ธรรมะเพื่อการเจริญสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางโดยพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม A collection of the Lord Buddha's teachings conveyed by the venerable Luangpor Pramote Pamojjo, a master teacher of mindfulness for the modern world and Vipassana meditation.
Listeners of หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม that love the show mention: teaching.

"ทำอย่างไรจิตเราจะยอมรับความจริงคือยอมรับธรรมะได้ ธรรมะคือตัวสัจธรรมคือตัวความจริง มี 2 ส่วน สัจธรรมที่อยู่กับโลกกับสัจธรรมที่อยู่เหนือโลก สัจธรรมที่อยู่กับโลกก็คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มีเหตุมันก็จะเกิดเมื่อหมดเหตุมันก็ดับ มันไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา ธรรมะที่เหนือโลกก็คือไม่มีเหตุ เพราะฉะนั้นไม่มีเกิดไม่มีดับ มีสิ่งเดียวนั่นคือพระนิพพาน ทีนี้ก่อนที่เราจะไปถึงนิพพาน เราต้องเข้าใจธรรมะประจำโลกก่อน จนใจมันเบื่อหน่ายคลายออกจากโลก เราถึงจะพ้นโลกได้ พ้นโลกก็คืออยู่เหนือโลกหรือคำว่า "โลกุตตระ" นั่นเอง ฉะนั้นเราจะไปสู่โลกตตุระจะไปสัมผัสพระนิพพานได้ เราต้องเข้าใจโลกให้แจ่มแจ้ง เราสังเกตตั้งแต่ของภายนอกจริงหรือไม่จริง มีลาภก็ต้องเสียไป ได้มาก็ต้องเสียไป ทำงานได้เงินมาใช่ไหม ก็ต้องกินต้องใช้ ก็หมดไปสิ้นไป หรือชีวิตร่างกายเราทุกวันหมดไปสิ้นไปทุกวันๆ ที่จริงถ้าดูละเอียดเข้าไปหมดไปสิ้นไปทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าทีหนึ่งชีวิตเราก็สั้นลงทีหนึ่ง หายใจออกทีหนึ่งชีวิตเราก็สั้นลงทีหนึ่ง ถ้าเราเห็นความจริงได้ จิตมันยอมรับความจริง จิตมันเข้าใจธรรมะแล้วมันจะไม่ทุกข์" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม แสดงธรรม ณ บ้านจิตสบาย 16 พฤศจิกายน 2568

"จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติ เราต้องรักษาศีลไว้ก่อน สิ่งที่จะต้องพัฒนาอันต่อไปก็คือสติ เพราะสตินี้ไม่ใช่สติธรรมดา สติที่พูดถึงคือสัมมาสติ สิ่งที่พวกเราต้องฝึกคือสติปัฏฐาน สติปัฏฐานมันมี 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกฝึกให้เกิดสติ ทันทีที่เกิดสติที่ถูกต้อง สัมมาสมาธิก็จะเกิดร่วมด้วยทันที เราก็จะได้เครื่องมือ 2 ตัวแล้ว จะได้สัมมาสติกับสัมมาสมาธิ เมื่อเรามีเครื่องมือคู่นี้ เราถึงจะเจริญปัญญาได้ การทำสติปัฏฐานขั้นต้น ทำให้เกิดสติกับสมาธิ ขั้นปลายทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 พฤศจิกายน 2568





"ทำกรรมฐานในรูปแบบ แล้วคอยรู้ทันจิตตัวเองไว้ 2 อย่าง จิตลืมกรรมฐาน กับจิตเพ่งกรรมฐาน ถ้าได้ 2 ตัวนี้แล้ว มันจะตัดเข้าไปสู่จิตตานุปัสสนา สู่ธัมมานุปัสสนาได้อย่างรวดเร็ว ถ้าดูตัวนี้ไม่ได้ จิตไปเพ่งก็ไม่รู้ จิตไปคิดก็ไม่รู้ ดูกายไป ดูกายไปเรื่อยๆ หรือมีเวทนาในกาย มีเวทนาในใจ มีกุศลอกุศลในใจ ก็ค่อยๆ ค่อยเรียนไปตามลำดับไป สุดท้ายมันก็เข้ามาที่จิต ครูบาอาจารย์ถึงสอน ได้จิตก็ได้ธรรมะ ไม่ได้จิตก็ไม่ได้ธรรมะ เห็นจิตคือเห็นธรรม ไม่เห็นจิตก็ไม่เห็นธรรม ฉะนั้นอย่างเราเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นเจตสิก ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ได้ธรรมะหรือยัง ยัง ยังไม่ถึงจิต ต้องเห็นจิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเราของเรา อันนั้นล่ะได้ธรรมะแล้ว" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 พฤศจิกายน 2568


