ธรรมะเพื่อการเจริญสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางโดยพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม A collection of the Lord Buddha's teachings conveyed by the venerable Luangpor Pramote Pamojjo, a master teacher of mindfulness for the modern world and Vipassana meditation.
"พอรู้หลักแล้วก็เร่งให้ภาวนาให้มาก พอทำถูกแล้วต้องทำให้พอ ทำให้มากเจริญให้มาก เจริญสติให้มาก ตอนนี้พวกเราจำนวนมากจิตมันก็ตั้งมั่นขึ้นมา เมื่อจิตตั้งมั่นจิตมันตื่นขึ้นมาแล้ว ตั้งมั่นนี่มันตื่น มันรู้ มันตื่น มันเบิกบาน เราก็ได้ลิ้มรสชาติของสภาวะแห่งความตั้งมั่น ความตั้งมั่นก็คือสมาธินั่นล่ะ สมาธิแปลว่าความตั้งมั่น ภาวนาให้ถูก ภาวนาให้พอ เดี๋ยวมันก็เห็นเองล่ะว่าทางที่จะเดิน เดินไปทางไหน แล้วแต่ละก้าวที่เดิน มันจะมีความรู้สึกเลย แต่เดิมเราเหมือนอยู่ในป่าที่ทึบมองไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน คลำๆ เหมือนคนตาบอด พอเราภาวนารู้ทิศรู้ทาง ค่อยๆ คลำๆ ไป เราก็ออกมาสู่ที่โล่งขึ้นๆ จากป่าทึบก็มาเป็นป่าโปร่ง จากป่าโปร่งก็ออกมาเป็นไร่อ้อยไร่มันอะไรอย่างนี้ สุดท้ายก็ออกมาเจอถนนได้ ค่อยๆ ทำ ตั้งอกตั้งใจเข้า" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 สิงหาคม 2568
"รู้สึกตัวไว้ อย่าปล่อยให้ใจมันหนีไปเที่ยว รู้สึกไว้ ฝึกไว้ให้เคยชินที่จะรู้สึก พวกเราเคยชินที่จะหลง พยายามพัฒนาตัวเอง ใจเราจะไหลไปตลอดเวลา ส่วนใหญ่ก็ไหลไปคิด ให้รู้ทันตรงที่ใจเราไหลไป เราห้ามไม่ได้แต่รู้เอา ถ้าเรารู้ทันใจที่ไหลไปคิดได้ ใจเราจะตื่นขึ้นมา หลุดออกจากโลกของความคิด มาอยู่ในโลกของความรู้สึกตัว คอยรู้สึกกายรู้สึกใจไป ฝึกให้เคยชิน มีเวลาว่างนิดๆ หน่อยๆ อะไร ก็รีบรู้สึกตัวไว้" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 สิงหาคม 2568
"คนซึ่งภาวนาที่หลวงพ่อว่าดีแล้วล่ะ จิตตื่นขึ้นมา ขันธ์แยกอะไร สิ่งที่ต้องระวังต่อไปคือความจงใจ พอหลวงพ่อบอกอย่างนี้ถูก มันจงใจทำให้ถูกอีกแล้ว ที่ถูกไม่ได้จงใจ ทำไปตามขั้นตามตอน มีสติรู้สึกกายรู้สึกใจไป จิตก็ถูกของมันเอง พอได้ยินหลวงพ่อบอกอย่างนี้ดีอย่างนี้ถูก คราวนี้โลภแล้ว มีความโลภเกิดขึ้น มีเจตนาที่จะทำ ทำอย่างไหน นึก ทำอย่างไรดีที่ทำแล้วหลวงพ่อว่าดี ตรงนี้เป็นกับดักอันสำคัญ คนซึ่งภาวนาเข้าหลักเข้าเกณฑ์แล้วไปติดกับตัวที่อยากดี พออยากดีก็เกิดเจตนา ตัวเจตนาที่จะทำให้ดี ในหัวจะมีคำว่าทำขึ้นมาแล้ว ลืมคำว่ารู้ ที่เราดีขึ้นมาได้เพราะเรารู้ หายใจออกก็รู้ หายใจเข้าก็รู้ ยืนก็รู้ เดินก็รู้ นั่งก็รู้ นอนก็รู้ คู้ก็รู้ เหยียดก็รู้ เคลื่อนไหวก็รู้ หยุดนิ่งก็รู้ สุขก็รู้ดี ทุกข์ก็รู้ ดีก็รู้ ชั่วก็รู้ เราได้ดีขึ้นมาก็เพราะคำว่ารู้ พอเราโลภ อยากดีมากๆ อยากดีไปเรื่อยๆ อยากดียิ่งขึ้น มีความโลภเกิดขึ้น ก็เกิดความจงใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกินจากการรู้ ตัวเจตนา ตัวจงใจ เรียกตัวสังขารๆ อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารตัวนี้ตัวเจตนานั่นล่ะ เจตนาที่ดีเกิดขึ้น จิตก็ดิ้นรนปรุงแต่ง สร้างภพ สร้างชาติ สร้างทุกข์ขึ้นมาอีก ที่เคยดีอยู่ก็เสื่อมไป ทำไมเสื่อม เพราะทิ้งการรู้สภาวะ หันไปคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรๆ กิริยาเปลี่ยนจากรู้มาเป็นทำ ทำไม่ได้หรอก เพราะทุกอย่างในขันธ์ 5 เรา กระทั่งจิตใจของเรา ทำอะไรมันไม่ได้ มันเป็นอนัตตา ถ้าทำเหตุของมันให้ถูก มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง รู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็ดีเอง" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 3 สิงหาคม 2568
"ยังหนุ่มยังสาว เป็นช่วงเวลาที่เราแข็งแรงที่สุดทั้งร่างกายและจิตใจ ใช้ช่วงเวลานี้ มารีบภาวนาให้ดี เมื่อก่อนมีครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง หลวงพ่อไม่เคยเรียนกับท่าน แต่เคยได้ยิน ท่านพูดบอกว่า ท่านมาบวชตั้งแต่หนุ่ม เพราะว่าชีวิตวัยหนุ่ม เป็นวัยที่สดชื่นแข็งแรง คนเราเวลาจะทำบุญ พยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เอาไปทำบุญถวายพระ ท่านเลยถวายชีวิตช่วงหนุ่มของท่านนี้ให้พระพุทธเจ้า ออกมาบวชแล้วไม่ยอมสึก ลงมือปฏิบัติไปเรื่อยๆๆ ไม่ยอมเลิก ท่านบอก ท่านถวายของที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว ให้กับพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชา" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 สิงหาคม 2568
"เมื่อก่อนคนชอบมาถาม จิตรวมเป็นอย่างไร จิตถึงฐานเป็นอย่างไร จิตตั้งมั่นเป็นอย่างไร จิตส่งออกเป็นอย่างไร ขันธ์แยกเป็นอย่างไร ถาม โอ๊ย ใครจะไปตอบได้ เหมือนถามว่าทุเรียนหมอนทองรสชาติเป็นอย่างไร ต่างกับชะนีอย่างไร ก้านยาวรสเป็นอย่างไร ไม่เคยกิน มันจะไปรู้หรือ ไม่รู้หรอก ฉะนั้นมันเป็นคำถามที่ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีใครตอบได้หรอก เป็นเรื่องของสภาวะ ก็ต้องรู้เองเห็นเอง ธรรมะจริงๆ เรียนด้วยการคิด การพูด การถาม ไม่มีทางเข้าใจหรอก แค่ลูบๆ คลำๆ แล้วก็มโนเอาว่าเข้าใจ ที่จริงไม่เข้าใจ จะเข้าใจภาวนามันต้องถึงใจจริงๆ รู้ด้วยตนเอง อย่างหลายคนภาวนามาเป็น 10 ปี 20 ปี ทำไม่ได้ พอหลวงพ่อเคี่ยวเข็ญให้ไปเดินจงกรม แป๊บเดียว เดือน 2 เดือนเอง จิตตั้งมั่นได้ ขันธ์แยกได้ แล้วคราวนี้ไม่ต้องถามอะไรมากแล้ว ลงภาวนาจนถึงจิตตั้งมั่นได้ การภาวนาที่เหลือจะเข้าสู่จุดที่ราบรื่น ง่ายแล้ว แทบไม่ต้องทำอะไรเลย จะมีสติรู้กายรู้ใจด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง มันยากตอนต้นนี่ล่ะ เพราะคนในโลกมันไม่มีจิตที่ตั้งมั่น รู้ ตื่น เบิกบาน มีแต่จิตที่หลง คิดนึก ปรุงแต่งตลอดเวลา แล้วดูตัวเองไม่ออก" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 กรกฎาคม 2568
