ธรรมะเพื่อการเจริญสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางโดยพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม A collection of the Lord Buddha's teachings conveyed by the venerable Luangpor Pramote Pamojjo, a master teacher of mindfulness for the modern world and Vipassana meditation.
Listeners of หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม that love the show mention: teaching.

"อนุตตริยสูตร แปลว่าภาวะอันยอดเยี่ยม 6 ประการ อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 22 สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ข้อที่ 1 ชื่อ ทัสสนานุตตริยะ การเห็นอันยอดเยี่ยม การเห็นตถาคตกับสาวกของตถาคต คือการเห็นอันยอดเยี่ยม ท่านไม่ได้กดขี่ว่าสาวกไม่ดี อันที่ 2 ชื่อ สวนานุตตริยะ การฟังอันยอดเยี่ยม การฟังธรรมของตถาคตหรือสาวกของตถาคต อันที่ 3 ลาภานุตตริยะ การได้อันยอดเยี่ยม ได้ศรัทธาแน่นแฟ้นในตถาคตหรือสาวกของตถาคต อันที่ 4 ชื่อ สิกขานุตตริยะ การศึกษาอันยอดเยี่ยม คือศึกษาตามพระธรรมวินัยนี้ ได้แก่ศึกษาอธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา สิ่งที่พวกเราชาวพุทธต้องเรียนก็คือ 3 เรื่องนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือสาวกของท่าน อันที่ 5 ชื่อ ปาริจริยานุตตริยะ การบำรุงอันยอดเยี่ยม ได้แก่การบำรุงสนับสนุนตถาคตหรือสาวกของตถาคต อันที่ 6 อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันยอดเยี่ยม คือการระลึกถึงตถาคตหรือสาวกของตถาคต เห็นไหมท่านไม่ได้ทิ้งสาวก เห็นพระพุทธเจ้าหรือเห็นสาวกก็เป็นเรื่องยอดเยี่ยม ได้ฟังพระพุทธเจ้าหรือได้ฟังพระสาวกของท่านก็เป็นเรื่องยอดเยี่ยม บอกภิกษุที่ได้เห็น ได้ฟัง ได้มา ได้ศึกษา ได้บำรุงสนับสนุน แล้วก็ที่สำคัญคือการเจริญ ตัวสุดท้าย ตัวที่ 6 อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันยอดเยี่ยม ประกอบด้วยวิเวก บอกจะมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตน สำรวมในศีล ย่อมรู้ดี เป็นที่ดับแห่งทุกข์ ไม่ได้บอกว่าต้องฟังแต่พระพุทธเจ้า ถึงจะไปสู่ความดับทุกข์ได้ นี้คือพุทธวจน" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 กันยายน 2568