"อยากได้ของดีก็ต้องลงทุน ไม่กลัวความลำบาก ยังมีแรงก็รีบภาวนา เมื่อก่อนหลวงพ่อเคยเจอครูบาอาจารย์องค์หนึ่งท่านบอกว่า เวลาเราเอาของไปถวายพระเรามักจะเลือกของดีๆ ไปถวาย ทีนี้ทำไมเวลาเราปฏิบัติธรรม เราไม่ใช้ช่วงเวลาที่ดีของเรา คือช่วงที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ช่วงที่เราแข็งแรง เอาเวลาช่วงนี้ไปหลงโลกมากไป เว้นแต่เรื่องว่าต้องทำมาหากิน อันนั้นเป็นหน้าที่ของฆราวาส แต่พอมีโอกาสแล้วก็ไม่ยอมปฏิบัติ ฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คิดโน้นคิดนี้ไป พระพุทธเจ้าบอกว่าคนมีอายุ 100 ปี แต่ไม่มีสติ ไม่ได้อะไร ไม่ได้สาระอะไรเลย สู้คนซึ่งมีสติวันเดียว ท่านใช้คำว่าหนึ่งราตรี มีชีวิตที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะอยู่หนึ่งราตรีหนึ่งคืน ยังมีประโยชน์มากกว่าคนอายุ 100 ปี ที่ไม่เคยภาวนา ท่านบอกอย่างนี้ ฉะนั้นตัวเวลาไม่ใช่ตัวสำคัญว่าภาวนากี่ปี ตัวสำคัญก็คือเรามีสติแค่ไหน เห็นไหมหลวงพ่อทำงานแต่ว่าเราปฏิบัติธรรมทั้งวันเลย แทรกตอนไหนมีโอกาส พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่าทำให้น้อยเจริญให้น้อย ไม่เคยสอนเลย มีแต่บอกทำให้มากเจริญให้มาก ไปเอาบทเรียนที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังไปทำ ปฏิบัติตั้งแต่ตื่นจนหลับ ยกเว้นเวลาที่ทำงานที่ต้องคิดเท่านั้นล่ะ ถ้าทำได้ แล้วมันจะไม่ได้ดีมันเป็นไปไม่ได้เลย ทำเหตุที่ถูกต้อง ต้องถูกด้วย ไม่ใช่ขยันภาวนาแต่ภาวนาผิด เรียนที่หลวงพ่อบอก หัดเจริญสติไป มีศีล มีสติ มีสมาธิ มีปัญญาไป" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 พฤศจิกายน 2568

"คีย์เวิร์ดในการภาวนาที่หลวงพ่อสอน สำหรับการทำวิปัสสนา ให้เรามีสติรู้กายรู้ใจ ไม่ใช่สติรู้อย่างอื่น รู้อย่างไร รู้ตามความเป็นจริง ไม่เข้าไปดัดแปลง ไม่เข้าไปแทรกแซง อย่างใจเราโกรธ รู้ว่าโกรธ ไม่ต้องแทรกแซงให้หายโกรธ มันเป็นอย่างไรรู้ว่าเป็นอย่างนั้น มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง จะรู้ตามความเป็นจริงได้ ต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่น คือจิตที่ทรงสัมมาสมาธินั่นล่ะ พอรู้แล้ว ปฏิกิริยาถัดไปก็คือยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง ต่อสิ่งที่เราไปรู้ไปเห็นเข้า ตรงนี้ให้รู้ทันความยินดียินร้าย ความชอบไม่ชอบ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 พฤศจิกายน 2568

"วิธีฝึกให้จิตตั้งมั่น เราก็ทำใจสบายๆ อยู่กับกรรมฐานของเราไป สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่างมัน อยู่กับกรรมฐานไป จนใจเราเชื่อง คล้ายๆ หมดความดิ้นรนแล้ว แล้วต่อมาพอจิตมันไหลไปคิดเราจะเห็น หลุดออกจากฐานแล้วไปเห็น หรือบางทีก็ถลำลงไปเพ่งไปจ้องอารมณ์กรรมฐาน แต่ส่วนใหญ่เวลาจิตมันตั้งมั่นอย่างนี้สิ่งที่มันจะพลาด ก็คือจิตมันแส่ส่าย แล้วไม่เห็นว่ามันกำลังแส่ส่ายแสวงหาว่าจะดูอะไรดี ฉะนั้นถ้าจิตเราเข้าฐานจิตเราตั้งมั่นได้แล้ว จิตมันแส่ส่ายให้รู้ว่าแส่ส่าย ไม่ต้องพยายามทำให้มันนิ่ง ส่วนใหญ่พอจิตมันส่าย แป๊บเดียวหลงไปที่อื่น หรือไม่ก็ส่ายๆ แล้วก็พยายามบังคับให้นิ่ง ตรงนั้นไม่ถูก พอจิตเราตั้งมั่น จิตเราว่างๆ ขึ้นมา ไม่ได้ฟุ้งซ่านอะไร สงบว่างๆ มันรู้สึกว่าน่ากลัว รู้สึกอยู่ไม่ได้ ต้องหาอะไรเกาะสักอย่างหนึ่ง อันนั้นจิตมันยังอ่อนแอ ถ้าจิตมันแส่ส่ายจะไปหาอารมณ์ที่อยากเกาะ ที่จะเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัย ให้รู้ทัน จิตก็จะหยุดการแส่ส่ายแล้วก็ตั้งมั่นขึ้นมาอีก นี่วิธีฝึกจิตให้ตั้งมั่น ตัวนี้สำคัญ จิตไม่ตั้งมั่นภาวนาวิปัสสนาไม่ได้ จิตสงบได้แต่สมถะ ถ้ามีจิตตั้งมั่นถึงจะทำวิปัสสนาได้" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 31 ตุลาคม 2568

"ดูไปเรื่อยๆ แต่ละตัวๆ ทำงาน สุดท้ายเราแยกได้ว่าจิตนั้นเป็นคนรู้ เป็นคนรู้ร่างกาย เป็นคนรู้เวทนา เป็นคนรู้สังขาร จิตเองก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้หลง เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปดูรูป เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้หลงไปฟังเสียง เดี๋ยวเป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้หลงไปดมกลิ่น เราจะเห็นว่าตัวจิตเองก็เกิดดับ จิตไม่ได้มีดวงเดียว จิตเกิดดับตลอดเวลา พอดูไปเรื่อยๆ เราก็จะเข้าใจจิตเองก็ไม่เที่ยง จิตรู้ก็ไม่เที่ยง จิตหลงก็ไม่เที่ยง จะหลงทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น สุดท้ายเราจะรู้ว่าจิตทั้งหมดไม่เที่ยง แล้วจิตทำงานได้เอง ทำงานไปตามที่เคยชิน เราก็จะรู้ว่าจิตไม่ใช่ตัวเรา จิตเป็นอนัตตา ตัวนี้เราก็จะเข้าใจความจริงแล้ว ภาวนาต่อไป เราก็จะปล่อยวางขันธ์ 5 ปล่อยวางกายปล่อยวางใจได้ เมื่อปล่อยวางได้ เราก็ไม่ทุกข์อีกแล้ว มันทุกข์เพราะยึดถือ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 30 ตุลาคม 2568

"สิ่งสำคัญคือเราจะต้องเห็นรูปธรรมนามธรรมตามความเป็นจริง ถึงเรียกว่ารู้ทุกข์ ในอริยสัจ 4 ท่านสอนว่า ทุกข์ให้รู้ ก็คือรู้ว่าตัวขันธ์ 5 ตัวรูป ตัวนาม ตัวตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือตัวทุกข์ ถ้าเห็นอย่างนี้ได้ถึงจะปล่อยวางได้ เห็นทุกข์อย่างนี้ เห็นว่าขันธ์เป็นทุกข์ รูปนามเป็นทุกข์ คือทุกขสัจ เพราะฉะนั้นความสุข ความสุขก็เป็นในใจเรามีความสุขขึ้นมา อันนั้นสุขเวทนา แต่พอมองในมุมของทุกขสัจ ความสุขก็คือทุกขสัจตัวหนึ่งอยู่ในทุกขสัจ หยิบเข้าไปเมื่อไรแล้วเดือดร้อนเมื่อนั้น มันเป็นทุกข์ มันทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง มันทุกข์เพราะมันถูกบีบคั้นให้แตกสลาย มันทุกข์เพราะมันไม่อยู่ในอำนาจบังคับ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 26 ตุลาคม 2568

"ความสุขของคนหลงโลก มันไม่มีอะไรยั่งยืน มันไม่ใช่ความสุข มันเป็นความทุกข์ แต่ว่าความเขลา มันทำให้หลงไปกอดเอาความทุกข์มาเป็นความสุข อย่างร่างกายเรานี้คือตัวทุกข์ คนเขลาก็กอดร่างกายนี้ ว่าเป็นตัวเราของเรา จิตใจก็คือตัวทุกข์ คนเขลาก็ไปกอดจิตใจว่าเป็นตัวเราของเรา มันเป็นลำดับ คนธรรมดาไม่ได้ภาวนา มันก็ไปเกาะติดสิ่งโน้นสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ นักภาวนา เราก็จะเห็น โอ้ เราเข้าไปยึดกายเราก็ทุกข์ เราไปยึดจิตเราก็ทุกข์ ถ้าไม่ยึดจะไม่ทุกข์ สติปัญญามันเพิ่มขึ้นแล้ว รู้ว่าถ้าอยาก ถ้ายึดก็ทุกข์ ไม่อยาก ไม่ยึด ก็ไม่ทุกข์ ก็พยายามจะไม่อยาก พยายามจะไม่ยึด ตรงพยายามไม่อยาก พยายามไม่ยึดนั่นล่ะ ยึดเรียบร้อยแล้ว ยึด ทฤษฎีว่า ถ้าไม่อยาก ไม่ยึด ก็ไม่ทุกข์ ยังยึดความเห็นนี้อยู่ แล้วทำไมมันอยากไม่ทุกข์ ก็เพราะมันรักตัวเอง มันถึงอยากไม่ทุกข์ อยากให้ไม่มีความอยาก เพื่อจะได้ไม่ทุกข์ เห็นไหมมันยังพลาดอยู่ใช่ไหม จริงๆ ก็คือยังหลงรักตัวเองอยู่นั่นเอง ถ้าภาวนาเรื่อยๆ ทำสติปัฏฐาน ทำวิปัสสนากรรมฐานไปตามลำดับ ไม่รีบร้อน ไม่คิดเอา สุดท้ายมันก็เห็นความจริง กายนี้คือตัวทุกข์ จิตนี้คือตัวทุกข์ จะอยากหรือไม่อยาก จะยึดหรือไม่ยึด กายนี้ก็คือตัวทุกข์ จิตนี้ก็คือตัวทุกข์ ถ้าเห็นอย่างนี้ เรียกว่าเราเห็นทุกขสัจแล้ว เห็นขันธ์ 5 เป็นตัวทุกข์ มันทุกข์โดยตัวของมัน มันทุกข์ ไม่ใช่ว่าเราต้องไปยึดมันถึงจะทุกข์หรอก อย่างเราไม่ยึดร่างกายนี้ ร่างกายยังทุกข์ไหม มันก็ยังทุกข์อยู่" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 ตุลาคม 2568

"ถ้าเราเดินไปตามลำดับขององค์มรรค พัฒนาตัวเองไป ตั้งใจรักษาศีล ศีลเป็นฐานที่สำคัญ สร้างตึกยังต้องมีเสาเข็มเลย ศีลก็คือเสาเข็ม เมื่อตั้งใจรักษาศีลแล้ว ขั้นต่อมาคือฝึกจิต การทำสมาธิ คือการฝึกจิตให้พร้อมสำหรับการเจริญปัญญา ถ้าจะฝึกจิตให้สงบ ก็น้อมจิตไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวที่มีความสุขอย่างต่อเนื่อง พาจิตไปรู้อารมณ์อันนั้น ไม่บังคับ จิตจะหนีจากอารมณ์นั้นเมื่อไรก็ได้ แต่หนีแล้วเรารู้ไวๆ หน่อย แล้วก็ไม่ต้องอยากสงบ อยากสงบก็ผิดทันทีแล้ว คนส่วนใหญ่ที่ภาวนาแทบเป็นแทบตายแล้วไม่ได้ผล เพราะทำผิด ผิดตรงที่เริ่มต้นก็จะเอาสมาธิ สัมมาสมาธิมันตามหลังสัมมาสติมาในองค์มรรค นึกออกไหม มีสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ทีนี้อยู่ๆ บอกจะเอาสัมมาสมาธิโดยไม่เคยฝึกสติ มันก็จะได้มิจฉาสมาธิ เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติส่วนใหญ่ที่ทำสมาธิ คือมิจฉาสมาธิ นั่งเพ่ง นั่งจ้อง นั่งเครียดๆ นั่งเคลิ้บเคลิม เห็นโน้นเห็นนี้ สัมมาสมาธิมาจากสัมมาสติ สัมมาสติมาจากสัมมาวายามะ สัมมาวายามะหมายถึง จิตใจเรามีความกล้าหาญ ห้าวหาญที่จะต่อสู้กับกิเลส ที่จะไม่ให้กิเลสมาเกิดอีก ที่จะทำให้กุศลที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น กล้าหาญที่จะรักษากุศลเอาไว้ ต้องใช้ความกล้าหาญ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม แสดงธรรม ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 19 ตุลาคม 2568

