ธรรมะเพื่อการเจริญสติ รู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลางโดยพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม A collection of the Lord Buddha's teachings conveyed by the venerable Luangpor Pramote Pamojjo, a master teacher of mindfulness for the modern world and Vipassana meditation.
"ตอนนี้ที่เน้นให้เจริญเมตตา เพราะว่าโลกนี้เร่าร้อนไปหมดแล้ว มีแต่คนเห็นแก่ตัวเบียดเบียนกัน พยายามฝึกใจให้มีเมตตา เราจะมีความร่มเย็นอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เร่าร้อน เราไปแก้โลกทั้งโลกไม่ได้ แต่เราแก้ที่ใจเราได้ โลกเร่าร้อนแต่ความเร่าร้อนอยู่ที่โลก ความร่มเย็นอยู่ในใจเรา ความร้อนมาไม่ถึงใจเรา ฉะนั้นฝึกจิตให้ดี แล้วเราจะมีชีวิตที่คุ้มค่า คนเราก็มีอายุเท่าไหร่กัน 70 – 80 ปี 100 ปี ไม่นานก็ตาย ทำไมเราจะต้องใช้ชีวิตให้หมดเปลืองไปกับความเร่าร้อน ชีวิตของคนไม่ได้ยืนยาวอะไร ถ้าเราอยู่กับความร่มเย็นเป็นสุข คุ้มค่าที่เราเกิดมา" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 สิงหาคม 2568
"เห็นมานานแล้วว่าจุดอ่อนของฆราวาส คือสมาธิไม่ดี ไม่มีจิตที่ตั้งมั่น แล้วรุ่นนี้แค่สงบก็ไม่สงบ อย่าว่าแต่ตั้งมั่นเลย สงบยังยากเลย หลวงพ่อก็ปล่อยมานานร่วม 20 กว่าปี ดูแล้วไม่ดีขึ้น ดีขึ้นช้าเหลือเกิน หลวงพ่อเลยวางมาตรการใหม่ ให้ไปเดินจงกรมวันหนึ่งสัก 3 ชั่วโมง ถ้าเดินได้ ดี แต่ตั้งเป้าไว้พยายามทำไป ทีแรกอาจจะไม่ได้ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ได้ แต่บางคนอายุมากเดินไม่ไหวจริงๆ เจ็บป่วยเดินไม่ไหวจริงๆ จำเป็นต้องนั่งก็นั่ง ไม่ใช่ว่าเดินไม่ได้แล้วฝืนจนกระทั่งพิการไป แต่ถ้ายังหนุ่มยังสาวยังมีเรี่ยวมีแรงปฏิบัติ เดินไป แล้วเวลาเดินก็เห็นร่างกายเดิน ใจเป็นคนดูไป แล้วถ้าจิตหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ทัน จิตถลำลงไปเพ่งร่างกาย รู้ทัน เดินต้องเดินให้ถูกหลัก เดินแล้วก็มีสติรู้เท่าทันจิตตัวเอง เดินไม่ได้นั่งอยู่ ก็นั่งทำกรรมฐานไป จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตไปเพ่งกรรมฐาน รู้ทัน ใช้หลักอันเดียวกัน ไม่ว่าจะทำกรรมฐานอะไร ใช้หลักอันนี้ทั้งนั้นเลย คือรู้ทันจิตไว้" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 สิงหาคม 2568