"ปริยัติสิ่งที่เป็นหลักของเราก็คือพระไตรปิฎก แต่ไม่รู้มันอาถรรพ์อะไร มันเหมือนอาถรรพ์เหมือนต้องคำสาป คนที่พยายามทำลายพระไตรปิฎกมีเสมอ ตอนหลวงพ่อเด็กๆ มีพระผู้ใหญ่องค์หนึ่งออกมาพูดเลย พระไตรปิฎกควรจะตัดอภิธรรมทิ้ง ไม่จำเป็น ทีนี้ตัดพระอภิธรรมทิ้งก็เหลือแต่พระวินัยกับพระสูตร พอมาถึงวันนี้จะตัดพระสูตรอีกแล้ว เลือกเฉพาะพุทธวจน พระสูตรจำนวนมากให้เอาทิ้งไป พระวินัยเอาลดลงเหลือ 150 บอกว่าพุทธวจนะพูดถึงวินัย 150 ข้อที่ให้สวดปาติโมกข์ อันนั้นเป็นการแปลบาลีผิด ท่านเจ้าคุณสมเด็จประยุทธ์ท่านเก่งบาลี ท่านบอกแปลผิดตรงนี้ ในพระสูตรบอกว่า 150 ข้อ และส่วนที่มากกว่านั้น 150 ข้อนั้นเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า อาจจะยุคต้นๆ ก็ได้ ยุคกลางๆ พุทธกาล แล้วหลังจากนั้นท่านก็ยังบัญญัติเพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่ใช่มีแค่นั้น แล้วถ้าอ่านพระวินัยด้วยจะรู้ อย่างเสขิยวัตร 75 ข้อที่เขาจะตัดทิ้ง ท่านระบุว่าให้สวดด้วย ฉะนั้นต้องสวด 227 ถ้าอ่านพระไตรปิฎกให้หมด นี่ก็จะตัด วินัยก็จะตัด พระสูตรก็จะตัด อภิธรรมตัดอยู่แล้ว แล้วมันเหลืออะไร บอกเหลือพุทธวจน จริงๆ ในพระไตรปิฎกมีทั้งพุทธวจน มีทั้งคำสอนของพระเถระ พระเถรี คำพูดคำแสดงธรรมของเทวดา ของฤๅษีของอะไร มีเยอะแยะเลย ของเปรตยังมีเลย พวกเปรตมันได้รับความทุกข์ก็พูดเป็นธรรมะขึ้นมา มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งหลวงพ่อเคยเข้าไปกราบ คือหลวงปู่มหาเขียน พระอริยเวที องค์นี้จบเปรียญ 9 ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เก่งทั้งปริยัติทั้งปฏิบัติ ท่านบอกเลยว่าท่านท่องพระไตรปิฎกได้ แล้วท่านบอกพระไตรปิฎกทั้งหมด ทุกเรื่องเลยสอนเรื่องการปฏิบัติทั้งนั้น คนที่รู้จริงมองปุ๊บบอกตรงนี้เป็นเรื่องปฏิบัติ อันนี้ก็ปฏิบัติ ไม่ใช่ตัดทอนไปเฉยๆ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 21 กันยายน 2568


"ว่างกับว่างเปล่าไม่เหมือนกัน ว่างเปล่ามันไม่ใช่ อะไรๆ ก็ไม่เอา อะไรก็ไม่ยึดอะไรอย่างนี้ อันนี้มโนเอา ฉะนั้นก่อนที่เราจะสัมผัสความว่างนี้ ให้เราเรียนรู้ความวุ่นไว้ อะไรเป็นตัววุ่นวาย ขันธ์ 5 เป็นตัววุ่นวาย เป็นตัวปรุงแต่ง ตามรู้ตามเห็นมันไป จนกระทั่งมันวางเอง ไม่ต้องอวดอุตริไปวาง แล้วว่างอันนี้มันจะไม่เหมือนว่างที่เราไปอ่านหนังสือเซน เลยทำใจว่างๆ ขึ้นมา ไม่เหมือนกันเลย ว่างอันนั้น แกล้งทำเป็นภพอันหนึ่ง ส่วนว่างจริงมันพ้นจากภพแล้ว คนละแบบ แล้วคนละเรื่องกันเลย คนละวิธีการ ว่างอันนั้นมโนเอา คิดเอา ถ้าว่างจริงเกิดจากปัญญา รู้แจ้งแทงตลอดในความจริงของรูปนาม ขันธ์ 5 ไม่เหมือนกัน ถ้าว่างจริงก็จะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ จะเห็นอย่างนี้" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 20 กันยายน 2568