"หลวงพ่อทำสมาธิมาเยอะ ดูแล้วไม่มีคนทำ ก็เลยรู้เลยว่า จุดสำคัญทำที่ให้ไม่เจริญก้าวหน้าในธรรม คือสมาธิไม่ถูกต้อง ถ้าจะทำสมาธิ ต้องรู้ว่าสมาธิต้องประกอบด้วยสติเสมอ และสมาธิมี 2 อย่าง คือ มิจฉาสมาธิกับสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิยังแยกเป็นอีก 2 อัน หนึ่งฝึกให้จิตสงบ สงบแต่มีกำลัง มีความสุข อีกอันหนึ่ง ฝึกให้จิตตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 24 ตุลาคม 2568

"หลักสูตรที่จะทำให้เราพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งนำไปสู่ความพ้นทุกข์สิ้นเชิง หลักสูตรที่ท่านสอนอันนี้ชื่อว่าสติปัฏฐาน ท่านบอกสติปัฏฐานเป็นทางสายเอก เป็นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเราจะต้องเรียนให้มาก เจริญให้มากก็คือการเรียนรู้สติปัฏฐาน 4 การทำสติปัฏฐานคือมีสติระลึกรู้กายระลึกรู้ใจ ระลึกรู้ร่างกาย ละเอียดขึ้นคือการระลึกรู้เวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ ละเอียดขึ้นก็คือระลึกรู้สังขารความปรุงดีปรุงชั่ว ละเอียดขึ้นไปอีกก็คือรู้ถึงสภาวะของจิตจริงๆ ละเอียดขึ้นไปก็จะเห็นธรรม ธรรมคือสัจธรรมความจริง ตั้งใจรักษาศีลไว้ก่อนแล้วฝึกสติ ฝึกสติก็คือระลึกรู้กายระลึกรู้ใจ ถนัดรู้กายได้ก็รู้กาย ถนัดรู้เวทนาได้ก็รู้เวทนา ถนัดดูจิตที่เป็นกุศลได้ก็ดูไป หรือชำนิชำนาญก็เห็นจิตเกิดดับ ทางทวารทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ดูไป เดี๋ยววันหนึ่งมันจะค่อยๆ เข้าใจ เข้าใจเบื้องต้น เข้าใจว่าตัวเราไม่มี เบื้องปลายก็จะเข้าใจว่า สิ่งที่มีอยู่คือตัวทุกข์ เมื่อรู้ทุกข์แจ่มแจ้ง จิตมันไม่เอา มันปล่อยวางได้ เมื่อมันปล่อยวางได้ จิตใจเราก็ไม่มีภาระ จิตมันว่าง" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม แสดงธรรม ณ โรงแรมเดอะซายน์ พัทยา 23 ตุลาคม 2568

"จุดแรกที่เราจะลงมือภาวนา ใจต้องสู้ ใจต้องห้าวหาญ ตรงที่ใจเรากล้าหาญ เรียกว่าเรามีสัมมาวายามะ หรือความเพียรชอบ ความเพียรไม่ใช่แปลว่าขยัน ความเพียรมาจากคำว่า "วีระ" กล้าหาญ เพราะฉะนั้นสัมมาวายามะ ก็จะต้องมีความเพียรชอบ คือมีใจที่กล้าหาญที่จะต่อสู้กับกิเลส กล้าหาญที่จะพัฒนากุศลที่มีอยู่ พัฒนากุศลให้งอกงามออกไป ฉะนั้นถ้าเริ่มต้นใจอ่อนแอ ท้อแท้ ป้อแป้ ไม่ได้กินหรอก ฉะนั้นเวลาเรียนกับหลวงพ่อ ใครมา โอ๊ย โอดครวญ หนูไม่ดีเลย หนูเป็นอย่างนั้น หนูเป็นอย่างนี้ หนูท้อแท้ โอ๊ย ฟังแล้วอยากเบิ๊ดกระโหลก ฉะนั้นเรียนธรรมะกับหลวงพ่อ อย่าอ่อนแอ สนามรบอันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เป็นสนามรบที่เราจะสู้กับมาร สู้กับกิเลส เพื่อจะข้ามวัฏฏะให้ได้ ฉะนั้นถ้าเราอ่อนแอ เราก็แพ้มารตลอด เพราะฉะนั้นไปปลุกใจตัวเองให้มันองอาจกล้าหาญ เมื่อก่อนหลวงพ่อเวลาภาวนาแล้วมันท้อแท้ มันเหนื่อยหน่าย ก็คิดถึงครูบาอาจารย์ ก่อนที่ท่านจะมาเป็นครูบาอาจารย์ของคน ของเทวดาได้ ท่านก็เป็นคนอย่างเรานี่ล่ะ มี 2 มือ 2 เท้าเหมือนกัน ท่านทำได้เราก็ต้องทำได้ ต้องตามท่านไปให้ได้ ดูท่านเป็น Idol เมื่อก่อนท่านก็มีกิเลส เมื่อก่อนท่านก็ล้มลุกคลุกคลาน ท่านผ่านมาได้ด้วยความอดทน ด้วยวีระ ด้วยความเพียร กล้าหาญ ท่านทำได้ เราเดินตามหลังท่านก็ต้องทำได้ แล้วมาได้ง่ายกว่าท่านอีก อย่างพระพุทธเจ้าถือเป็นสุดยอดเลย เพราะท่านทำความเพียรจนกระทั่ง ท่านบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณได้ ไม่มีใครสอนท่าน เราได้เปรียบท่านเยอะเลย เราได้เรียนธรรมะที่ท่านสอนเอาไว้ ที่พระสาวกสอนเอาไว้ ที่ครูบาอาจารย์ที่ดีๆ สอนเอาไว้" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 18 ตุลาคม 2568



