พอดแคสต์ที่จะเปิดเบื้องลึกคุ้ยเบื้องหลังโยงการเมืองให้เป็นเรื่องสนุก ใกล้ตัว และหาฟังได้ที่นี่ที่เดียว! กับสรกล อดุลยานนท์ และ Content Creator การเมืองของ THE STANDARD
รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว หลังมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น หมายความว่าจากนี้การบริหารราชการแผ่นดินสามารถเดินหน้าไปได้เต็มอัตรา ขณะเดียวกันก็หมายความว่าเมื่อมีรัฐบาลจากซีกเพื่อไทย ฝ่ายค้านจากซีกก้าวไกลก็เดินเครื่องตรวจสอบเต็มอัตราเช่นกัน จากนี้ไปรัฐบาลเศรษฐาต้องพิสูจน์ตัวเองจากผลงานและการกระทำ ผ่านคำสัญญาที่เป็นนโยบายอันแถลงไว้ต่อหน้า ‘ผู้แทนปวงชนชาวไทย' คือ สส. และ สว. ขณะที่การตรวจสอบรัฐบาลเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้าน แม้ในอดีตก้าวไกลและเพื่อไทยจะเคยร่วมฟากกันมา แต่บัดนี้แยกทางกันอย่างชัดเจน แผนปฏิบัติการและที่มาของงบประมาณอันจะนำมาดำเนินนโยบายคือรายละเอียดที่หลายฝ่ายจับตา ในทางเศรษฐกิจดูเหมือนมติ ครม. จะจัดแพ็กเกจชุดใหญ่ให้ประชาชนแล้วในการประชุม ครม. นัดแรก แต่ในทางการเมืองนับแต่นี้เชื่อว่ารัฐบาลเศรษฐาต้องเจอแพ็กเกจชุดใหญ่ ทั้งความคาดหวังจากประชาชนและการตรวจสอบจากรัฐสภา อันมีชื่อ ‘พิธา' เป็นแม่ทัพคนสำคัญ แม้จะยังไม่รู้ชะตากรรมการทำงานในสภา หลังถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่นอกสภายังเดินสายต่อเนื่อง
การเมืองไทยหลังพรรคเพื่อไทยข้ามขั้วจับกับรัฐบาลเดิมจัดตั้ง ‘รัฐบาลพิเศษ' อุณหภูมิเริ่มลดดีกรีลง เตรียมเข้าสู่โหมดการบริหารประเทศ สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปคือการบริหารงานภายใต้การนำของ ‘เศรษฐา ทวีสิน' นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หลังคนไทยอยู่ภายใต้การบริหารประเทศของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มา 9 ปีเต็ม ซึ่งบริหารราชการแผ่นดินตามแบบของข้าราชการ แต่รัฐบาลใหม่นำโดยนักธุรกิจ แน่นอนว่ามีความแตกต่างอย่างชัดเจน บุคลิกและสไตล์ของเศรษฐาทำให้หลายคนคิดถึง ‘ทักษิณ ชินวัตร' ด้วยพื้นเพที่มาจากสายธุรกิจ วิธีคิดในการทำงาน การบริหาร ย่อมเป็นแบบนักธุรกิจ เน้นความฉับไว คล่องตัว มองเป้าหมายเป็นสำคัญ แต่ความแตกต่างอย่างชัดเจนคือ ทักษิณมีความเข้าใจระบบราชการ เพราะเป็นข้าราชการมาก่อน เคยเป็นตำรวจติดตามนักการเมือง และทำธุรกิจสัมปทานที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ ส่วนเศรษฐาถือว่าห่างไกลกับระบบราชการ แทบจะไม่รู้จักนักการเมืองมาก่อน ที่สำคัญบริบทการเป็นรัฐบาลตอนนี้คือรัฐบาลผสม ต่างจากสมัยไทยรักไทยที่เป็นรัฐบาลพรรคเดียวแบบแลนด์สไลด์ ความ ‘เหมือนจะใช่ แต่ไม่ใช่' ที่ว่านี้ คือความท้าทายสำคัญในการบริหารประเทศของเศรษฐา ที่สำคัญคือเดิมพันครั้งนี้สูงมาก ถ้าฟื้นเศรษฐกิจไม่ได้ ผลงานไม่โดดเด่น ทฤษฎีที่ว่าคนจะลืมบาดแผลจากการข้ามขั้วด้วยผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ก็คงไม่เกิดขึ้น และต้นทุนทางการเมืองของเพื่อไทยที่เสียไปอาจไม่ฟื้นคืนกลับมาอีก นี่คือโจทย์ใหญ่ของนายกฯ ที่ชื่อเศรษฐา ทวีสิน
การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ในรัฐบาลเศรษฐา 1 กำลังดำเนินไป คาดว่าใกล้จะได้เห็นหน้าตาบรรดารัฐมนตรีของกระทรวงต่างๆ จาก 11 พรรคร่วมในอีกไม่นาน แน่นอนว่าระหว่างทางมีรายชื่อหลายคนอยู่ในโผ เรียกได้ว่าโผไปโผมา เปลี่ยนแปลงจนนาทีสุดท้าย ครม. ใหม่หากตรวจรายชื่อตามโผแล้ว อาจไม่รู้สึกเซอร์ไพรส์มากนัก มองแบบรวดเดียวเห็นที่มาที่ไป เห็นเครือข่ายกลุ่มก้อน และจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ต้องรอการพิสูจน์ฝีมือในการทำงาน ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบใด ‘นายกฯ เศรษฐา' จะเป็นผู้แบกรับเอาไว้เป็นคนแรก ในฐานะหัวหน้าทีม ในฐานะที่ในทางทฤษฎีคือผู้เลือกลูกทีมมาเป็นรัฐมนตรีเองกับมือ ไม่แปลกที่คนในระดับนายกฯ จะพบปะผู้คนหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะภาครัฐ เอกชน หรือธุรกิจ และก็ไม่แปลกหากจะเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อการเดินหน้าแก้ปัญหาประเทศ ขณะเดียวกันก็มีคำถามที่ถูกโยนขึ้นท่ามกลางสถานการณ์เหล่านี้เช่นกันว่า ปัญหาที่กำลังรอการแก้ไข อะไรจะเป็นเรื่องลำดับต้นๆ ที่นายกฯ เศรษฐาเลือกทำ
การลงมติโหวต เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เฉลยปริศนาหลายอย่างในการเมืองไทย โดยเฉพาะคำพูดของแกนนำพรรคเพื่อไทย ‘ภูมิธรรม เวชยชัย' หลังจากแยกทางกับพรรคก้าวไกลว่า สถานการณ์การเมืองเวลานี้จำเป็นต้องมี ‘รัฐบาลพิเศษ' คำนี้ฟังครั้งแรกคนอาจตีความว่าคล้ายรัฐบาลแห่งชาติ ซึ่งโดยความหมายก็ยังสับสนว่าคืออะไร จนที่สุดคำว่า ‘พิเศษ' ก็เฉลยออกมาผ่านสัญญาณต่างๆ ขณะที่วันโหวตนายกฯ มีอีกเหตุการณ์ใหญ่คือการกลับมาของ ‘ทักษิณ ชินวัตร' ซึ่งเลือกเวลากลับมาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนโหวตนายกฯ ถ้าการกลับมาก่อนโหวตนายกฯ ของทักษิณ ถูกตีความว่ากลับมาเพื่อเป็นตัวประกัน การกลับมาก่อนโหวตให้เหลือเวลาน้อยที่สุดน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เวลานี้ประเทศไทยได้นายกฯ คนใหม่แล้ว ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย อำนาจการต่อรองกลับมาอยู่ที่พรรคเพื่อไทยอีกครั้ง เพราะไม่ต้องการเสียง สว. แล้ว ส่วนเสียง สส. ก็มีอะไหล่สำรอง 16 เสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าการเมืองคือเกม เกมแรกสู่การเป็นรัฐบาล เพื่อไทยเป็นฝ่ายชนะ แต่ต้องแลกกับเครดิตทางการเมืองที่สั่งสมมาตลอดชีวิต ต้นทุนทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยถูกใช้ไปหมดแล้วในเกมนี้ เกมต่อไป พรรคเพื่อไทยต้องวาดภาพความทรงจำให้คนใหม่ แต่จะทำได้หรือไม่ เป็นโจทย์ที่ท้าทาย