"ฝึกให้มันชิน ทีแรกก็ใช้เวลากว่าจะรู้ พอหัดรู้บ่อยๆ สติมันจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ เพราะสิ่งที่ทำให้สติเกิดเขาเรียกว่าถิรสัญญา ถิระก็คือตัวเสถียร หมายรู้จำได้ๆ อย่างแม่นยำถึงสภาวะอันนั้น อย่างเราขี้โมโหอย่างนี้ ใจเราโกรธ เรารู้ ใจเราโกรธ เรารู้ ในที่สุดจิตมันจำลักษณะของความโกรธได้ ไม่ใช่เราจำได้ จิตมันจำได้ พอความโกรธผุดขึ้นเท่านั้น สติรู้ทันทันทีเลย โกรธแล้วนี่จะรู้อย่างนี้เรียกว่าสติอัตโนมัติ คำว่าสติอัตโนมัติไม่มีในตำรา แต่ว่าเป็นคำที่ครูบาอาจารย์ใช้ ถ้าสติอัตโนมัติเกิด สมาธิอัตโนมัติก็เกิด เมื่อไรมีสัมมาสติเมื่อนั้นก็จะเกิดสัมมาสมาธิ เมื่อไรมีสติเฉยๆ ก็เป็นสมาธิธรรมดา เมื่อไรไม่มีสติ มันก็เกิดมิจฉาสมาธิ สมาธิเกิด เราก็รู้ อะไรเกิดก็รู้ จิตเป็นกุศลก็รู้ เป็นอกุศลก็รู้ หัดรู้เรื่อยๆ ไป ถ้าเราอ่านใจของเราให้ชำนิชำนาญ เราจะเห็นว่าทุกคราวที่ กระทบอารมณ์ จิตจะเกิดปฏิกิริยา เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง รู้ทันมันเรื่อยๆ ไป แล้วต่อไปปัญญามันจะเกิด สติมันจะเร็วขึ้นๆ พอโกรธปุ๊บรู้ปั๊บ โลภปุ๊บรู้ปั๊บ ใจหลงปุ๊บ หลงไปคิดอย่างนี้ หลงปุ๊ป รู้แล้วว่าหลง อย่างนี้ดีมาก สติว่องไวมาก" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 กันยายน 2568





"หากเราจะตาย ถ้าเราเคยภาวนา เราภาวนา ตายเลย ไม่ต้องคิดว่าจะหายหรือไม่หาย ดูมันไป ร่างกายนี้มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา อาศัยมันมาอยู่ได้ตั้งหลายปีแล้ว คุ้มค่าแล้ว ตอนนี้ร่างกายเราเหมือนรถยนต์เก่าๆ ซ่อมแล้วซ่อมอีก ซ่อมไม่ไหวแล้ว ถึงเวลาต้องเอาไปโละ ไปขาย คือถึงเวลาต้องทิ้งแล้ว ร่างกายนี้เหมือนกัน เหมือนเครื่องยนต์ พอใช้มานานเริ่มสะดุด เริ่มชำรุดตรงนั้นตรงนี้ แรกๆ ก็ซ่อม ซ่อมโน้นซ่อมนี้ไป ถึงจุดที่มันซ่อมไม่ไหว ซ่อมไม่ไหวก็ทิ้งมัน เราภาวนาของเรา อยู่กับธรรมะของเรา ภาวนาไป พุทโธไป หายใจไป หรือเจริญปัญญาไป เห็นร่างกายมันจะตาย ใจเป็นคนดูอะไรอย่างนี้ ฝึกเรื่อยๆ ไม่ต้องมาห่วงหาอาทรใครทั้งสิ้น ทรัพย์สมบัติก็ไม่ใช่ของเราแล้ว ต่อไปไม่นานก็จะเป็นของคนอื่น ทิ้งให้หมดเลย ตั้งใจอย่างนี้ ถ้าไม่เคยปฏิบัติ ทำไม่ได้หรอก ญาติเราจะตายแล้ว อย่าไปทำให้เขากลุ้มใจ อย่างคนใกล้ตาย ชวนเขาคุยในเรื่องดีๆ ถ้าคุยแล้วเขารำคาญ อย่างชวนคุยเรื่องไปทำบุญไปอะไร เขารำคาญนี้หยุดเลย ไม่ต้องฝืน ต้องรักษาจิตของเขาให้ดี บางคนก็ใช้วิธี คนจะตาย คนใกล้ตัว อย่างพ่อแม่จะตาย จับมือไว้ บอกทำใจสบายๆ ลูกหลานอยู่กันพร้อมหน้า ไม่มีอะไร ไม่ต้องห่วงอะไร ปลอบๆ อย่างนี้ อันนี้แบบชาวโลกก็ยังดี ถ้าไปถึงก็ร้องไห้โฮๆ จะตายแล้วๆ ตายแล้วจะไปไหน สงสัยตกนรกแน่เลย ชอบกินเหล้า โอ๊ย อย่างนี้ อย่างนี้มันแกล้งกันชัดๆ เลย" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 กันยายน 2568