"มนุษย์ในโลกใฝ่ฝันอิสรภาพ ใฝ่ฝันเสรีภาพ ก็ได้แต่ฝันแล้วไม่มีจริง ในโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยพันธนาการ เต็มไปด้วยภาระ แต่ถ้าเราเข้าใจธรรมะ เข้าใจธรรมะคือเข้าใจความจริงของโลก เข้าใจความจริงของชีวิต เข้าใจความจริงของร่างกายจิตใจ เราจะเข้าใจโลกเข้าใจชีวิตได้ ถ้าเราเรียนรู้จนเข้าใจความจริงของร่างกายจิตใจได้ เพราะร่างกายจิตใจก็คือโลก เป็นส่วนหนึ่งของโลกนั่นเอง ถ้าเข้าใจตรงนี้ก็จะเข้าใจโลกทั้งหมด พอไม่ยึดถือที่จิตดวงเดียว ก็ไม่ยึดถือกายไม่ยึดถือใจ ไม่ยึดถือโลกทั้งโลก อะไรจะเกิดขึ้นจิตจะไม่หวั่นไหว" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 ตุลาคม 2568



"ความสุขภายในเราจะทำอย่างไร เราก็สร้างคุณงามความดี เรารักษาศีลของเรา การรักษาศีลมันทำให้จิตใจเราร่มเย็นเป็นสุข อย่างคนมีศีลใจมันจะมีความสุขกว่าคนทุศีล อย่างคนขโมยเขาอย่างนี้ปล้นเขาจิตใจไม่ได้มีความสุข คนที่รู้จักให้รู้จักแบ่งปันมีความสุขมากกว่า ทำทานก็เพื่อจิตใจเราได้พัฒนาเป็นบุญ บุญนั้นเป็นชื่อของความสุข เพราะฉะนั้นที่เราทำทานเราก็ได้ความสุขเป็นเครื่องตอบแทน เราไม่ไปเป็นชู้กับใคร ใจเราสงบสุข หรือเราไม่กินเหล้าเมายาอย่างนี้ คนกินเหล้าคนติดยาเสพติดพิกลพิการเยอะแยะเลย ที่กินๆ อยู่ก็เลิกๆ เสีย แล้วชีวิตมันจะสงบสุข ภาวนา อันนี้สุดยอดของความสุขเลย ถ้าเราภาวนาได้ธรรมะ เราจะรู้เลยว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นสมบัติสำคัญที่สุดเท่ากับธรรมะ มีเงินพันล้านวันหนึ่งก็เป็นของคนอื่น แต่เราภาวนาเรื่อยๆ ใจเรามีศีลมีธรรมขึ้นมา มันอยู่กับเราทั้งชีวิต ตายไปมันก็ไปด้วยความดีงาม เวลาจะตายจะไม่หวั่นไหว ไม่กลัวตายแล้วจะไปไหน ขอให้ภาวนาให้ดีเถอะ มันจะรู้สึกว่าถึงเวลาที่จะลอกคราบแล้ว ลอกคราบอันเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมทิ้งไป ไม่เห็นน่าเสียดายเลย ใจมันสงบสุข มีความสุข กล้าหาญ เบิกบาน ภาวนาเรื่อยๆ ปัญญาขั้นต้น จะเห็นว่าตัวเราไม่มี ปัญญาขั้นกลางก็จะเห็นว่าร่างกายที่มีอยู่ไม่ใช่ตัวเราแต่เป็นตัวทุกข์ ภาวนาขั้นสูงสุดเลย ก็จะเห็นว่าจิตใจนี้ที่ว่ามันไม่ใช่ตัวเราแล้วจริงๆ มันเป็นตัวทุกข์ ถ้าเห็นถึงตรงนี้จิตจะข้ามสังสารวัฏได้ จิตจะปล่อยวางจิต คืนจิตให้โลก สลัดคืนขันธ์ 5 ให้โลกไป ไม่มีอะไรให้ยึดถืออีกต่อไปแล้ว จิตที่สิ้นความยึดถือมีความสุข มีความสงบที่ไม่มีอะไรเหมือน" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 ตุลาคม 2568







"จิตหลงไปคิด รู้ จิตหลงไปเพ่ง รู้ แล้วพอจิตมันมีแรง เราจะเดินปัญญาได้ มันเห็นขันธ์กระจายตัวออก แล้วแต่ละขันธ์ไม่ใช่ตัวเราของเรา ตัวเราไม่มี แล้วภาวนาเรื่อยๆ ไป ทำเหมือนเดิมนี่ล่ะ แล้วต่อไปปัญญามันแก่รอบขึ้น ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเรา แต่กายนี้คือตัวทุกข์ ทุกข์ล้วนๆ แล้วขั้นสุดท้ายมันจะเห็นว่า จิตเองก็ตกอยู่ในกองทุกข์ ทุกข์ล้วนๆ นี่คือการเห็นทุกข์ รู้ทุกข์แจ่มแจ้ง ก็เป็นอันละสมุทัย คือละตัณหาสิ้นเชิง" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 11 ตุลาคม 2568

