ธรรมะเพื่อการเจริญสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางโดยพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม A collection of the Lord Buddha's teachings conveyed by the venerable Luangpor Pramote Pamojjo, a master teacher of mindfulness for the modern world and Vipassana meditation.
"ทำผิดทำถูกแล้วไปส่งการบ้าน ตรวจสอบด้วยตัวเองก่อน ไม่มั่นใจไม่แน่ใจ ค่อยไปถามครูบาอาจารย์ ไม่ได้ถามทุกวันถามทุกเรื่อง ถามทุกวันถามทุกเรื่องไม่พัฒนาหรอก ฟุ้งซ่าน ฉะนั้นธรรมะใช้โยนิโสมนสิการให้มาก พิจารณาตัวเองให้มาก สิ่งที่เราทำอยู่หรือผลที่เราทำอยู่ สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าของครูบาอาจารย์ไหม อย่างที่หลวงพ่อไปถามหลวงตามหาบัว เพราะหลวงพ่อสังเกตุเราต้องทำผิด ทำไมจิตเราว่างสว่าง ไม่มีกิเลสมีแต่ความสุข ก็เฉลียวใจ พระพุทธเจ้าบอกว่าจิตไม่เที่ยง ทำไมจิตเราเที่ยง ท่านว่าจิตเป็นทุกข์ ทำไมจิตเรามีแต่ความสุข ท่านว่าจิตเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ทำไมเราบังคับได้ สังเกตอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเวลาเราภาวนา ตรวจสอบการปฏิบัติของเราเอง ให้สม่ำเสมอ ตรวจเป็นระยะๆ ไม่ต้องตรวจตลอดเวลา ตรวจตลอดเวลาเดี๋ยวฟุ้งซ่าน ไม่ได้ปฏิบัติ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 11 กรกฎาคม 2568
"วิธีเจริญปัญญาก็คือเห็นธาตุเห็นขันธ์มันแยกออกไป แล้วก็เห็นแต่ละธาตุแต่ละขันธ์ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ตรงนี้สำคัญ จะบรรลุมรรคผลหรือเปล่าก็อยู่ตรงนี้ล่ะ ตรงที่เห็นสภาวธรรมทั้งหลาย ขันธ์มันแตกตัวออกมาเป็นสภาวะ สภาวธรรม เป็นรูปธรรม เป็นรูป เป็นเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ เป็นสัญญาความจำได้ความหมายรู้ เป็นสังขารความปรุงดีปรุงชั่ว ปรุงไม่ดีไม่ชั่ว เป็นวิญญาณคือจิตที่เกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตเราไม่ได้มีดวงเดียว จิตเรามีนับไม่ถ้วน เกิดดับสืบเนื่องกันตลอดเวลา ถ้าเรายังเห็นจิตมีดวงเดียวอยู่แล้ววิ่งไปวิ่งมา อันนั้นยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ เรียกเป็นสัสสตทิฏฐิ คิดว่าจิตนี้เที่ยงเป็นอมตะ เราต้องแยกขันธ์ให้ได้ แล้วเห็นขันธ์แต่ละขันธ์แสดงไตรลักษณ์ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 10 ก.ค. 2568 (ช่วงบ่าย)
"ปฏิบัติธรรมะ เรียนอย่างเดียวไม่พอ เราเห็นบทเรียนแล้ว พระเปรียญ 9 พลาดไปตั้งหลายองค์ ว่าสุดยอดแล้วเปรียญ 9 ก็เอาไม่รอด พวกเราต้องลงมือปฏิบัติ ทุกวันนี้หลวงพ่อเร่งพวกเรา อย่างน้อยไปเดินจงกรมให้ได้วันละ 3 ชั่วโมง เดินรวดเดียวไม่ได้ก็แบ่งเวลา ตอนเช้าตื่นเร็วให้ขึ้นหน่อย ไปเดินจงกรมสัก 1 ชั่วโมง กลางวันมีเวลาเมื่อไร ก็เดินด้วยความรู้สึกตัวไป เก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อยๆ ตกค่ำก็ไปเดินจงกรมอีกสักชั่วโมงหรือชั่วโมงกว่า หลายคนก็ทำ คนที่ทำก็ประสบความก้าวหน้า แล้วก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่าตัวเองพัฒนาขึ้น