วันนี้การเมืองไทยเดินมาถึงทางแยก และกลายเป็นการแยกทาง เมื่อสองแกนนำพรรคการเมือง เพื่อไทย และก้าวไกล ที่เรียกตัวเองว่า ‘ฝ่ายประชาธิปไตย' ที่ร่วมทางกันมาตั้งแต่ปี 2562 ต้องสลัดตัวออกจากกัน เมื่อมีเกมตั้งรัฐบาลเป็นเดิมพัน แถมมีด่านกฎหมาย ด่าน สว. และล่าสุดคือด่านพรรคการเมืองที่ประกาศไม่เอา ‘ก้าวไกล' อย่างชัดเจน เป็นเครื่องกีดขวางอยู่ พูดชัดๆ คือไม่ยอมให้ ‘ก้าวไกล' อยู่ในสมการร่วมรัฐบาลอย่างเด็ดขาด แต่แล้วไม่นานฉากทางการเมืองก็เกิดขึ้นใหม่อีก เมื่อการรวมเสียงตั้งรัฐบาลจากฟากเพื่อไทยที่ประกาศเป็นสัญญาประชาคมช่วงเลือกตั้งว่าไม่เอาพรรค 2 ลุง กลายมาเป็นบ่วงรัดเพื่อไทยที่ต้องตามหาตัวเลขคณิตศาสตร์ทางการเมืองมาหนุนนายกฯ เศรษฐา โดยที่ไม่ทำลายเงื่อนไขตัวเอง ปรากฏการณ์ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร เดินข้ามตึกมาที่ก้าวไกลจึงเกิดขึ้น เพื่อหวังขอเสียงสนับสนุนให้สามารถปิดสวิตช์ สว. และปิดสวิตช์ลุงไปพร้อมกัน ท่ามกลางการจับตาของประชาชนว่านี่คือเกมแบบไหน และจะพาไปสู่บทสรุปในทางการเมืองอย่างไรกันแน่
ในที่สุด เพื่อไทย และ ก้าวไกล ก็หย่ากันอย่างเป็นทางการ หลังประกาศเป็นเนื้อคู่ จับมือวิวาห์ ตั้งรัฐบาลร่วมกัน ท่ามกลางสักขีพยานรวม 8 พรรค จาก MOU กลายเป็นใบหย่าทางการเมือง จากร่วมทางกลายเป็นแยกทาง ด้วยเงื่อนไขปัจจัยอย่างที่แถลงต่อสาธารณชน ตามมาด้วยการประกาศชื่อ ‘เศรษฐา' ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนใหม่ แต่แล้วการโหวตนายกฯ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้คือ 4 สิงหาคม ก็เจอโรคเลื่อน ด่านกฎหมาย ด่าน สว. กลายเป็นประตูเงินประตูทอง ที่ไม่ว่าใครจะเข้าสู่ประตูวิวาห์ก็ต้องผ่านไปให้ได้ ท่ามกลางปัจจุบัน เพื่อไทยมีอดีตที่กำลังตามมาหา สักขีพยานใหม่ของการตั้งรัฐบาลกำลังรอความชัดเจน แต่ที่ชัดเจนแล้วแบบไม่ต้องถามคือ รักหนนี้ไม่มีก้าวไกลอยู่ในสมการ
กลับประเทศไทย นี่คือเรื่องใหญ่ที่สุดทางการเมืองเวลานี้ แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อการเมืองไทย และมันอาจกลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยต่อภาพให้ประชาชนเห็นความจริงทางการเมือง ‘ข่าวลือ คือข่าวจริงที่มาก่อนเวลา' จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ คำตอบจะปรากฏในไม่ช้า ขณะที่พรรคเพื่อไทยมีจังหวะผิดธรรมชาติ หลังขึ้นมาเป็นแกนนำ 8 พรรคตั้งรัฐบาลที่มี 312 เสียงในมือ จังหวะตามธรรมชาติคือเสียงในมือ บวกเสียง ส.ว. 13 เสียง หากเติมอีกประมาณ 51 เสียง จะถึงเป้า 375 เสียง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการเชิญพรรคขั้ว 188 เสียงมาคุย และสื่อนัยว่าจะเอาพรรคก้าวไกลที่มี 151 เสียงออกจากสมการ สิ่งที่พรรคเพื่อไทยคิดคือการรวมเสียงให้เกินครึ่งรัฐสภา จัดตั้งรัฐบาล ผลักดันวาระประเทศแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่รอไม่ได้ แต่สิ่งที่เพื่อไทยต้องประเมินให้ดีคือกระแสความไม่พอใจของประชาชน เพราะผลการเลือกตั้งชี้ชัดว่าคนไม่เอาพรรคขั้วรัฐบาลเดิม จึงเทคะแนนให้อีกขั้วหนึ่งซึ่งคือพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย คะแนนเสียงพรรคเพื่อไทยเริ่มต้นจากสิ่งนี้ หากไม่คิดถึงสิ่งนี้เวลารวมเสียงตั้งรัฐบาล ด้วยต้นทุนที่ตามมาก็ยากจะประเมิน หากเพื่อไทยมั่นใจในฝีมือการบริหารเศรษฐกิจ โดยหวังว่าจะช่วยคลายปมในใจประชาชน เมื่อถึงการเลือกตั้งหนหน้า ก็ต้องพิสูจน์กันว่าจริงหรือไม่
การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนหน้าฉากการเมือง ตั้งแต่รัฐประหารปี 2557 ชัยชนะเป็นฝ่ายพรรคร่วมที่ต่อสู้กับขั้วอำนาจเดิม เกิดการสลับขั้วใหม่ ฝ่ายค้านเดิมพลิกเป็นรัฐบาล ขณะที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศวางมือทางการเมืองไปเมื่อวานนี้ ปิดฉากเส้นทางอำนาจตัวเองในปีที่ 9 8 พรรคการเมืองจับมือกันตั้งรัฐบาล ชู ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' เป็นแคนดิเดตนายกฯ ในการโหวตวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ แต่ทว่าเกือบ 2 เดือนหลังจบการเลือกตั้ง เส้นทางพิธาและพรรคก้าวไกลเหมือนจะเดินอยู่ในสนามรบ เจอสารพัดอาวุธที่ถูกงัดออกมาใช้ ภาวะนิติสงคราม คือนิยามที่ถูกใช้อธิบายสถานการณ์ หุ้น ITV ประเด็นการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 รวมไปถึงสารพัดข้อหาที่นักร้องพาเหรดนำคดีไปสู่หน่วยงานเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พิธาและพรรคเดินหน้าเข้าหาประชาชน เดินสายขอบคุณที่โหวตให้ก้าวไกลได้ ส.ส. มากที่สุดนับตั้งแต่ลงสนามเลือกตั้ง หลายพื้นที่เกินคาด กวาดยกจังหวัด แม้จะเป็นไปเพื่อแสดงพลังและสัญญะให้เห็นว่า ‘ประชาชน' คือสมการสำคัญในสนามประชาธิปไตย แต่ดูเหมือนว่ายิ่งโต ยิ่งแตก และยิ่งทำให้ผู้เฝ้ามองบางขั้วหวั่นไหว เสียงโหวตนายกฯ แค่ ส.ส. 8 พรรคร่วม ไม่พอที่จะพา ‘พิธา' ไปสู่ผู้นำฝ่ายบริหาร ส.ว. เป็นสมการสำคัญในสนามเลือกตั้ง ที่ไม่เท่ากับสนามเลือกนายกฯ วันพรุ่งนี้คือคำตอบ…ของจริง
เกมชิงประธานสภาจบลงแล้ว ‘วันมูหะมัดนอร์ มะทา' หัวหน้าพรรคประชาชาติ ได้รับเลือกเป็นประธานสภา ไม่ใช่คนของทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ปรากฏการณ์นี้ถูกมองได้ทั้งสองแง่ แง่หนึ่งมองได้ว่า ส.ส. ในพรรคเพื่อไทยรู้สึกแบบที่ อดิศร เพียงเกษ พูดจริงๆ จึงกลัวคุมลูกพรรคไม่ได้ ถ้าต้องให้เลือกคนของพรรคก้าวไกลก็อาจเสียงแตก และส่งผลเสียต่อพรรคร่วม 8 พรรคมากกว่า แต่อีกแง่หนึ่งอาจมองได้ว่าเป็นเกมที่พรรคเพื่อไทยวางไว้ เป้าหมายคือไม่ให้คนของพรรคก้าวไกลเป็นประธานสภา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร แม้วันนอร์จะเป็นคนกลางหรือคนของใคร การกระทำหลังจากนี้จะบอกทุกสิ่ง ทั้งการโหวตเลือกนายกฯ ว่าจะเปิดโอกาสให้พิธากี่ครั้ง รวมถึงการพิจารณากฎหมายสำคัญของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะการแก้ไขมาตรา 112 คำถามที่สำคัญคือความสัมพันธ์ระหว่างก้าวไกล-เพื่อไทยเป็นอย่างไรกันแน่ ไว้วางใจกันแค่ไหน หรือหวาดระแวงกันตลอดเวลา ภารกิจต่อไปที่สำคัญคือการโหวตเลือกนายกฯ วันที่ 13 กรกฎาคมนี้ ถ้ายังเลือกไม่ได้ ให้เลือกใหม่วันที่ 19 กรกฎาคม ดังนั้นจุดที่ต้องเฝ้าระวังคือช่วงวันที่ 14-19 