ทำไมต้องเรียนอภิธรรม เรียนเพื่อล้างความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน อย่างพวกเรามาเรียนกรรมฐาน กรรมฐานจริงๆ ในขั้นวิปัสสนากรรมฐาน คือการเรียนอภิธรรม อย่างเราเรียนเรื่องรูปธรรม เรื่องนามธรรม อย่างความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือเห็นกระบวนการทำงานของจิต เป็นเรื่องอภิธรรมทั้งหมดเลย เพียงแต่ผู้ปฏิบัติเรียกชื่อไม่เป็น ไม่รู้จักชื่อมัน เราแต่ละคนภาวนา เราจะเห็นสภาวะมากมาย เกิดขึ้นในจิตใจเรา การที่เราทำวิปัสสนากรรมฐาน เราเรียนอภิธรรม เรียนเรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อภิธรรมล้วนๆ เลย เรียนเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะ ก็เรื่องของอภิธรรม เรียนเพื่อจะให้เห็นว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พอเห็นความจริงก็จะเบื่อหน่าย คลายความยึดถือ จิตก็หลุดพ้น จิตที่หลุดพ้นแล้ว มีความสุขมหาศาล หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 ตุลาคม 2568

"พระจะอยู่กันอย่างลำบาก แต่ว่าทำให้การภาวนาเข้มแข็ง พระสบายเกินไปก็ภาวนาย่อหย่อน ฉะนั้นที่นี่จะมีระบบที่ไม่ให้พระสบาย ตื่นเช้าแต่ละกุฏิก็ทำสมาธิ เดินจงกรม ส่วนใหญ่ก็จะเดิน เพื่อจะรีบขับถ่าย อย่างไปนั่งๆ เดี๋ยวไปปวดอึกลางทาง ลำบาก เสร็จแล้วก็ออกมาจัดศาลา ออกไปบิณฑบาต กลับมาก็มาฉันรวมกัน ล้างบาตร ถัดจากนั้นถ้ามีงานของส่วนตัวก็ไปทำ อย่างไปซักผ้า บางทีก็มีงานส่วนกลางก็ต้องไปช่วยกันทำก่อน ตอนเย็นบ่าย 3 โมงมากวาดวัด ทำความสะอาดกุฏิ ศาลา ถ้าวันศุกร์ก็จะมาล้างโบสถ์ด้วย ทำงานเสร็จก็ทำวัตรเย็น ทำวัตรเย็นเสร็จก็ออกไปทำงานฝั่งโน้น ข้ามถนนไป เราปลูกป่าไว้เยอะ ไปรดต้นไม้ แบกน้ำใส่ถังหิ้ว บางช่วงบางที่บางจุดก็เป็นภูเขา ขึ้นเขาหิ้วน้ำขึ้นไป ไปรดต้นไม้ พระบวชมาใหม่ๆ โอดครวญเลยทำไมลำบากอย่างนี้ เรา โอ้ย อยากสู้กิเลสจะเอาแต่สบายจะสู้ได้หรือ อย่างเวลาไปทำงาน จะต้องฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวัน ออกไปเหนื่อย หงุดหงิด รำคาญ เบื่อ ไม่ได้มีหน้าที่บ่น แต่มีหน้าที่ดู ใจเบื่อใจท้อแท้ ดูของตัวเอง ผ่านไปช่วงหนึ่ง จิตใจจะแข็งแรงขึ้น" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 ตุลาคม 2568

"การทำสมถกรรมฐานไม่เลือกอารมณ์ ใช้อารมณ์บัญญัติก็ได้ เช่น เรานั่งสวดมนต์ไปเรื่อยๆ หรือเราคิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงธรรมะหมวดนั้นหมวดนี้ คิดพิจารณาร่างกาย ถ้าเจือการคิดอยู่เรียกอารมณ์บัญญัติ ใช้ทำสมถกรรมฐานได้ แต่ทำวิปัสสนากรรมฐานไม่ได้ ทีนี้จะทำสมถะด้วยอารมณ์ปรมัตถ์ ทำอย่างไร ก็ใช้รูปธรรม นี่ใช้อารมณ์ที่สองแล้วในการทำสมถะ อารมณ์ที่สามคือนามธรรม เราน้อมใจไปอยู่ในความว่าง เราใช้นามธรรมๆ เป็นอารมณ์กรรมฐาน อันที่สี่ คือใช้นิพพานเป็นอารมณ์การทำสมถกรรมฐาน อันนี้เราต้องเป็นพระอริยบุคคล ปุถุชนทำไม่ได้ พวกเรายังทำไม่ได้ เราก็ใช้อารมณ์ 3 ตัวแรกในการทำสมถะ ถนัดตัวไหนก็เอาตัวนั้นล่ะ วิปัสสนาคือการเรียนรู้ความจริงของตัวเอง สิ่งที่เป็นตัวเองอย่างแท้จริงก็คือกายกับใจ คือรูปธรรมนามธรรมที่ประกอบกันขึ้นมา เป็นสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา กายกับใจนี่เอง เพราะฉะนั้นจะเรียนวิปัสสนาใช้อารมณ์บัญญัติไม่ได้ ขืนใช้อารมณ์บัญญัติ แล้วนั่งดูดูตัวเอง นั่งคิดไปเรื่อย ไม่เห็นความจริง เราต้องใช้อารมณ์ปรมัตถ์ อารมณ์ที่มีจริงคือรูปธรรมนามธรรม ใช้นิพพานทำวิปัสสนาไม่ได้ เพราะตรงนิพพานจิตไม่มีงานทำ จิตถึงเข้าไปอยู่กับพระนิพพาน ส่วนอุปปมานุสติ น้อมจิตระลึกถึงความสงบ ถ้าเป็นปุถุชนก็คิดถึงแค่ความสงบ ถ้าเป็นพระอริยบุคคลคิดถึงความสงบ มันจะเข้าไปถึงนิพพานได้ ปุถุชนทำไม่ได้" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 ตุลาคม 2568