แต่ก่อนที่หลวงพ่อจะใช้ให้ไปเดินจงกรม หลวงพ่อสอนหลักของการปฏิบัติให้แล้ว ไม่ใช่ไปเดินจงกรมแล้ว ยิ่งเดินยิ่งเครียด ยิ่งเดินยิ่งเหลวไหลไร้สาระ เดินด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว เห็นร่างกายมันเดินไป ใจรู้สึกร่างกายมันเดิน ใจหนีไปที่อื่น รู้ทัน ใจถลำลงไปเพ่งร่างกาย รู้ทัน รู้ทันจิตใจตัวเองไป แล้วก็เดินไปด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 10 ก.ค. 2568 (ช่วงเช้า)
"เรากลับข้างกับคนทั่วไปนิดเดียวเอง คนทั่วไปเวลารู้อะไรมันรู้ออกนอก หลวงปู่ดูลย์เรียกว่าส่งจิตออกนอก ส่งจิตออกนอกเป็นสมุทัย ท่านว่าอย่างนี้ คือเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ให้เกิดความดิ้นรนปรุงแต่งวุ่นวายขึ้นมา ท่านบอก “อย่าส่งจิตออกนอก” คือ ให้ดูตัวเองไว้ ตาเห็นรูป จิตเกิดอะไรขึ้น รู้ที่จิตนี้ มันต่างกับคนปกติทั่วไปในโลกก็แค่นี้เอง คือเราสามารถรู้ทันจิตใจตัวเองได้ ไม่ใช่เรื่องยาก" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 6 กรกฎาคม 2568
“แล้วท่านก็สอนสมุทัย เหตุให้เกิดความทุกข์ อย่างเรามีร่างกาย มีร่างกาย ร่างกายเรามีเหตุให้เกิด เรามีชนกกรรม คือกรรมที่ทำให้เกิด พอเราเกิดมามีอัตภาพของมนุษย์ มันก็มีของแถมติดมาด้วยกับความเกิด คือความแก่ ความเจ็บ ความตาย อันนี้หนีไม่รอด หนีไม่พ้น เกิดมาแล้ว ถ้าหากภาวนาถึงขีดสุด จนหมดเชื้อเกิดในใจ ไม่ต้องเกิดอีก ก็ไม่ต้องมีร่างกายให้มันมีทุกข์ซ้ำซาก ในด้านจิตใจเราวิบากก็ส่งผลมา ให้เรากระทบอารมณ์ที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง กุศลส่งผลมา เราก็กระทบอารมณ์ที่ดี มีความสุข อกุศลให้ผล เราก็กระทบอารมณ์ไม่ดี ก็ได้ความทุกข์ แต่ตัวนี้ยังไม่ใช่ตัวสำคัญ ถ้ากรรมเก่าส่งผลมาให้เราเจอสถานการณ์อย่างนี้ แต่พระพุทธเจ้าสอนทางออกให้เรา ทำกรรมใหม่ ทำกรรมใหม่ที่ดี เราก็จะบรรเทาผลของความทุกข์ได้ ยิ่งถ้ากรรมใหม่ของเราดีถึงขีดสุด เราถึงที่สุดของทุกข์ บรรลุพระอรหันต์ ความทุกข์ในจิตใจจะไม่มีอีก ทำไมความทุกข์ในจิตใจไม่มี เพราะจิตนั้นพ้นจากความปรุงแต่งสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเข้าไปปรุงแต่งจิตได้อีกแล้ว มันเป็นอิสระอย่างแท้จริง เข้าถึงภาวะที่สงบสุขอย่างแท้จริง“ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 กรกฎาคม 2568
"มีวิหารธรรม ทำกรรมฐานไป มีจิตเป็นคนรู้คนดูวิหารธรรมนั้น แล้วต่อไปถ้าจิตมันหนีจากวิหารธรรม เราก็จะเห็นจิตถลำลงไปเพ่งวิหารธรรมอันนั้น เราก็จะเห็น พอเรารู้เท่าทันจิต อันนี้ จิตมันจะตั้งมั่น สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้น ฉะนั้นอาศัยสติ สัมมาสติคือสติรู้กายรู้ใจ สัมมาสติเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ จะพัฒนาสัมมาสติ เบื้องต้นต้องมีวิหารธรรม มีเครื่องอยู่ ถ้าเดินแนวนี้ การภาวนามันจะไม่ยากเท่าไรหรอก ค่อยๆ ทำไปตามลำดับ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 มิถุนายน 2568