"พอเราก้าวมาถึงจุดที่เราอ่านจิตตัวเองดูจิตตัวเองออกแล้ว อย่าไปประคอง อย่าไปรักษาให้นิ่ง ให้ทำงานไปตามธรรมชาติ มีตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีใจก็คิด แต่เมื่อตาเห็นรูปเกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต รู้ทัน หูได้ยินเสียงเกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิต รู้ทัน จมูกได้กลิ่นลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส ใจกระทบความคิด เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จิตก็รู้ทัน ฝึกเรื่อยๆ ไป แล้ววันหนึ่งเราจะเห็นตัวจิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ เราสั่งให้เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 สิงหาคม 2568
"สัมมาสมาธิคือความตั้งมั่นของจิต จะเป็นเหตุให้เราเจริญปัญญาได้ ถ้าจิตเราไหลอยู่ตลอดเวลา จะไปรู้อะไรได้ ก็หลงไปเรื่อยๆ สมาธิแปลว่าความตั้งมั่น อย่าไปแปลสมาธิว่าสงบ ที่เราต้องฝึกนั้นคือฝึกให้จิตตั้งมั่น จิตสงบมีมาก่อนพระพุทธเจ้า แล้วอย่างสงบแล้วก็มีความสุขไป พอออกจากสมาธิก็ทุกข์เหมือนเดิม บางคนทุกข์มากกว่าเก่าอีก เพราะฉะนั้นเราฝึกให้จิตตั้งมั่น วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่น จิตเป็นอนัตตาเราสั่งให้ตั้งมั่นไม่ได้ แต่ให้เรารู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น ฉะนั้นวิธีทำจิตให้ตั้งมั่นก็คือ มีสติรู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น คือรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา หัดทำกรรมฐานอะไรก็ได้สบายๆ ที่เราถนัด อย่าไปมุ่งบังคับจิตให้สงบ ทำกรรมฐานไป สงบก็ได้ไม่สงบก็ได้ ไม่เป็นไร จุดสำคัญเราทำไปเพื่อจะรู้ทันจิตตัวเอง ไม่ได้ทำให้สงบ คนส่วนใหญ่กระทั่งในเมืองไทย นั่งสมาธิมุ่งไปที่สงบ ฉะนั้นจิตจะไม่ตื่นขึ้นมาจริงๆ เมื่อจิตไม่ตื่นขึ้นมา ไม่ตั้งมั่นจริง ทำวิปัสสนาไม่ได้ เจริญปัญญาไม่ได้จริง ตัวนี้ที่หลวงพ่อเห็นเป็นตัวแตกหักเลย ถ้าจิตของเราไม่ถูก ไปทำกรรมฐานอะไรก็ไม่ถูก แต่ถ้าจิตเราถูก แล้วตั้งมั่น รู้ ตื่น เบิกบานแล้ว ทำกรรมฐานอะไรก็ได้ ไม่ว่าสติจะระลึกรู้กาย รู้เวทนา หรือรู้จิตใจตัวเอง จิตตั้งมั่นแล้วจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตไปรู้เป็นไตรลักษณ์หมดเลย ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ทั้งหมดเลย" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช Eco Hotel 23 กรกฎาคม 2568
"ตอนนี้ที่เน้นให้เจริญเมตตา เพราะว่าโลกนี้เร่าร้อนไปหมดแล้ว มีแต่คนเห็นแก่ตัวเบียดเบียนกัน พยายามฝึกใจให้มีเมตตา เราจะมีความร่มเย็นอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เร่าร้อน เราไปแก้โลกทั้งโลกไม่ได้ แต่เราแก้ที่ใจเราได้ โลกเร่าร้อนแต่ความเร่าร้อนอยู่ที่โลก ความร่มเย็นอยู่ในใจเรา ความร้อนมาไม่ถึงใจเรา ฉะนั้นฝึกจิตให้ดี แล้วเราจะมีชีวิตที่คุ้มค่า คนเราก็มีอายุเท่าไหร่กัน 70 – 80 ปี 100 ปี ไม่นานก็ตาย ทำไมเราจะต้องใช้ชีวิตให้หมดเปลืองไปกับความเร่าร้อน ชีวิตของคนไม่ได้ยืนยาวอะไร ถ้าเราอยู่กับความร่มเย็นเป็นสุข คุ้มค่าที่เราเกิดมา" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 สิงหาคม 2568