กรกฎาคม อย่าลืมว่าพิธาและก้าวไกลมีมวลชนเป็นอาวุธสำคัญ หากผลการลงมติในรัฐสภาไม่ตรงตามมติมหาชน ไม่มีใครคาดเดาได้ว่ามวลชนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เส้นทางสู่นายกฯ ของพิธา ทำให้นึกถึงชื่อภาพยนตร์ Mission Impossible ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่รู้ใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วตอนจบของภารกิจนี้ ‘พิธา' จะเป็นผู้ชนะเหมือนในหนังหรือไม่ ต้องติดตาม…
ปฏิทินการเมืองเวลานี้เหมือนขยับย่นเวลาเข้ามาไวขึ้น เมื่อ กกต. แถลงรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. รวดเดียว 500 คน ไม่ตกหล่นเหมือนมีกระแสข่าวก่อนหน้า แต่ ส.ส. ที่ผ่านด่านเข้ามาได้ก็ยังต้องลุ้น เพราะระหว่างทางอาจเจอสอยจากเรื่องร้องเรียนต่างๆ ทำให้ตกเก้าอี้ ได้ทำงานช่วงสั้นๆ การรับรองผลไว ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ทำให้ไทม์ไลน์การเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้ง ‘ประธานสภา' ขยับไวขึ้นเช่นกัน ถ้าเป็นไปตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจกแจงกับสื่อ น่าจะได้ประชุมสภาเลือกประธานไม่เกินสัปดาห์ที่สองของเดือนกรกฎาคม ไทม์ไลน์ไวขึ้น แต่ทิศทางว่าพรรคก้าวไกลหรือเพื่อไทยจะขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานสภา ดูจะยังไม่ไปในทิศทางที่เห็นตรงกัน ว่าตามหลักการ บรรดาแกนนำแต่ละพรรคดูเหมือนจะยืนยันว่า พรรคอันดับ 1 ต้องได้ไป และพรรคอันดับ 2 คว้าเก้าอี้ 2 รองประธานไปจัดสรร แต่ถ้าว่าตามแนวคิดและความเชื่อทางการเมือง มีข้ออ้างที่ถูกโยนขึ้นกลางอากาศในวงประชุมพรรคเพื่อไทยว่า ตัวเลขห่างกันไม่มากระหว่างพรรคอันดับ 1 และอันดับ 2 ขณะที่พรรคอันดับ 1 คว้าเก้าอี้นายกฯ พรรคอันดับ 2 ควรได้ประธานสภา ไม่ควรกอดเอาทุกเก้าอี้เป็นของพรรคเดียวหมด ศึกชิงประธานสภากลายเป็นศึกในของพรรคแกนนำร่วมรัฐบาล ที่งานนี้ไม่รู้ว่าใครจะต้องเผื่อใจไว้ก่อนกันแน่
เลือกตั้ง 2566 ผ่านมาครบ 1 เดือนเต็มแล้ว แต่การเมืองไทยยังไม่ไปไหน ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เรายังมีรัฐบาลรักษาการ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา บรรดา ส.ส. ที่เลือกตั้งมายังไม่ได้รับการรับรอง และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ที่ได้อันดับ 1 จากการเลือกตั้ง ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทุกคนรู้ว่าหลังเลือกตั้งด่านสำคัญที่ขวางพิธาคือ 250 ส.ว. ต่อมาจึงเริ่มชัดเจนว่าอีกด่านที่สำคัญคือคดีหุ้นสื่อ ITV ตั้งแต่เรื่องหุ้นสื่อ ITV เริ่มต้นขึ้น ในแง่ความรู้สึกประชาชนส่วนใหญ่ เชื่ออยู่แล้วว่าคือกับดักหรือกำแพงสกัดกั้นพิธา พร้อมกับที่พิธาพยายามสื่อสารว่า มีความพยายามปลุกผี ITV ให้กลับมาเป็นสื่ออีกครั้ง แต่แล้วความเชื่อถูกย้ำด้วยหลักฐานใหม่ คลิปเสียงการประชุมผู้ถือหุ้น ITV ซึ่งไม่ตรงกับบันทึกการประชุมอย่างสิ้นเชิง จนเข้าข่ายปลอมแปลงเอกสารเพื่อมัดให้พิธาดิ้นไม่หลุด