"สติตัวจริง เราจะไม่สุดโต่งตามอำนาจกิเลส ส่วนใหญ่มี 2 ฝั่ง หลงไปคือฟุ้งซ่านไป นั่งสมาธิแล้วคิดโน่นคิดนี่ไป ลืมกายลืมใจตัวเอง ไม่มีสติ อีกอันหนึ่งเพ่งกายเพ่งใจ ร่างกายก็มี จิตใจก็เพ่งเอาไว้ให้นิ่งๆ บอกว่ามีสติ รู้กายอยู่ รู้ใจอยู่ แต่มันรู้ด้วยโลภะ ตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่ สติไม่เกิดหรอก เพราะฉะนั้นหลวงพ่อถึงย้ำนักย้ำหนา เราภาวนา รู้สึกกายรู้สึกใจไป ไม่เผลอลืมกายลืมใจ ไม่เพ่งกายเพ่งใจ ไม่เผลอกับไม่เพ่ง เราถึงจะมีสติตัวจริง ถ้าเผลอไปก็มีความฟุ้งซ่าน ไม่มีสติ ถ้าเพ่งไปก็มีโลภะ มีโทสะ ไม่มีสติ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 มิถุนายน 2568
อันแรกเลยถือศีล อันที่สองฝึกกรรมฐานในรูปแบบ ฝึกกรรมฐานอะไรก็ได้ที่เราถนัด วันไหนจิตใจเราฟุ้งซ่านไม่มีแรง น้อมจิตไปอยู่กับอารมณ์กรรมฐานที่มีความสุข สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่าง แต่ว่าระลึกถึงอารมณ์นั้นเรื่อยๆ แป๊บเดียวก็สงบ วันไหนใจเราสงบแล้ว สังเกตที่จิต จิตหนีไปรู้ทัน จิตถลำไปเพ่งรู้ทัน จิตจะตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วก็ถึงขั้นเจริญปัญญาได้ เราก็จะเห็นเลยร่างกายกับจิตเป็นคนละอัน อย่างขณะนี้ฟังหลวงพ่อเทศน์จะมีสมาธิระดับหนึ่ง จะรู้สึกง่ายๆ เลยร่างกายถูกรู้ ของที่ถูกรู้ไม่ใช่ตัวเรา จะเห็น จะเห็นความรู้สึกสุขทุกข์ถูกรู้ ไม่ใช่เรา กุศลอกุศลถูกรู้ไม่ใช่เรา ส่วนจิต จิตเองก็เกิดดับ จิตไม่ได้มีดวงเดียว จิตเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ จิตเดี๋ยวก็เป็นผู้หลง เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้ไปดูรูป เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปฟังเสียง จะเกิดดับไปเรื่อยๆ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 25 มิถุนายน 2568
ฟังอย่างเดียวไม่ลงมือปฏิบัติไม่ได้ผลหรอก แล้วจะไม่มีวันเข้าใจธรรมะเลย เข้าใจไม่ได้ นั่งคิดๆ เอาหรือท่องตำราเอา ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ ศีลต้องรักษา ต้องฝึกในรูปแบบ เวลาที่เหลือเจริญสติในชีวิตประจำวัน บางคนบอกว่าไม่ทำในรูปแบบ เจริญสติในชีวิตประจำวันรวดเดียวเลย ถามว่าทำได้ไหม ได้ประเดี๋ยวเดียว แล้วก็เสื่อมหมด ฟุ้งซ่าน ใช้อะไรไม่ได้ การเจริญสติในชีวิตประจำวันไม่ใช่งานง่ายๆ ยากมาก ยากกว่าการทำในรูปแบบอีก ถ้าเทียบไปการทำในรูปแบบก็เหมือนทหารซ้อมรบ การปฏิบัติในชีวิตประจำวันเหมือนการเข้าสนามรบที่แท้จริง มันต่างกัน ไม่เหมือนกันหรอก ถ้าไม่เคยฝึกซ้อมอะไรเลยแล้วเข้าสนามรบก็ตายเปล่าๆ ไม่ได้เรื่องอะไร ฝึกซ้อม ทำในรูปแบบมากๆ แต่ไม่เจริญสติในชีวิตประจำวันก็ไม่ก้าวหน้า ต้องทำให้ได้ 3 อย่างที่หลวงพ่อบอก อันแรก ถือศีล 5 ไว้ อันที่สอง ฝึกปฏิบัติในรูปแบบ อันที่สาม เจริญสติในชีวิตประจำวัน อันนี้ยากที่สุด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 มิถุนายน 2568