"การรักษาศีลก็คือการฝึกตัวเองอย่างหนึ่ง ฝึกใจตัวเอง จะต้องฝึกให้เข้มแข็ง ถ้าใจเราอ่อนแอเรารักษาศีลไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเป็นชาวพุทธ พอเห็นว่าศีลไม่สำคัญ จะเอาแต่สมาธิ ปัญญา พูดได้ มันทำไม่ได้จริง เราตั้งใจรักษาศีล แล้วมันพลาด พลาดก็ตั้งใจใหม่ สมาทานให้ดีใหม่ ต่อไปพอเราสมาทานแล้วเราตั้งใจอยู่เรื่อยๆ การรักษาศีลก็จะง่ายขึ้นๆ แต่ถ้าเริ่มต้นบอกว่าถ้าศีลด่างพร้อย ถ้าศีลขาดแล้วไม่ต้องรักษา เอาดีไม่ได้แล้วล่ะ เหลวไหลที่สุดเลยคำพูดอย่างนี้ แล้วมันทำลายรากฐานของการปฏิบัติในศาสนาพุทธทีเดียว ศีลสำคัญ สำคัญมากๆ เลย ไม่มีศีลความเสียหายเกิดขึ้นมากมายทั้งทางโลกทั้งทางธรรม" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 กันยายน 2568

"แก่นคำสอนที่แท้จริงในพระพุทธศาสนา คือเห็นความจริงแล้วสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทำไมไม่ควรยึดมั่นถือมั่น มันทุกข์ มันทุกข์โดยตัวของมันเอง ขันธ์ 5 มันทุกข์โดยตัวของมันเอง แต่ความไม่รู้ ความไม่รู้ทุกข์ เราไปเห็นว่ามันทุกข์บ้างสุขบ้าง เราก็เลยยึด ทันทีที่ยึด ความทุกข์ก็เข้ามาถึงจิตใจตัวเอง ทีแรกความทุกข์มันอยู่ที่ขันธ์ เมื่อเราไม่เห็นว่าขันธ์มันเป็นทุกข์ เราก็ไปยึดมัน ทันทีที่เราไปยึดมัน ความทุกข์ก็จะเข้ามาสู่จิตใจทันทีเลย ฉะนั้นตัวความอยากคือตัณหา ตัวความยึด ตัวอุปาทาน มันทำให้จิตใจเราได้รับความทุกข์ขึ้นมา ขันธ์ 5 มันเป็นทุกข์โดยตัวของมันเอง แต่ถ้าเรารู้ความจริง เราไม่เข้าไปยึดถือใจเราไม่ทุกข์ แล้วขันธ์ 5 มันเป็นทุกข์โดยตัวมันเอง เราไม่รู้ความจริงเราก็เข้าไปยึดถือ ความทุกข์ในขันธ์ 5 ก็ย้ายมาอยู่ในจิตของเรา เพราะฉะนั้นการที่เราจะสามารถเห็นได้ ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เราต้องรู้ทุกข์" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 6 กันยายน 2568