คลิปเสียงนี้คือตัวพลิกเกมในแง่ความรู้สึกประชาชนอย่างมาก เพราะหากมีเหตุผลหรือกลไกใดๆ มาสกัดพิธาไม่ให้เป็นนายกฯ คนจะยิ่งไม่ยอม ไม่ว่าเหตุผลหรือกลไกนั้นจะสรรหาคำอธิบายได้ดีเพียงใด ตอนนี้ทุกคนเชื่อแล้วว่าแผนสกัดพิธามีจริง ไม่ใช่เรื่องมโน ถ้าไล่ดูไทม์ไลน์หลังจากนี้ การลงมติเลือกประธานสภาและนายกฯ น่าจะเกิดขึ้นช่วงกลาง-ปลายเดือนกรกฎาคมตามลำดับ การเมืองไทยเข้มข้นอีกครั้งพร้อมกับมติประชาชนที่ถูกท้าทาย
การขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ดูท่าจะไม่เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งๆ ที่ผลการเลือกตั้งจากประชาชน ปรากฏฉันทามติอย่างชัดเจนให้ ‘ก้าวไกล' คว้าชัยชนะอันดับ 1 และสามารถรวมเสียงพรรคฝ่ายประชาธิปไตยตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้แล้ว แต่ทว่ายังต้องฝ่าด่านหินที่ไม่จบแค่การเลือกตั้ง จากเสียงและเจตจำนงของประชาชน ด่านหุ้นสื่อ และด่าน ส.ว. กลายเป็น ‘หมวกคัดสรร' สองใบใหญ่ที่พิธาต้องเจอ ยังไม่รู้ว่าปลายทางอนาคตจะออกมาแบบไหน เพราะยังอยู่ในขั้นตอนที่กำลังจะมาถึง อาจเป็นแบบที่ประชาชนวาดหวังไว้ ให้เสียงของพวกเขาได้ปรากฏผล หรือสุดท้ายอาจจบลงด้วยเสียงของอำนาจที่ไม่มีประชาชนในสมการ นี่คือด่านที่พิธาต้องฝ่าไป
เกมเลือกตั้งจบแล้วด้วยชัยชนะของพรรคก้าวไกล เกมต่อไปคือการเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งยังมีคำถามว่าจะสำเร็จหรือไม่ ด้วยกติการัฐธรรมนูญที่วาง 250 ส.ว. ให้อำนาจเลือกนายกฯ ไว้ ทำให้แม้พรรคที่ชนะการเลือกตั้งสองอันดับแรกจะรวมเสียงกันก็ยังไม่ผ่านครึ่งหนึ่งของรัฐสภาหรือ 376 เสียง ในระหว่างการเดินเกมตั้งนายกฯ ก็เกิดข่าว ‘ดีลลับ' มากมาย ดีลลับพวกนี้มีจริงไหม ไม่มีใครทราบได้ แต่ที่แน่คือมันสร้างความหวาดระแวงกันเองให้กับทั้งพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงกองเชียร์ของก้าวไกลและเพื่อไทย ดังนั้น ‘ความชัดเจน' เพื่อลดความหวาดระแวง คือสิ่งแรกที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องทำให้ได้ ถัดจากนั้นยังมีอีกสองด่านที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ต้องฝ่าไป ด่านแรกคือด่าน 250 ส.ว. ด่านที่สองคือองค์กรอิสระเรื่องคดีหุ้นสื่อไอทีวี นี่คือสองด่านที่ขวางพิธา และกำลังขวางสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง
เลือกตั้ง 14 พฤษภาคมจบลงแล้ว มติมหาชนบอกได้ด้วยผลการลงคะแนน พรรคก้าวไกลคว้าชัยชนะมาเป็นที่ 1 ด้วยตัวเลข 152 ที่นั่ง ซึ่งยังต้องรอ กกต. รับรองผลอย่างเป็นทางการหลังจากนี้ ตามมาด้วยพรรคเพื่อไทย อันดับที่ 2 กับ 141 ที่นั่ง ก้าวไกลประกาศตั้งรัฐบาล 8 พรรคแล้วอย่างเป็นทางการ ด้วยจำนวนเสียง 313 ที่นั่ง หากเป็นกลไกปกติ ก้าวไกลก็จะมี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีตามระเบียบ เพราะ 313 เสียง เป็นเสียงข้างมากที่แข็งแรงให้ทำงานในสภาผู้แทนราษฎรได้แล้ว แต่ทว่าการเมืองไทยไม่เป็นเช่นนั้น รัฐธรรมนูญปี 2560 วางกลไกที่ซับซ้อนขึ้น ให้อำนาจ ส.