ต้องฝึกจิตของเราให้มาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา พอเราได้จิตที่เป็นผู้รู้แล้ว เราก็จะเห็นธาตุขันธ์ทั้งหลายเป็นของถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่จิต ร่างกายก็ส่วนหนึ่ง ความรู้สึกสุขทุกข์ก็ส่วนหนึ่ง กุศลอกุศลก็ส่วนหนึ่ง จิตก็อยู่อีกส่วนหนึ่ง ค่อยๆ แยกสิ่งที่เรียกว่าตัวเราออกเป็นส่วนๆ คำว่าขันธ์ ก็แปลว่าส่วนนั่นล่ะ แยกขันธ์ 5 ก็คือแยกออกเป็น 5 ส่วน รูป ร่างกายของเราเป็นรูป ตัวรูปธรรมแยกให้ละเอียดออกไป ก็เป็นธาตุ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าเราแยกออกไปแล้ว เราก็จะเห็นตัวธาตุแต่ละธาตุ ไม่มีตัวตนอะไร ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 21 มิถุนายน 2568
คนทั่วไปชอบแขวนป้าย มีป้ายว่าเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ เป็นแบบฉาบฉวยแล้วก็ไม่ได้เรื่องหรอก ท่านพุทธทาสท่านพูดว่า ถ้าไม่เชื่อคำสอนอย่ามาอ้อนว่าเป็นลูกศิษย์ ฉะนั้นเราเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ก็ต้องทำตามที่ครูบาอาจารย์สอน ธรรมะเรียนไม่ได้ด้วยการไปเกาะครูบาอาจารย์อยู่ เรียนไม่ได้ด้วยการอ่าน ด้วยการฟัง ด้วยการคิด เราจะเข้าใจธรรมะได้ ครูบาอาจารย์สอนให้แล้วก็ต้องลงมือปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมมันมีต้องรักษาศีล ต้องทำสมาธิ ฝึกจิตฝึกใจให้ตั้งมั่นให้มีกำลัง เมื่อจิตใจตั้งมั่นมีกำลังแล้วก็ต้องฝึกเจริญปัญญา อย่างถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ถึงไปเกาะครูบาอาจารย์อยู่ มันก็ได้แค่เอาไว้อวดคนเท่านั้นว่าเป็นลูกศิษย์มีครู หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 20 มิถุนายน 2568
ที่จิตเข้าถึงพระนิพพาน เป็นจุดที่เข้าถึงสันติอย่างแท้จริง สงบ ในความสงบนี่มีบรมสุข เป็นบรมสุขเพราะไม่มีอะไรเสียดแทงได้แล้ว ไม่มีอะไรเสียดแทงจิตใจของเราได้อีกต่อไป เกิดจากการที่เราหัดเจริญสติมานั่นล่ะ จากสติปัฏฐานในเบื้องต้นจนกระทั่งเราได้จิตตั้งมั่น พอเรามีจิตตั้งมั่นแล้วเราแยกขันธ์ได้ ต่อมาเราเห็นขันธ์แต่ละขันธ์ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ แล้วก็ต่อมาปัญญามันแก่กล้ามันก็วาง พระอนาคามีก็วางได้ระดับหนึ่ง พระอรหันต์ท่านวางขันธ์ทั้งหมด ขันธ์ตัวสุดท้ายที่วางคือตัววิญญาณตัวจิตนั่นเอง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 15 มิถุนายน 2568
จงทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป ก็คือเห็นจิตมันทำงานไป เหมือนที่เราเห็นรูปทั้งหลายมันเคลื่อนไหวไป เราไม่ได้สั่ง เราไม่ได้เลือกว่าจะเห็นรูปที่สวยงาม หรือรูปที่น่าเกลียดอะไร เราไม่ได้เลือก จิตจะรู้อารมณ์ที่พอใจ หรือรู้อารมณ์ที่ไม่พอใจ เราก็เลือกไม่ได้ ใช้หลักอย่างนี้เลย ทำญาณเห็นจิตเหมือนที่ตาเห็นรูป ตาไม่เลือกรูป จิตก็ไม่เลือกอารมณ์ แล้วเห็นรูปแล้วจะเกิดสุขหรือเกิดทุกข์ จิตก็เหมือนกันกระทบอารมณ์แล้ว จะเกิดสุขหรือเกิดทุกข์ ก็เลือกไม่ได้เหมือนกัน ตามรู้ตามเห็นไป สุดท้ายก็จะเห็นทั้งกายทั้งจิตตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ มีแต่ของไม่เที่ยง มีแต่ของที่ถูกบีบคั้นให้แตกสลาย อย่างที่มองพระพุทธรูป เราเห็นพระพุทธรูปชัด