"เราไปดูตัวเอง เราอยู่กับกรรมฐานอะไรแล้วจิตเราสบาย เราก็อยู่กับกรรมฐานอันนั้น แล้วการจะอยู่กับกรรมฐานอันนั้น ต้องอยู่แบบสบายด้วย อันแรก เลือกอารมณ์ที่มีความสุข อันที่สอง รู้อารมณ์ที่มีความสุขนั้นด้วยใจธรรมดา ใจที่ธรรมดาจะมีความสุขในตัวของมันอยู่แล้ว ใจที่หิวโหย ดิ้นรน ไม่มีความสุข ฉะนั้นอย่างเรานั่งสมาธิ เราเลือกได้แล้วว่าหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ แล้วเรามีความสุข แต่พอเริ่มหายใจ เราก็เต็มไปด้วยความอยาก ใจเร่าร้อน อยากให้สงบเร็วๆ รับรองไม่สงบหรอก เลือกอารมณ์ถูกแล้ว ยังต้องเอาจิตที่ถูกต้องไปรู้อารมณ์อันนั้นด้วย จิตที่ถูกต้องคือจิตที่ธรรมดา ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เคล็ดลับอยู่ตรงนี้เลย ทำกรรมฐานไป เลือกอารมณ์ที่มีความสุข แล้วจิตสงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง แต่รู้อารมณ์นั้นไป แป๊บเดียวก็สงบแล้ว" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 4 ตุลาคม 2568

"อนุตตริยสูตร คือภาวะอันยอดเยี่ยม 6 อย่าง ท่านบอกว่าการเห็นที่ยอดเยี่ยมก็คือ การได้เห็นพระพุทธเจ้าหรือสาวกของท่าน พอได้เห็นแล้วก็มาถึงการได้ฟัง การฟังที่ยอดเยี่ยมคือ การได้ฟังพระพุทธเจ้าหรือสาวกของท่าน การได้เขาเรียกลาภ มีลาภที่ยอดเยี่ยม คือได้ศรัทธาในพระพุทธเจ้าหรือในสาวกของท่าน พอมีศรัทธาแล้วก็มีสิกขา มีการเรียนที่ยอดเยี่ยม ก็เรียนไตรสิกขาตามธรรมะที่พระพุทธเจ้าประกาศ พอมีการเรียนที่ยอดเยี่ยมแล้วก็มีการบำรุงที่ยอดเยี่ยม คือการบำรุงพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก อันสุดท้ายคือการมีการตามระลึกอันยอดเยี่ยม การระลึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ยังไม่มีสาวก ท่านก็พิจารณาว่าท่านจะเอาอะไรเป็นสรณะ ท่านเอาพระธรรมเป็นสรณะ ต่อมามีพระอริยสงฆ์เกิดขึ้น ท่านก็เลยเอาพระธรรมพระสงฆ์เป็นสรณะ ของพวกเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ท่านไม่ได้ปฏิเสธพระสงฆ์ไม่ได้ปฏิเสธสาวก ธรรมะของท่านแต่ละบทๆ เรียงร้อยไปอย่างงดงามที่สุดเลย อย่างเริ่มต้นท่านบอกได้เห็นพระพุทธเจ้าหรือสาวก พอได้เห็นแล้วก็เข้าไปฟัง ก็ได้ฟังพระพุทธเจ้าหรือสาวก พอได้ฟังแล้วก็เกิดความศรัทธา เลื่อมใสศรัทธา เมื่อเกิดความเลื่อมใสศรัทธาแล้ว ก็ตั้งอกตั้งใจศึกษาในสิ่งที่ท่านสอน คืออธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา เมื่อศึกษาแล้วจิตใจมันจะรู้สึกต้องเกื้อกูล ต้องคอยดูแล ต้องคอยรักษาพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์อะไรอย่างนี้ ใจมันจะเป็นเอง แล้วใจมันจะมีอนุสติมันจะตามระลึกถึงพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์เนืองๆ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 กันยายน 2568

"อนุตตริยสูตร แปลว่าภาวะอันยอดเยี่ยม 6 ประการ อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 22 สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ข้อที่ 1 ชื่อ ทัสสนานุตตริยะ การเห็นอันยอดเยี่ยม การเห็นตถาคตกับสาวกของตถาคต คือการเห็นอันยอดเยี่ยม ท่านไม่ได้กดขี่ว่าสาวกไม่ดี อันที่ 2 ชื่อ สวนานุตตริยะ การฟังอันยอดเยี่ยม การฟังธรรมของตถาคตหรือสาวกของตถาคต อันที่ 3 ลาภานุตตริยะ การได้อันยอดเยี่ยม ได้ศรัทธาแน่นแฟ้นในตถาคตหรือสาวกของตถาคต อันที่ 4 ชื่อ สิกขานุตตริยะ การศึกษาอันยอดเยี่ยม คือศึกษาตามพระธรรมวินัยนี้ ได้แก่ศึกษาอธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา สิ่งที่พวกเราชาวพุทธต้องเรียนก็คือ 3 เรื่องนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือสาวกของท่าน อันที่ 5 ชื่อ ปาริจริยานุตตริยะ การบำรุงอันยอดเยี่ยม ได้แก่การบำรุงสนับสนุนตถาคตหรือสาวกของตถาคต อันที่ 6 อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันยอดเยี่ยม คือการระลึกถึงตถาคตหรือสาวกของตถาคต เห็นไหมท่านไม่ได้ทิ้งสาวก เห็นพระพุทธเจ้าหรือเห็นสาวกก็เป็นเรื่องยอดเยี่ยม ได้ฟังพระพุทธเจ้าหรือได้ฟังพระสาวกของท่านก็เป็นเรื่องยอดเยี่ยม บอกภิกษุที่ได้เห็น ได้ฟัง ได้มา ได้ศึกษา ได้บำรุงสนับสนุน แล้วก็ที่สำคัญคือการเจริญ ตัวสุดท้าย ตัวที่ 6 อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันยอดเยี่ยม ประกอบด้วยวิเวก บอกจะมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตน สำรวมในศีล ย่อมรู้ดี เป็นที่ดับแห่งทุกข์ ไม่ได้บอกว่าต้องฟังแต่พระพุทธเจ้า ถึงจะไปสู่ความดับทุกข์ได้ นี้คือพุทธวจน" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 กันยายน 2568