ว. ไว้ในบทเฉพาะกาล มีอาญาสิทธิ์ในการ ‘เลือก' นายกฯ ร่วมกับ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งด้วย กลายเป็นโหวตนายกฯ ไม่จบที่ ส.ส. ต้องให้ ส.ว. เข้ามามีบทบาท เติมเสียงในที่ประชุมร่วม 2 สภา โดยกำหนดกติกาต้องได้ 376 ที่นั่ง จึงจะเป็นนายกฯ ได้ตามกลไกนี้ มติมหาชนชัดเจนแล้วว่าเลือกไปทางไหน และรวมเสียงสลับขั้วฝ่ายค้านเดิม สามารถมีชัยตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ คำถามที่เป็นสปอตไลต์ส่องไปที่ ส.ว. ก็คือการถามแบบตรงไปตรงมาง่ายๆ ว่า แล้ว ส.ว. จะเลือกใคร เพราะการเลือกหนนี้จะเป็นการชี้ชะตาอนาคตการเมืองไทยและบ้านเมืองไปพร้อมกัน และอาจถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์ไปอีกยาวนาน
ถ้าเปรียบการเลือกตั้งเป็นมวย ตอนนี้ระฆังยกสุดท้ายดังขึ้นแล้ว เราได้เห็นพรรคการเมืองต่างๆ งัดกลยุทธ์ไม้ตายออกมากันเต็มที่ และตอกย้ำภาพชัดเจนว่าคู่แข่งสำคัญในสนามเลือกตั้งของแต่ละพรรคเป็นใครบ้าง น่าสังเกตว่าพรรคขั้วรัฐบาลเลือกจะขยี้พรรคก้าวไกล ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ตีความได้ว่าศัตรูหมายเลขหนึ่งของขั้วอำนาจเก่าคือพรรคก้าวไกล และการจะดึงคะแนนจากขั้วอนุรักษนิยมมาเทที่ตัวเองได้ ต้องตีพรรคก้าวไกลเท่านั้น ส่วนฝั่งก้าวไกลกับเพื่อไทยแย่งฐานคะแนนเดียวกันชัดเจน เลยเป็นการต่อสู้กันระหว่างพรรคเพื่อไทยที่ขายความหวัง ความชัวร์ ผ่านประสบการณ์ที่เคยทำมาแล้ว ขณะที่พรรคก้าวไกลขายความฝัน ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่ใครก็คิดว่าทำไม่ได้ แต่พิสูจน์แล้วว่าทำได้เหมือนกันตอนเป็นฝ่ายค้าน แต่ไม่ว่าท่านจะเลือกใคร นี่คือสิทธิของท่านในฐานะเจ้าของอำนาจ การเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้มีความสำคัญมาก อยากให้ทุกคนออกไปเลือกตั้ง เพราะนี่คือเวลาของประชาชนที่ปลายปากกาจะยิ่งใหญ่กว่ากระบอกปืน
ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง พรรคการเมืองยิ่งเร่งเครื่องหาเสียง งัดทุกกลยุทธ์เพื่อชิงคะแนนเสียงประชาชนมาให้ได้ นอกจากนโยบายที่ปล่อยออกมาแล้ว ยังมีความชัดเจนเรื่องจุดยืน และท่าทีต่อคู่แข่ง ที่เริ่ม ‘ฟาด' กันแบบไม่เกรงใจ หวังให้ประชาชนเลือกให้ขาด กวดคะแนนยกพรรค ชนิดทุ่มพลังไปที่ฐานเสียงสำคัญ เดินสายทัวร์ข้ามจังหวัด งัดมุกเก่าทางการเมือง ไปจนถึงอะไรก็ตามที่เราคิดว่าเกิดขึ้นได้ แบบคืนหมาหอน และสารที่สื่อย่อมถูกตีความได้แบบไม่ต้องขออนุญาต ท่ามกลางศึกเลือกตั้ง ‘ผลสำรวจ' หรือ ‘โพล' คือเครื่องมือหนึ่งที่ต้องยอมรับว่ามีผลต่อการโหวต และปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลต่อการปรับกลยุทธ์ และท่าทีการหาเสียงของแต่ละพรรค เป็นคณิตศาสตร์ทางการเมืองที่มีผลในเชิงความคิด ความรู้สึก ทั้งต่อนักการเมืองและประชาชน โค้งสุดท้ายที่กำลังจะมาถึง น่าจะได้เห็นพรรคการเมืองงัดกลยุทธ์ ทุบคะแนนกันแบบเข้มข้น ส่วนผลลัพธ์จะเป็นไปตามคาดหรือไม่ 14 พฤษภาคมนี้รู้กัน