"เวลาทำกรรมฐาน ถ้าจิตหลงไปแล้ว รู้จิตเผลอไปแล้วรู้ ฝึกบ่อยๆ ทีแรกก็จะหลงยาวหลงนาน พอฝึกชำนิชำนาญ จิตไหลแป๊บเห็นแล้ว จิตเคลื่อนปั๊บเห็นแล้ว จิตที่หลงก็จะสั้นลง แต่จิตที่หลงก็จะเกิดถี่ยิบเลย สลับกับจิตที่รู้ถี่ยิบเลย จิตก็จะมีกำลังขึ้นมาตั้งมั่นขึ้นมาได้ "ถ้าเราผิดในข้างเพ่ง เวลาเราไปเพ่งอย่าไปตกอกตกใจ นักปฏิบัติร้อยละร้อยคิดถึงการปฏิบัติเมื่อไรเพ่งเมื่อนั้น เพ่งก็คือการบังคับกายบังคับใจ แทนที่จะรู้กายอย่างที่กายเป็นรู้ใจอย่างที่ใจ ก็ไปบังคับกายบังคับใจ เริ่มปฏิบัติจะบังคับทันทีเลย พอเรารู้จักสภาวะของการเพ่งการบังคับ พอจิตไปเพ่ง เรารู้ทัน รู้ทันการเพ่งกับรู้ทันการเผลอต่างกัน จิตที่เผลอจิตที่หลงเป็นอกุศลจิต เพราะฉะนั้นทันทีที่เรารู้ว่าหลงรู้ว่าเผลอ อกุศลดับ จิตจะตื่นขึ้นทันทีเลย แต่การเพ่งเป็นการพยายามทำความดี ไม่ใช่ทำชั่วเป็นความปรุงดี ฉะนั้นเราไปเห็นการเพ่ง การเพ่งยังไม่ดับ ต้องรู้ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง ที่เพ่งเพราะอยาก อยากปฏิบัติ อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากดี พอมีความอยากเกิดขึ้นก็เลยเกิดการเพ่งขึ้น พอเราเห็นความอยาก ความอยากดับ การเพ่งก็ดับ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 กรกฎาคม 2568
"ตำราชอบบอกเป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราตั้งอกตั้งใจรักษาศีลไป แล้วเราจะมีความอบอุ่นใจ พวกเทวดาเราไม่ได้นับถือเป็นสรณะเหมือนพระรัตนตรัย เราก็นับถือเขาในฐานะเขาเป็นคนดี แล้วพอมีความเป็นมิตรต่อกัน ก็จะมีความรู้สึกคล้ายๆ เป็นพ่อแม่ เป็นลูกอะไรอย่างนี้ เทวดาช่วยได้เขาก็จะช่วยสงเคราะห์ให้ ถ้าเรามีศีลคล้ายๆ เรามีแบ็คที่ดี ตัวศีลเองก็รักษาเรา ตัวศีลช่วยรักษาเรา ทุกวันนี้เรื่องที่เกิดขึ้น ในวงการพระวุ่นวายมากมาย เป็นเรื่องศีลทั้งนั้นเลย พวกหนึ่งละเมิดศีลเรื่องเงิน พวกหนึ่งละเมิดศีลพรหมจรรย์ เป็นพระต้องประพฤติพรหมจรรย์ บางคน เขาก็มั่วกับผู้หญิง บางคนเขาก็มั่วกับผู้ชายอะไรอย่างนี้ พอไม่มีศีลรักษา เห็นไหมผ้าเหลืองร้อนอยู่ไม่ได้ ปกปิดมาได้ยาวนาน ถึงเวลาที่กรรมจะให้ผลมันให้ผลปุบปับ นึกไม่ถึงเลย" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 20 กรกฎาคม 2568
"ทางเดินที่ถูกต้องอยู่ที่ปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบัน รู้สึกกายอยู่ในปัจจุบัน รู้สึกจิตใจอยู่ในปัจจุบัน เมื่อเรารู้กายรู้ใจอยู่ในปัจจุบัน เราก็จะเห็นความจริง กายในอดีตไม่มีแล้ว กายในอนาคตยังไม่เกิดขึ้น จิตในอดีตก็ไม่มีแล้ว จิตในอนาคตก็ยังไม่เกิดขึ้น กายที่มีอยู่จริง คือกายที่อยู่ในปัจจุบันนี้ จิตที่มีอยู่จริง คือจิตที่อยู่ในปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน ไม่หลงไปอดีต ไม่หลงไปในอนาคต ไม่หลงไปในโลกของความคิดความฝัน แต่อยู่ในโลกของความเป็นจริง คือโลกของความรู้เนื้อรู้ตัว เราก็จะเห็นกายเห็นใจตัวจริง ไม่ใช่ความจำเรื่องกาย หรือความคิดเรื่องกาย เรื่องร่างกายจิตใจในอดีต มันเป็นแค่ความจำ ร่างกายจิตใจในอนาคต ยังเป็นแค่ความคิด ที่มีสภาวธรรมจริงๆ คือร่างกายที่เป็นปัจจุบันนี้ ยังมีอยู่จริงๆ จิตใจของเราในปัจจุบันนี้ ยังมีอยู่จริงๆ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 19 กรกฎาคม 2568