"ถือศีล 5 ทุกวันทำในรูปแบบ เวลาทำในรูปแบบ ไหว้พระสวดมนต์คิดถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ลงมือปฏิบัติ ถือว่าเราปฏิบัติบูชาพระคุณของท่าน ไม่ได้ปฏิบัติเอาดีวิเศษอะไรหรอก ลงมือทำไป อย่าใจโลภ ถือว่าปฏิบัติบูชา วันไหนฟุ้งซ่านทำความสงบ วันไหนสงบแล้วทำจิตตั้งมั่น ด้วยการรู้เท่าทันจิตที่ไหลไปไหลมา มีจิตตั้งมั่นแล้ว แยกขันธ์ เห็นกายกับใจมันคนละอัน เห็นสุข ทุกข์ ดี ชั่วกับจิตใจก็เป็นคนละอัน ซ้อมอยู่ในรูปแบบ เสร็จแล้วออกมาอยู่ในชีวิตจริง พอร่างกายมันยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด มีสติรู้ไปเรื่อยๆ รู้อะไร รู้ว่าร่างกายเคลื่อนไหว ใจเป็นคนดู รู้ว่าจิตใจของเราเป็นอย่างไร กุศลเกิดหรืออกุศลเกิด ฝึกเรื่อยๆ แล้วจะเข้าใจที่หลวงพ่อพุธบอก ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด มีสติไว้ แค่นี้อย่าว่าแต่จะบรรลุโสดาบันเลย บรรลุพระอรหันต์ยังได้เลย" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 31 สิงหาคม 2568

"หน้าที่เรามีแค่รู้ซื่อๆ ร่างกายเคลื่อนไหวรู้ซื่อๆ จิตใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงรู้ซื่อๆ รู้ซื่อๆ คือรู้แล้วไม่ไปปรุงแต่งต่อ ถ้าปรุงแต่งต่อเขาเรียกรู้ไม่ซื่อ อย่างจิตเรามีความโกรธเกิดขึ้น รู้ซื่อๆ คือรู้ว่าตอนนี้จิตมีความโกรธ ถ้ารู้ไม่ซื่อ ก็คือเห็นจิตมีความโกรธ ทำอย่างไรจะหาย นี่ชักจะเจ้าเล่ห์แล้ว ชักหาวิธี ถ้าคิดถึงว่าจะทำวิธีไหนดี วิธีไหนดี อันนี้เสียท่าหมดแล้ว ฟุ้งซ่าน ไม่มีวิธีอะไรดีหรอก มีแต่รู้ซื่อๆ ตรงที่คิดว่าอย่างนั้นน่าจะดี อย่างนี้น่าจะดี อันนั้นล่ะที่เรียกว่าสีลัพพตปรามาส ถือศีลบำเพ็ญพรตแบบงมงายแล้ว เกินจากรู้ซื่อๆ ก็งมงายหมด ฉะนั้นฝึกตัวเองให้เข้ามาสู่จุดที่สามารถรู้ซื่อๆ ได้ รู้ซื่อๆ คือรู้แล้วไม่เข้าไปแทรกแซง บางคนอยากรู้ซื่อๆ พอเห็นอะไรก็ทำใจให้นิ่ง บอกนี่รู้ซื่อๆ อันนั้นไม่ใช่รู้ซื่อๆ อันนั้นเรียกรู้ซื่อบื้อ รู้แล้วโง่ เข้าไปแทรกแซง บอกแล้วว่ารู้ซื่อๆ คือรู้แบบไม่แทรกแซง รู้ตามที่เขาเป็น ปล่อยให้เขาทำงานไป ทำไมจะต้องรู้อย่างที่เขาเป็น ทำไมต้องปล่อยให้เขาทำงานไป เพื่อเราจะได้เห็นไตรลักษณ์" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 30 สิงหาคม 2568