"เห็นมานานแล้วว่าจุดอ่อนของฆราวาส คือสมาธิไม่ดี ไม่มีจิตที่ตั้งมั่น แล้วรุ่นนี้แค่สงบก็ไม่สงบ อย่าว่าแต่ตั้งมั่นเลย สงบยังยากเลย หลวงพ่อก็ปล่อยมานานร่วม 20 กว่าปี ดูแล้วไม่ดีขึ้น ดีขึ้นช้าเหลือเกิน หลวงพ่อเลยวางมาตรการใหม่ ให้ไปเดินจงกรมวันหนึ่งสัก 3 ชั่วโมง ถ้าเดินได้ ดี แต่ตั้งเป้าไว้พยายามทำไป ทีแรกอาจจะไม่ได้ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ได้ แต่บางคนอายุมากเดินไม่ไหวจริงๆ เจ็บป่วยเดินไม่ไหวจริงๆ จำเป็นต้องนั่งก็นั่ง ไม่ใช่ว่าเดินไม่ได้แล้วฝืนจนกระทั่งพิการไป แต่ถ้ายังหนุ่มยังสาวยังมีเรี่ยวมีแรงปฏิบัติ เดินไป แล้วเวลาเดินก็เห็นร่างกายเดิน ใจเป็นคนดูไป แล้วถ้าจิตหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ทัน จิตถลำลงไปเพ่งร่างกาย รู้ทัน เดินต้องเดินให้ถูกหลัก เดินแล้วก็มีสติรู้เท่าทันจิตตัวเอง เดินไม่ได้นั่งอยู่ ก็นั่งทำกรรมฐานไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตไปเพ่งกรรมฐาน รู้ทัน ใช้หลักอันเดียวกัน ไม่ว่าจะทำกรรมฐานอะไร ใช้หลักอันนี้ทั้งนั้นเลย คือรู้ทันจิตไว้" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 สิงหาคม 2568
"เวลาทำกรรมฐาน ถ้าจิตหลงไปแล้ว รู้จิตเผลอไปแล้วรู้ ฝึกบ่อยๆ ทีแรกก็จะหลงยาวหลงนาน พอฝึกชำนิชำนาญ จิตไหลแป๊บเห็นแล้ว จิตเคลื่อนปั๊บเห็นแล้ว จิตที่หลงก็จะสั้นลง แต่จิตที่หลงก็จะเกิดถี่ยิบเลย สลับกับจิตที่รู้ถี่ยิบเลย จิตก็จะมีกำลังขึ้นมาตั้งมั่นขึ้นมาได้ "ถ้าเราผิดในข้างเพ่ง เวลาเราไปเพ่งอย่าไปตกอกตกใจ นักปฏิบัติร้อยละร้อยคิดถึงการปฏิบัติเมื่อไรเพ่งเมื่อนั้น เพ่งก็คือการบังคับกายบังคับใจ แทนที่จะรู้กายอย่างที่กายเป็นรู้ใจอย่างที่ใจ ก็ไปบังคับกายบังคับใจ เริ่มปฏิบัติจะบังคับทันทีเลย พอเรารู้จักสภาวะของการเพ่งการบังคับ พอจิตไปเพ่ง เรารู้ทัน รู้ทันการเพ่งกับรู้ทันการเผลอต่างกัน จิตที่เผลอจิตที่หลงเป็นอกุศลจิต เพราะฉะนั้นทันทีที่เรารู้ว่าหลงรู้ว่าเผลอ อกุศลดับ จิตจะตื่นขึ้นทันทีเลย แต่การเพ่งเป็นการพยายามทำความดี ไม่ใช่ทำชั่วเป็นความปรุงดี ฉะนั้นเราไปเห็นการเพ่ง การเพ่งยังไม่ดับ ต้องรู้ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง ที่เพ่งเพราะอยาก อยากปฏิบัติ อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากดี พอมีความอยากเกิดขึ้นก็เลยเกิดการเพ่งขึ้น พอเราเห็นความอยาก ความอยากดับ การเพ่งก็ดับ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 กรกฎาคม 2568
"ตำราชอบบอกเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราตั้งอกตั้งใจรักษาศีลไป แล้วเราจะมีความอบอุ่นใจ พวกเทวดาเราไม่ได้นับถือเป็นสรณะเหมือนพระรัตนตรัย เราก็นับถือเขาในฐานะเขาเป็นคนดี แล้วพอมีความเป็นมิตรต่อกัน ก็จะมีความรู้สึกคล้ายๆ เป็นพ่อแม่ เป็นลูกอะไรอย่างนี้ เทวดาช่วยได้เขาก็จะช่วยสงเคราะห์ให้ ถ้าเรามีศีลคล้ายๆ เรามีแบ็คที่ดี ตัวศีลเองก็รักษาเรา ตัวศีลช่วยรักษาเรา ทุกวันนี้เรื่องที่เกิดขึ้น ในวงการพระวุ่นวายมากมาย เป็นเรื่องศีลทั้งนั้นเลย พวกหนึ่งละเมิดศีลเรื่องเงิน พวกหนึ่งละเมิดศีลพรหมจรรย์ เป็นพระต้องประพฤติพรหมจรรย์ บางคน เขาก็มั่วกับผู้หญิง บางคนเขาก็มั่วกับผู้ชายอะไรอย่างนี้ พอไม่มีศีลรักษา เห็นไหมผ้าเหลืองร้อนอยู่ไม่ได้ ปกปิดมาได้ยาวนาน ถึงเวลาที่กรรมจะให้ผลมันให้ผลปุบปับ นึกไม่ถึงเลย" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 20 กรกฎาคม 2568