"ไม่มีใครสั่งจิตให้เกิดอริยมรรคอริยผลได้ จิตเกิดอริยมรรคอริยผลได้ เพราะว่าศีล สมาธิ ปัญญาของเราสมบูรณ์แล้ว มันเป็นอัตโนมัติ ตรงที่เรามีศีลดีสมาธิเราก็ดี มีสมาธิที่ดี สมาธิที่ถูกต้อง จิตที่ตั้งมั่น แล้วมีกำลังพอ ก็สามารถเดินปัญญาดูความจริงของกายของใจได้ เมื่อเห็นความจริงของกายของใจได้ จิตก็เข้าสู่ความเป็นกลาง ร่างกายจะสุขหรือจะทุกข์อะไรจิตก็เป็นกลาง จิตใจจะสุขหรือจะทุกข์จิตก็เป็นกลาง ไม่กระเพื่อมหวั่นไหว ไม่ดิ้นรน ตรงที่จิตดิ้นรนนั่นล่ะเรียกว่าภพ ตราบใดที่จิตดิ้นรนอยู่ จิตก็ยังอยู่ในภพ โลกุตตระก็ไม่เกิดเพราะโลกุตตระอยู่นอกภพ ถ้ายังดิ้นรนใจดิ้นรน ใจยังถูกขังอยู่ ยังถูกขังอยู่ ติดอยู่ในภพ ไม่เกิดโลกุตตระ ไม่เกิดมรรคผล แต่เมื่อจิตเป็นกลางอย่างแท้จริงด้วยปัญญาอันยิ่ง จิตหมดความดิ้นรน หมดความกระหาย หมดความหิว จิตรวมลงไป แล้วก็ผ่านกระบวนการนิดหนึ่งแล้วก็จะเข้าสู่โลกุตตระ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 กรกฎาคม 2568
"พวกเราขณะนี้มีโอกาสศึกษา มีโอกาสปฏิบัติรีบๆ ทำเสีย ถ้าบุญบารมีเราสะสมมามากพอแล้ว ชาตินี้เรามาต่อยอดนิดหน่อย เราก็ได้ธรรมะ อย่างต่ำได้โสดาบัน ไม่ยากเกินไปหรอก ถ้าบุญบารมีเรายังไม่พอ เราก็เก็บสะสม เก็บบุญบารมีของเราสะสมติดตัวไป ชาติต่อไปได้ยินได้ฟังธรรมะแล้ว ก็จะเข้าใจง่าย เพราะฉะนั้นลงมือปฏิบัติตั้งแต่วันนี้ ไม่มีเรื่องเสีย มีแต่เรื่องที่เราจะได้ประโยชน์ทั้งสิ้นเลย" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 กรกฎาคม 2568
"ทำผิดทำถูกแล้วไปส่งการบ้าน ตรวจสอบด้วยตัวเองก่อน ไม่มั่นใจไม่แน่ใจ ค่อยไปถามครูบาอาจารย์ ไม่ได้ถามทุกวันถามทุกเรื่อง ถามทุกวันถามทุกเรื่องไม่พัฒนาหรอก ฟุ้งซ่าน ฉะนั้นธรรมะใช้โยนิโสมนสิการให้มาก พิจารณาตัวเองให้มาก สิ่งที่เราทำอยู่หรือผลที่เราทำอยู่ สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าของครูบาอาจารย์ไหม อย่างที่หลวงพ่อไปถามหลวงตามหาบัว เพราะหลวงพ่อสังเกตุเราต้องทำผิด ทำไมจิตเราว่างสว่าง ไม่มีกิเลสมีแต่ความสุข ก็เฉลียวใจ พระพุทธเจ้าบอกว่าจิตไม่เที่ยง ทำไมจิตเราเที่ยง ท่านว่าจิตเป็นทุกข์ ทำไมจิตเรามีแต่ความสุข ท่านว่าจิตเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ ทำไมเราบังคับได้ สังเกตอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเวลาเราภาวนา ตรวจสอบการปฏิบัติของเราเอง ให้สม่ำเสมอ ตรวจเป็นระยะๆ ไม่ต้องตรวจตลอดเวลา ตรวจตลอดเวลาเดี๋ยวฟุ้งซ่าน ไม่ได้ปฏิบัติ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 11 กรกฎาคม 2568