"ในพระสูตรมหาสติปัฏฐานสูตรหรือสติปัฏฐานสูตรอื่นๆ รู้สึก ท่านไม่มีคำว่าบังคับเลย 'ภิกษุทั้งหลายหายใจออกยาวก็รู้หายใจเข้ายาวก็รู้ ภิกษุทั้งหลายยืนอยู่ก็รู้ เดินอยู่ก็รู้ นั่งอยู่ก็รู้ นอนอยู่ก็รู้ ภิกษุทั้งหลายเคลื่อนไหวก็รู้ หยุดนิ่งก็รู้ คู้แขนเข้ามาก็รู้ เหยียดออกไปก็รู้' รู้ไปตามธรรมชาติ ถ้ารู้ตามธรรมชาติแล้ว ใจมันเบา แต่ส่วนใหญ่ทำไม่ได้หรอก หัดใหม่ๆ บอกว่าคู้แขนก็รู้ใจมันจะแน่น คลายออกก็รู้ จะมีน้ำหนักขึ้นมา ลองสังเกตเวลาเราเคลื่อนไหวตามธรรมชาติไม่มีน้ำหนัก พอเราจงใจเมื่อไรมีน้ำหนัก สังเกตตัวนี้แล้วเราจะ โอ้ จิตที่ธรรมดาเป็นอย่างนี้เอง พอเราได้จิตที่ธรรมดาแล้ว ต่อไปเวลาจิตไม่ธรรมดาเราจะรู้" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 สิงหาคม 2568

"การรักษาศีลเป็นแค่การตั้งรับ เวลากิเลสมันแรง เราสู้ไม่ไหว เราหนีเข้าป้อมของเรา คือรักษาศีลไว้ ถ้าเราฝึกจิตใจทุกวันๆ จิตเรามีกำลังมากขึ้น มันพอต่อสู้พอฟัดพอเหวี่ยงกับกิเลส เราก็จะสู้กับกิเลสด้วยอีกวิธีหนึ่ง เป็นการผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ก็คือสู้ด้วยสมาธิ จริงๆ เครื่องสู้กิเลสก็มีศีล สมาธิ ปัญญานั่นล่ะ ถ้าเราฝึกสมาธิของเราให้ดี มันจะข่มกิเลสได้เป็นคราวๆ ช่วงไหนจิตเรามีสมาธิ กิเลสมันก็ถอย ไม่มาครอบงำ ช่วงไหนสมาธิเราเสื่อม กิเลสก็กลับมาครอบงำรุนแรงได้อีก ต้องสู้กันใหม่แล้วกลับไปรักษาศีลให้ดี" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร 24 สิงหาคม 2568





"วิธีเรียนกรรมฐานของพระพุทธเจ้าเรียกว่า 'วิภัชชวิธี' แปลว่าเรียนด้วยการจำแนกแยกแยะออกไป อย่างเรารู้สึกว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ พอเรามาหัดแยกออกไป ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง ความรู้สึกสุขทุกข์อยู่ส่วนหนึ่ง ความจำได้หมายรู้อยู่ส่วนหนึ่ง ความปรุงดีปรุงชั่วปรุงไม่ดีไม่ชั่วอยู่ส่วนหนึ่ง จิตเป็นคนรู้ จิตเป็นตัวกลาง รู้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอยู่อีกส่วนหนึ่ง ถ้าเราสามารถแยกออกมาได้ เราจะพบว่าแต่ละขันธ์ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ขันธ์เป็นสักแต่ว่าขันธ์" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 17 สิงหาคม 2568