"ปริยัติสิ่งที่เป็นหลักของเราก็คือพระไตรปิฎก แต่ไม่รู้มันอาถรรพ์อะไร มันเหมือนอาถรรพ์เหมือนต้องคำสาป คนที่พยายามทำลายพระไตรปิฎกมีเสมอ ตอนหลวงพ่อเด็กๆ มีพระผู้ใหญ่องค์หนึ่งออกมาพูดเลย พระไตรปิฎกควรจะตัดอภิธรรมทิ้ง ไม่จำเป็น ทีนี้ตัดพระอภิธรรมทิ้งก็เหลือแต่พระวินัยกับพระสูตร พอมาถึงวันนี้จะตัดพระสูตรอีกแล้ว เลือกเฉพาะพุทธวจน พระสูตรจำนวนมากให้เอาทิ้งไป พระวินัยเอาลดลงเหลือ 150 บอกว่าพุทธวจนะพูดถึงวินัย 150 ข้อที่ให้สวดปาติโมกข์ อันนั้นเป็นการแปลบาลีผิด ท่านเจ้าคุณสมเด็จประยุทธ์ท่านเก่งบาลี ท่านบอกแปลผิดตรงนี้ ในพระสูตรบอกว่า 150 ข้อ และส่วนที่มากกว่านั้น 150 ข้อนั้นเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า อาจจะยุคต้นๆ ก็ได้ ยุคกลางๆ พุทธกาล แล้วหลังจากนั้นท่านก็ยังบัญญัติเพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่ใช่มีแค่นั้น แล้วถ้าอ่านพระวินัยด้วยจะรู้ อย่างเสขิยวัตร 75 ข้อที่เขาจะตัดทิ้ง ท่านระบุว่าให้สวดด้วย ฉะนั้นต้องสวด 227 ถ้าอ่านพระไตรปิฎกให้หมด นี่ก็จะตัด วินัยก็จะตัด พระสูตรก็จะตัด อภิธรรมตัดอยู่แล้ว แล้วมันเหลืออะไร บอกเหลือพุทธวจน จริงๆ ในพระไตรปิฎกมีทั้งพุทธวจน มีทั้งคำสอนของพระเถระ พระเถรี คำพูดคำแสดงธรรมของเทวดา ของฤๅษีของอะไร มีเยอะแยะเลย ของเปรตยังมีเลย พวกเปรตมันได้รับความทุกข์ก็พูดเป็นธรรมะขึ้นมา มีครูบาอาจารย์องค์หนึ่งหลวงพ่อเคยเข้าไปกราบ คือหลวงปู่มหาเขียน พระอริยเวที องค์นี้จบเปรียญ 9 ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เก่งทั้งปริยัติทั้งปฏิบัติ ท่านบอกเลยว่าท่านท่องพระไตรปิฎกได้ แล้วท่านบอกพระไตรปิฎกทั้งหมด ทุกเรื่องเลยสอนเรื่องการปฏิบัติทั้งนั้น คนที่รู้จริงมองปุ๊บบอกตรงนี้เป็นเรื่องปฏิบัติ อันนี้ก็ปฏิบัติ ไม่ใช่ตัดทอนไปเฉยๆ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 21 กันยายน 2568


"ว่างกับว่างเปล่าไม่เหมือนกัน ว่างเปล่ามันไม่ใช่ อะไรๆ ก็ไม่เอา อะไรก็ไม่ยึดอะไรอย่างนี้ อันนี้มโนเอา ฉะนั้นก่อนที่เราจะสัมผัสความว่างนี้ ให้เราเรียนรู้ความวุ่นไว้ อะไรเป็นตัววุ่นวาย ขันธ์ 5 เป็นตัววุ่นวาย เป็นตัวปรุงแต่ง ตามรู้ตามเห็นมันไป จนกระทั่งมันวางเอง ไม่ต้องอวดอุตริไปวาง แล้วว่างอันนี้มันจะไม่เหมือนว่างที่เราไปอ่านหนังสือเซน เลยทำใจว่างๆ ขึ้นมา ไม่เหมือนกันเลย ว่างอันนั้น แกล้งทำเป็นภพอันหนึ่ง ส่วนว่างจริงมันพ้นจากภพแล้ว คนละแบบ แล้วคนละเรื่องกันเลย คนละวิธีการ ว่างอันนั้นมโนเอา คิดเอา ถ้าว่างจริงเกิดจากปัญญา รู้แจ้งแทงตลอดในความจริงของรูปนาม ขันธ์ 5 ไม่เหมือนกัน ถ้าว่างจริงก็จะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ จะเห็นอย่างนี้" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 20 กันยายน 2568