"วิธีเจริญปัญญาก็คือเห็นธาตุเห็นขันธ์มันแยกออกไป แล้วก็เห็นแต่ละธาตุแต่ละขันธ์ล้วนแต่ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ตรงนี้สำคัญ จะบรรลุมรรคผลหรือเปล่าก็อยู่ตรงนี้ล่ะ ตรงที่เห็นสภาวธรรมทั้งหลาย ขันธ์มันแตกตัวออกมาเป็นสภาวะ สภาวธรรม เป็นรูปธรรม เป็นรูป เป็นเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ เป็นสัญญาความจำได้ความหมายรู้ เป็นสังขารความปรุงดีปรุงชั่ว ปรุงไม่ดีไม่ชั่ว เป็นวิญญาณคือจิตที่เกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตเราไม่ได้มีดวงเดียว จิตเรามีนับไม่ถ้วน เกิดดับสืบเนื่องกันตลอดเวลา ถ้าเรายังเห็นจิตมีดวงเดียวอยู่แล้ววิ่งไปวิ่งมา อันนั้นยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ เรียกเป็นสัสสตทิฏฐิ คิดว่าจิตนี้เที่ยงเป็นอมตะ เราต้องแยกขันธ์ให้ได้ แล้วเห็นขันธ์แต่ละขันธ์แสดงไตรลักษณ์ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 10 ก.ค. 2568 (ช่วงบ่าย)
"ปฏิบัติธรรมะ เรียนอย่างเดียวไม่พอ เราเห็นบทเรียนแล้ว พระเปรียญ 9 พลาดไปตั้งหลายองค์ ว่าสุดยอดแล้วเปรียญ 9 ก็เอาไม่รอด พวกเราต้องลงมือปฏิบัติ ทุกวันนี้หลวงพ่อเร่งพวกเรา อย่างน้อยไปเดินจงกรมให้ได้วันละ 3 ชั่วโมง เดินรวดเดียวไม่ได้ก็แบ่งเวลา ตอนเช้าตื่นเร็วให้ขึ้นหน่อย ไปเดินจงกรมสัก 1 ชั่วโมง กลางวันมีเวลาเมื่อไร ก็เดินด้วยความรู้สึกตัวไป เก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อยๆ ตกค่ำก็ไปเดินจงกรมอีกสักชั่วโมงหรือชั่วโมงกว่า หลายคนก็ทำ คนที่ทำก็ประสบความก้าวหน้า แล้วก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่าตัวเองพัฒนาขึ้น แต่ก่อนที่หลวงพ่อจะใช้ให้ไปเดินจงกรม หลวงพ่อสอนหลักของการปฏิบัติให้แล้ว ไม่ใช่ไปเดินจงกรมแล้ว ยิ่งเดินยิ่งเครียด ยิ่งเดินยิ่งเหลวไหลไร้สาระ เดินด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว เห็นร่างกายมันเดินไป ใจรู้สึกร่างกายมันเดิน ใจหนีไปที่อื่น รู้ทัน ใจถลำลงไปเพ่งร่างกาย รู้ทัน รู้ทันจิตใจตัวเองไป แล้วก็เดินไปด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 10 ก.ค. 2568 (ช่วงเช้า)