แล้วจิตก็ถูกบีบคั้นให้แตกสลาย จิตที่ดูรูปมันเริ่มเบลอๆ ไป หมดสภาพ มันไปได้ยินเสียงชัดขึ้นมา ฟังเสียงแป๊บเดียว ใจหนีไปคิด เสียงจะเบลอๆ ไปแล้ว เคยคุยกับใครสักคนหนึ่งไหม แล้วก็เขาคุยๆ อยู่ แล้วใจเราไปคิดเรื่องอื่น เราไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร เห็นไหม เพราะอะไร จิตเราไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว จิตเราไม่ได้อยู่ที่เสียง จิตเราหนีไปอยู่ที่อื่น ฉะนั้นจิตรู้อารมณ์ได้ครั้งละอย่างเดียว แล้วมันเลือกอารมณ์ไม่ได้ด้วย จะสั่งว่าต้องเห็นรูปตลอดเวลา ต้องได้ยินเสียงตลอดเวลา อย่าคิด อะไรอย่างนี้ สั่งไม่ได้สักอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่เราดูจิตเหมือนตาเห็นรูป เราก็ดูจิตมันแสดงไตรลักษณ์ไปนั่นล่ะ เราไม่เลือกรูป ตาไม่เลือกรูป เจอรูปแล้วจะพอใจไม่พอใจ ก็สั่งไม่ได้ ห้ามไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ แล้วรูปทุกอย่างที่เห็นเกิดแล้วก็ดับ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 14 มิถุนายน 2568
มีโอกาสแล้วอย่าขี้เกียจ เข้มแข็งไว้ ต้องสู้ ต้องเอาตัวรอดให้ได้ ศาสนาพุทธอยู่ไม่นานหรอก พวกเราก็เห็นอยู่แล้วทุกวันนี้เป็นอย่างไร พุทธบริษัทเป็นอย่างไร ภิกษุบริษัทเป็นอย่างไรก็เห็นอยู่ ภิกษุณีบริษัทไม่มีแล้ว อุบาสกอุบาสิกาเป็นอย่างไร ลองดูรอบตัวเราสิ ศาสนาพุทธไม่ได้ดำรงอยู่ที่วัด ไม่ได้ดำรงอยู่ที่ไหนเลย แล้วถ้าจิตใจของเราปิดกั้นรองรับธรรมะไม่ได้ ศาสนาก็สูญไป ตอนนี้มีโอกาส ถือว่าในสังสารวัฏที่ยาวไกล ชาตินี้ของเราเป็นนาทีทองในสังสารวัฏ เพราะพระศาสนายังดำรงอยู่ หลักสติปัฏฐานยังดำรงอยู่ ตราบใดที่ยังมีสติปัฏฐาน มีผู้เดินตามสติปัฏฐาน มีสติรู้กายในกาย มีสติรู้เวทนาในเวทนา มีสติรู้จิตในจิต รู้ธรรมในธรรมอยู่ ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติอยู่ มรรคผลนิพพานยังไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย น่าสงสารตรงที่ว่าชาวพุทธเรา แทบไม่เคยได้ยินคำว่าสติปัฏฐานเลย หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 มิถุนายน 2568
เมื่อเช้าก็เริ่มมีพวกทิดมาส่งการบ้าน เริ่มต่อรองแล้ว เริ่มต่อรองแล้ว อ้างโน่น อ้างนี่ จะภาวนาแล้วข้ออ้างเยอะ นิพพานก็จะเอา โลกก็จะเอา จะเอาหมดทุกอย่าง ของมันสวนทางกัน อยากนิพพานก็ต้องออกจากโลก อยากได้โลกก็เอานิพพานเอาไว้ทีหลัง อย่าต่อรอง สู้ตาย ต้องเอาให้ได้ ถ้าเริ่มต่อรองจุดที่หนึ่ง เดี๋ยวก็มาเจรจาเขยิบมาอีกหน่อยหนึ่ง คล้ายๆ ที่ชายแดนเรา เจรจาไปมันก็รุกมา รุกเข้ามาๆ พวกเราก็สไตล์เดียวกัน อย่ามาเคลมที่นี่ มาต่อรอง แล้วก็รุกคืบที่จะไม่ภาวนา พวกเราอย่าพยายามต่อรองเลย ที่ให้ทำแค่นี้ยังน้อย อีกหน่อยเยอะกว่านี้อีก อดทน อยากได้ดีก็ต้องทนเอา ขี้เกียจแล้วมันจะดีได้อย่างไร ทำไมเราขี้เกียจ เพราะเรารักตัวเอง ถ้าเรารักตัวเอง เราก็ตามใจปรนนิบัติมันไปเรื่อยๆ ก็อยู่กับโลกไปเรื่อยๆ ต้องยอมเห็นทุกข์เห็นโทษ มันถึงจะข้ามโลกได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 มิถุนายน 2568