"ทางเดินที่ถูกต้องอยู่ที่ปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบัน รู้สึกกายอยู่ในปัจจุบัน รู้สึกจิตใจอยู่ในปัจจุบัน เมื่อเรารู้กายรู้ใจอยู่ในปัจจุบัน เราก็จะเห็นความจริง กายในอดีตไม่มีแล้ว กายในอนาคตยังไม่เกิดขึ้น จิตในอดีตก็ไม่มีแล้ว จิตในอนาคตก็ยังไม่เกิดขึ้น กายที่มีอยู่จริง คือกายที่อยู่ในปัจจุบันนี้ จิตที่มีอยู่จริง คือจิตที่อยู่ในปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน ไม่หลงไปอดีต ไม่หลงไปในอนาคต ไม่หลงไปในโลกของความคิดความฝัน แต่อยู่ในโลกของความเป็นจริง คือโลกของความรู้เนื้อรู้ตัว เราก็จะเห็นกายเห็นใจตัวจริง ไม่ใช่ความจำเรื่องกาย หรือความคิดเรื่องกาย เรื่องร่างกายจิตใจในอดีต มันเป็นแค่ความจำ ร่างกายจิตใจในอนาคต ยังเป็นแค่ความคิด ที่มีสภาวธรรมจริงๆ คือร่างกายที่เป็นปัจจุบันนี้ ยังมีอยู่จริงๆ จิตใจของเราในปัจจุบันนี้ ยังมีอยู่จริงๆ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 19 กรกฎาคม 2568
"ไม่มีใครสั่งจิตให้เกิดอริยมรรคอริยผลได้ จิตเกิดอริยมรรคอริยผลได้ เพราะว่าศีล สมาธิ ปัญญาของเราสมบูรณ์แล้ว มันเป็นอัตโนมัติ ตรงที่เรามีศีลดีสมาธิเราก็ดี มีสมาธิที่ดี สมาธิที่ถูกต้อง จิตที่ตั้งมั่น แล้วมีกำลังพอ ก็สามารถเดินปัญญาดูความจริงของกายของใจได้ เมื่อเห็นความจริงของกายของใจได้ จิตก็เข้าสู่ความเป็นกลาง ร่างกายจะสุขหรือจะทุกข์อะไรจิตก็เป็นกลาง จิตใจจะสุขหรือจะทุกข์จิตก็เป็นกลาง ไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ไม่ดิ้นรน ตรงที่จิตดิ้นรนนั่นล่ะเรียกว่าภพ ตราบใดที่จิตดิ้นรนอยู่ จิตก็ยังอยู่ในภพ โลกุตตระก็ไม่เกิดเพราะโลกุตตระอยู่นอกภพ ถ้ายังดิ้นรนใจดิ้นรน ใจยังถูกขังอยู่ ยังถูกขังอยู่ ติดอยู่ในภพ ไม่เกิดโลกุตตระ ไม่เกิดมรรคผล แต่เมื่อจิตเป็นกลางอย่างแท้จริงด้วยปัญญาอันยิ่ง จิตหมดความดิ้นรน หมดความกระหาย หมดความหิว จิตรวมลงไป แล้วก็ผ่านกระบวนการนิดหนึ่งแล้วก็จะเข้าสู่โลกุตตระ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 กรกฎาคม 2568
"พวกเราขณะนี้มีโอกาสศึกษา มีโอกาสปฏิบัติรีบๆ ทำเสีย ถ้าบุญบารมีเราสะสมมามากพอแล้ว ชาตินี้เรามาต่อยอดนิดหน่อย เราก็ได้ธรรมะ อย่างต่ำได้โสดาบัน ไม่ยากเกินไปหรอก ถ้าบุญบารมีเรายังไม่พอ เราก็เก็บสะสม เก็บบุญบารมีของเราสะสมติดตัวไป ชาติต่อไปได้ยินได้ฟังธรรมะแล้ว ก็จะเข้าใจง่าย เพราะฉะนั้นลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้ ไม่มีเรื่องเสีย มีแต่เรื่องที่เราจะได้ประโยชน์ทั้งสิ้นเลย" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 กรกฎาคม 2568