ซึ่ง 2 อย่างใน 5 อย่างนั้นสามารถบวชได้ ด้วยเงื่อนไขของสรีระและอวัยวะที่ไม่เป็นอุปสรรค และเพราะธรรมะสามารถเปลี่ยนจิตใจของคน ดังนั้นการบรรลุธรรมจึงอยู่เหนือเพศสภาพ ชาย/ หญิง / หรือบัณเฑาะก์ ก็สามารถบรรลุธรรมได้ Q: พระอุปัชฌาย์ไม่ผิดและกรมการศาสนาไม่ทราบหรือ A: พระอุปัชฌาย์ต้องพิจารณาและกรมการศาสนาต้องประชุมกัน Q: การถอดเครื่องหายใจให้พ่อแม่ บาปหรือไม่ A: การทำปาณาติบาต บาปแน่นอนขึ้นกับเจตนาที่มี 3 ระดับเหมือนการกรีดมีดลงบนวัตถุ 3 อย่าง บนน้ำ บนทราย บนหิน ส่วนจะตัดสินใจอย่างไร ให้ทำตามคำแนะนำของแพทย์และเจตนาของพ่อแม่ Q: พระอภิธรรมกับพระไตรปิฎกต่างกันอย่างไร A: พระไตรปิฎกมี 3 ส่วน คือ พระอภิธรรม พระสูตร และพระวินัย ดังนั้น พระอภิธรรมจึงอยู่ในส่วนของพระไตรปิฎก Q: บทสวดมนต์ปรายนสูตร A: การสวดมนต์ทุกอย่างควรจะเข้าใจบทสวดด้วย เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ และเกิดปัญญาได้ Q: สนทนาให้กำลังใจ | ฟังธรรมแล้วทำให้จิตใจชุ่มเย็น A: การได้ฟังธรรมแล้ว นำไปปรับใช้ดำเนินชีวิตไปตามทางที่มีองค์ประกอบอันประเสริฐ 8 อย่าง ชีวิตจะมีช่องทาง มีทางสว่าง มีทางไป Q: การเกิดจะเกิดเป็นมนุษย์ตลอดไปหรือไม่ A: การเกิดมีอยู่ตลอดเวลา สามารถเกิดในภพมนุษย์ เทวดา พรหม สัตว์เดรัจฉานและอื่นๆ ซึ่งการที่เราเห็นข้อนี้ได้ จะทำให้เราปล่อยวางได้ Q: ยถาให้ผี สัพพีให้คน A: การทำบุญแล้วอุทิศให้ คือ เราให้หมดทุกคนไม่เว้น ไม่ว่าเขาจะเป็นผีหรือเทวดา ให้ได้อย่างไม่มีประมาณ Q: กรวดน้ำ บทสั้นหรือบทยาวอย่างไหนบุญจะส่งถึงผู้ล่วงลับ A: ‘จิต' สำคัญที่สุด ที่สำคัญเราต้องตั้งจิตเอาไว้ คือ มโนกรรมหรือกรรมทางใจ ส่วนน้ำ/ บทสวด มีหรือไม่มีก็ได้ ทั้งนี้ ‘บุญ' ขึ้นอยู่กับเจตนา การทำความดีอยู่ที่ความดี ถ้าเราทำดี คือดีแล้ว Q: การที่รู้สึกขนลุกเวลาไปบางสถานที่ A: ความรู้สึกนั้นเป็นปีติ เพราะอิ่มเอิบใจสบายใจในการทำความดี และเมื่อเราวางเฉย ‘อุเบกขา' ได้ เราก็จะสูงขึ้นไป ละเอียดขึ้นได้ “การไหว้หรือการบูชา บุคคลที่ควรบูชาเป็นมงคล แต่ต้องบูชาด้วยความดีด้วยคุณธรรรม เช่น ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา” Q: แม่ที่ให้กำเนิดแต่ไม่ได้เลี้ยงดู กับแม่ที่ไม่ได้ให้กำเนิดแต่เลี้ยงดู ท่านใดมีอุปการะคุณมากกว่า A: ท่านมีบุญคุณกับเรามากทั้งสองท่าน มีความสำคัญเท่ากัน แล้วเราต้องทำดีตอบทั้งด้วยสิ่งของหรือไม่ใช่สิ่งของ และการกตัญญูกตเวทีเป็นสิ่งที่เราต้องกระทำตอบ Q: ถูกเบียดเบียนจากเด็กที่ซ่องสุมเสพยา A: ต้องแก้ไขที่จิตใจของเราก่อน รักษาจิตของเราให้มีเมตตา อุเบกขา แนะนำเขาในทางที่ดี แต่ถ้าปัญหาไม่ได้รับการแก้ ก็ต้องใช้กฎหมายหรือพึงผู้ที่มี โดยให้ตั้งเจตนาให้เขาเป็นคนดี ช่วยเหลือสังคมได้
ถ้ายังไม่แต่งงาน ไม่ต้องคิดจะแต่ง หรือถ้าอยากจะแต่งจริง ๆ ให้ดูที่คุณธรรม “ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา” แต่ถ้าแต่งกันอยู่แล้ว อย่าคิดว่าจะเลิก อยู่กันไปให้ได้ ทำยังไงให้มันเวิร์ค แต่งงานแล้วไม่ขาดทุน แต่ได้กำไร “รักษาความดีได้” มีความมั่งคั่งทั้งทรัพย์สินเงินทอง ทั้งความสัมพันธ์ ทั้งลูกหลาน ทั้งการดำเนินชีวิต ชีวิตคู่จะราบรื่น เพราะรู้จักรักษาจิตของตนให้ดี ให้อยู่ด้วยคุณธรรม ด้วยหน้าที่ด้วยกิจที่ควรทำ ในฐานะลูกสะใภ้ลูกเขย ภรรยาสามี ในทิศทั้งหก ด้วยความขยันขันแข็ง ด้วยความเมตตา ด้วยความแบ่งปัน ด้วยความอดทน การครองเรือนของเราจะไปได้