"เรากลับข้างกับคนทั่วไปนิดเดียวเอง คนทั่วไปเวลารู้อะไรมันรู้ออกนอก หลวงปู่ดูลย์เรียกว่าส่งจิตออกนอก ส่งจิตออกนอกเป็นสมุทัย ท่านว่าอย่างนี้ คือเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ให้เกิดความดิ้นรนปรุงแต่งวุ่นวายขึ้นมา ท่านบอก “อย่าส่งจิตออกนอก” คือ ให้ดูตัวเองไว้ ตาเห็นรูป จิตเกิดอะไรขึ้น รู้ที่จิตนี้ มันต่างกับคนปกติทั่วไปในโลกก็แค่นี้เอง คือเราสามารถรู้ทันจิตใจตัวเองได้ ไม่ใช่เรื่องยาก" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 6 กรกฎาคม 2568
“แล้วท่านก็สอนสมุทัย เหตุให้เกิดความทุกข์ อย่างเรามีร่างกาย มีร่างกาย ร่างกายเรามีเหตุให้เกิด เรามีชนกกรรม คือกรรมที่ทำให้เกิด พอเราเกิดมามีอัตภาพของมนุษย์ มันก็มีของแถมติดมาด้วยกับความเกิด คือความแก่ ความเจ็บ ความตาย อันนี้หนีไม่รอด หนีไม่พ้น เกิดมาแล้ว ถ้าหากภาวนาถึงขีดสุด จนหมดเชื้อเกิดในใจ ไม่ต้องเกิดอีก ก็ไม่ต้องมีร่างกายให้มันมีทุกข์ซ้ำซาก ในด้านจิตใจเราวิบากก็ส่งผลมา ให้เรากระทบอารมณ์ที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง กุศลส่งผลมา เราก็กระทบอารมณ์ที่ดี มีความสุข อกุศลให้ผล เราก็กระทบอารมณ์ไม่ดี ก็ได้ความทุกข์ แต่ตัวนี้ยังไม่ใช่ตัวสำคัญ ถ้ากรรมเก่าส่งผลมาให้เราเจอสถานการณ์อย่างนี้ แต่พระพุทธเจ้าสอนทางออกให้เรา ทำกรรมใหม่ ทำกรรมใหม่ที่ดี เราก็จะบรรเทาผลของความทุกข์ได้ ยิ่งถ้ากรรมใหม่ของเราดีถึงขีดสุด เราถึงที่สุดของทุกข์ บรรลุพระอรหันต์ ความทุกข์ในจิตใจจะไม่มีอีก ทำไมความทุกข์ในจิตใจไม่มี เพราะจิตนั้นพ้นจากความปรุงแต่งสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเข้าไปปรุงแต่งจิตได้อีกแล้ว มันเป็นอิสระอย่างแท้จริง เข้าถึงภาวะที่สงบสุขอย่างแท้จริง“ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 กรกฎาคม 2568
"มีวิหารธรรม ทำกรรมฐานไป มีจิตเป็นคนรู้คนดูวิหารธรรมนั้น แล้วต่อไปถ้าจิตมันหนีจากวิหารธรรม เราก็จะเห็นจิตถลำลงไปเพ่งวิหารธรรมอันนั้น เราก็จะเห็น พอเรารู้เท่าทันจิต อันนี้ จิตมันจะตั้งมั่น สัมมาสมาธิจะเกิดขึ้น ฉะนั้นอาศัยสติ สัมมาสติคือสติรู้กายรู้ใจ สัมมาสติเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ จะพัฒนาสัมมาสติ เบื้องต้นต้องมีวิหารธรรม มีเครื่องอยู่ ถ้าเดินแนวนี้ การภาวนามันจะไม่ยากเท่าไรหรอก ค่อยๆ ทำไปตามลำดับ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 29 มิถุนายน 2568