"เบื้องต้นจะได้โสดาปัตติมรรค ล้างความเห็นผิดได้ ล้างความเห็นผิดว่าขันธ์ 5 เป็นเรา ล้างความเห็นผิดในพระรัตนตรัย สงสัยในพระรัตนตรัย ล้างความเห็นผิดว่าการปฏิบัติแบบไหนดี อย่างไหนถูก ไม่มีอย่างไหนดีอย่างไหนถูกหรอก ทำสติปัฏฐานนั่นล่ะ มีทางเดียว ล้างความเห็นผิดได้ เราก็ภาวนาอย่างเดิม พออริยมรรคเกิดครั้งที่สอง สติเราจะเร็ว สมาธิของเราจะค่อนข้างสมบูรณ์ จิตมันจะตั้งมั่นยืนพื้นอยู่เลย ไม่ค่อยไหลไปไหน แล้วพอมันไหลปุ๊บ สติเห็นปั๊บเลย ฉะนั้นสมาธิของเราจะดีขึ้นมากเลย จิตยังไหลอยู่ ยังไหลได้ ฉะนั้นเรียกว่าสมาธิมันยังไม่บริบูรณ์ แต่เป็นสมาธิปานกลาง ไม่ไหลยาว ไม่หลงยาว จิตยังตั้งมั่นอยู่ สติจะเร็วมากเลย กิเลสเกิดแวบ มองเห็นแล้ว มันเป็นภูมิจิตภูมิธรรมของพระสกทาคามี กิเลสมันเลยเบาบาง เพราะสติ เพราะสมาธิ เพราะปัญญามันทำงานเก่ง ภาวนาไป จิตรวมครั้งที่สาม ได้เป็นพระอนาคามี คราวนี้สมาธิบริบูรณ์ จิตไม่หลงไปคลุกอารมณ์ทางโลกแล้ว พระอนาคามีไม่ได้รักษา แต่จิตไม่ไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ออกไปรับรู้ แต่จิตไม่ถลำลงไป ไม่ไปเพ่ง จิตจะไม่ถลำลงไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แต่ยังไหลไปทางใจ ไหลไปหาความสงบวิเวกทางใจ ยังเคลื่อนอยู่ เพราะฉะนั้นตรงนั้นสมาธิบริบูรณ์แล้ว ข่ม ไม่ใช่ข่ม ขจัดกามราคะได้เด็ดขาด จิตไม่หิวกาม ไม่หิวในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสแล้ว นี้ภูมิจิตภูมิธรรมของพระอนาคามี ภาวนาถึงสุดท้ายแตกหักลงไป ตอนที่จะแตกหัก มันจะรู้แจ้งแทงตลอด ว่าตัวจิตนี้คือตัวทุกข์ ทุกข์เพราะความไม่เที่ยงบ้าง บางท่านเห็นทุกข์เพราะมันถูกบีบคั้นบ้าง บางท่านเห็นมันเป็นทุกข์ เพราะมันไม่อยู่ในอำนาจบังคับบ้าง เรียกว่าเห็นไตรลักษณ์นั่นล่ะ พอเห็นอย่างนี้ จิตก็ปล่อยวางจิต ไม่ยึดถือจิต" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 16 สิงหาคม 2568





"พอรู้หลักแล้วก็เร่งให้ภาวนาให้มาก พอทำถูกแล้วต้องทำให้พอ ทำให้มากเจริญให้มาก เจริญสติให้มาก ตอนนี้พวกเราจำนวนมากจิตมันก็ตั้งมั่นขึ้นมา เมื่อจิตตั้งมั่นจิตมันตื่นขึ้นมาแล้ว ตั้งมั่นนี่มันตื่น มันรู้ มันตื่น มันเบิกบาน เราก็ได้ลิ้มรสชาติของสภาวะแห่งความตั้งมั่น ความตั้งมั่นก็คือสมาธินั่นล่ะ สมาธิแปลว่าความตั้งมั่น ภาวนาให้ถูก ภาวนาให้พอ เดี๋ยวมันก็เห็นเองล่ะว่าทางที่จะเดิน เดินไปทางไหน แล้วแต่ละก้าวที่เดิน มันจะมีความรู้สึกเลย แต่เดิมเราเหมือนอยู่ในป่าที่ทึบมองไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน คลำๆ เหมือนคนตาบอด พอเราภาวนารู้ทิศรู้ทาง ค่อยๆ คลำๆ ไป เราก็ออกมาสู่ที่โล่งขึ้นๆ จากป่าทึบก็มาเป็นป่าโปร่ง จากป่าโปร่งก็ออกมาเป็นไร่อ้อยไร่มันอะไรอย่างนี้ สุดท้ายก็ออกมาเจอถนนได้ ค่อยๆ ทำ ตั้งอกตั้งใจเข้า" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 สิงหาคม 2568