"สติตัวจริง เราจะไม่สุดโต่งตามอำนาจกิเลส ส่วนใหญ่มี 2 ฝั่ง หลงไปคือฟุ้งซ่านไป นั่งสมาธิแล้วคิดโน่นคิดนี่ไป ลืมกายลืมใจตัวเอง ไม่มีสติ อีกอันหนึ่งเพ่งกายเพ่งใจ ร่างกายก็มี จิตใจก็เพ่งเอาไว้ให้นิ่งๆ บอกว่ามีสติ รู้กายอยู่ รู้ใจอยู่ แต่มันรู้ด้วยโลภะ ตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่ สติไม่เกิดหรอก เพราะฉะนั้นหลวงพ่อถึงย้ำนักย้ำหนา เราภาวนา รู้สึกกายรู้สึกใจไป ไม่เผลอลืมกายลืมใจ ไม่เพ่งกายเพ่งใจ ไม่เผลอกับไม่เพ่ง เราถึงจะมีสติตัวจริง ถ้าเผลอไปก็มีความฟุ้งซ่าน ไม่มีสติ ถ้าเพ่งไปก็มีโลภะ มีโทสะ ไม่มีสติ" หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 มิถุนายน 2568
อันแรกเลยถือศีล อันที่สองฝึกกรรมฐานในรูปแบบ ฝึกกรรมฐานอะไรก็ได้ที่เราถนัด วันไหนจิตใจเราฟุ้งซ่านไม่มีแรง น้อมจิตไปอยู่กับอารมณ์กรรมฐานที่มีความสุข สงบก็ช่างไม่สงบก็ช่าง แต่ว่าระลึกถึงอารมณ์นั้นเรื่อยๆ แป๊บเดียวก็สงบ วันไหนใจเราสงบแล้ว สังเกตที่จิต จิตหนีไปรู้ทัน จิตถลำไปเพ่งรู้ทัน จิตจะตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วก็ถึงขั้นเจริญปัญญาได้ เราก็จะเห็นเลยร่างกายกับจิตเป็นคนละอัน อย่างขณะนี้ฟังหลวงพ่อเทศน์จะมีสมาธิระดับหนึ่ง จะรู้สึกง่ายๆ เลยร่างกายถูกรู้ ของที่ถูกรู้ไม่ใช่ตัวเรา จะเห็น จะเห็นความรู้สึกสุขทุกข์ถูกรู้ ไม่ใช่เรา กุศลอกุศลถูกรู้ไม่ใช่เรา ส่วนจิต จิตเองก็เกิดดับ จิตไม่ได้มีดวงเดียว จิตเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ จิตเดี๋ยวก็เป็นผู้หลง เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้ไปดูรูป เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวเป็นผู้ไปฟังเสียง จะเกิดดับไปเรื่อยๆ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 25 มิถุนายน 2568
ฟังอย่างเดียวไม่ลงมือปฏิบัติไม่ได้ผลหรอก แล้วจะไม่มีวันเข้าใจธรรมะเลย เข้าใจไม่ได้ นั่งคิดๆ เอาหรือท่องตำราเอา ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ ศีลต้องรักษา ต้องฝึกในรูปแบบ เวลาที่เหลือเจริญสติในชีวิตประจำวัน บางคนบอกว่าไม่ทำในรูปแบบ เจริญสติในชีวิตประจำวันรวดเดียวเลย ถามว่าทำได้ไหม ได้ประเดี๋ยวเดียว แล้วก็เสื่อมหมด ฟุ้งซ่าน ใช้อะไรไม่ได้ การเจริญสติในชีวิตประจำวันไม่ใช่งานง่ายๆ ยากมาก ยากกว่าการทำในรูปแบบอีก ถ้าเทียบไปการทำในรูปแบบก็เหมือนทหารซ้อมรบ การปฏิบัติในชีวิตประจำวันเหมือนการเข้าสนามรบที่แท้จริง มันต่างกัน ไม่เหมือนกันหรอก ถ้าไม่เคยฝึกซ้อมอะไรเลยแล้วเข้าสนามรบก็ตายเปล่าๆ ไม่ได้เรื่องอะไร ฝึกซ้อม ทำในรูปแบบมากๆ แต่ไม่เจริญสติในชีวิตประจำวันก็ไม่ก้าวหน้า ต้องทำให้ได้ 3 อย่างที่หลวงพ่อบอก อันแรก ถือศีล 5 ไว้ อันที่สอง ฝึกปฏิบัติในรูปแบบ อันที่สาม เจริญสติในชีวิตประจำวัน อันนี้ยากที่สุด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 มิถุนายน 2568