กระแส ‘ก้าวไกล' มาแรงในช่วงใกล้โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง 2566 ในโลกออนไลน์ก้าวไกลยึดครองแทบทุกแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะ TikTok ส่วนในโลกออนกราวด์ตั้งแต่สามย่านมิตรทาวน์จนถึงแยกลาดพร้าว คือภาพสะท้อนว่ากระแสก้าวไกลจุดติดแล้วในคนรุ่นใหม่เขตเมือง แน่นอนว่ากระแสดังกล่าวย่อมกระทบไปถึง ‘เพื่อไทย' ในฐานะคู่แข่งการเลือกตั้ง นักข่าวเจอแกนนำเพื่อไทยต้องเอาไมค์จ่อถามเรื่องนี้ สอดคล้องกับผลสำรวจโพลที่เริ่มเห็นกระแส ทิม พิธา คะแนนนำ อุ๊งอิ๊งและเศรษฐา กลยุทธ์แลนด์สไลด์ที่วางไว้ถูกท้าทายสั่นคลอน ก้าวไกลพลิกแก้เกมแลนด์สไลด์เพื่อไทย ส่วนเพื่อไทยต้องรีบแก้เกมคืน แต่การเลือกตั้งคือคนทั่วประเทศในทุกเขตภูมิภาค 14 พฤษภาคมนี้ เราจะได้รู้ว่ากระแสก้าวไกลจะเป็นคะแนนจริงได้แค่ไหน หรือการเมืองไทยดูแค่ในโลกออนไลน์ไม่ได้
กลยุทธ์การหาเสียงของแต่ละพรรคในสนามเลือกตั้งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ หลังกำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย ทั้งหมดล้วนแต่ต้องการพุ่งไปที่ ‘เป้า' อันมีหมุดหมายคือ ‘คะแนนเสียง' ที่จะเปลี่ยนแปลงเป็น ‘ตัวเลข' เพื่อคณิตศาสตร์ทางการเมืองในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นอกจากนโยบายที่เกทับบลัฟแหลก ยังมีคำถามเรื่อง ‘จุดยืน' ต่างๆ ตามมา ทั้งเรื่องจุดยืนต่อการจับมือพรรคต่างๆ ไปจนถึงประเด็นเชิงโครงสร้าง อาทิ การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เป็นต้น คำถามระหว่างทางล้วนเกิดขึ้นเพื่อแสวงหาคำตอบที่ชัดเจน อันจะนำไปสู่การมีข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ ‘เลือก' ของประชาชน ทั้งการสัมภาษณ์จากสื่อมวลชน วงดีเบตพรรคการเมืองที่มีจำนวนมาก กระจายอยู่ทุกแพลตฟอร์มและออนกราวด์ทุกภูมิภาคทั่วไทย แน่นอนว่าสปอตไลต์ล้วนส่องไปที่แคนดิเดตแต่ละพรรค เพราะคำตอบย่อมหมายถึงจุดยืนของพรรคนั้นด้วย ‘ก้าวไกล' เป็นพรรคที่วางกลยุทธ์ขึ้นเวทีดีเบตแทบทุกสนาม ขนาบไปพร้อมกับการหาเสียงแบบออนกราวด์ โดยมีพิธาเป็นผู้นำ และมีผู้ช่วยหาเสียงอย่าง ธนาธร-ปิยบุตร-ช่อ แยกทัพตามเก็บเสียง ขณะที่พรรคอื่นๆ อย่างเพื่อไทยเองก็เดินหน้าเต็มกำลังสูบ เศรษฐาขยับลุยทุกภูมิภาคแบบต่อเนื่อง หลังเปิดตัวรวมไทยสร้างชาติ พล.อ. ประยุทธ์ ก็ปรับเวลาหาเสียง ด้วยการลางานไปเดินย่านต่างๆ พล.อ. ประวิตร ก็เน้นการลงพื้นที่เช่นเดียวกัน ความเข้มข้นจะมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับคำถามเรื่องความชัดเจนที่จะดังขึ้นเรื่อยๆ 14 พฤษภาคม คือคำตอบสุดท้ายของเส้นทางนี้
ยุบสภาอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเลือกตั้ง แต่ศึกเลือกตั้งเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่แต่ละพรรคได้เบอร์บัญชีรายชื่อและ ส.ส. แบบแบ่งเขต การเลือกตั้งรอบนี้อาจจะสับสนกันอยู่บ้าง เพราะหมายเลขพรรค หรือเบอร์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ จะเป็นเบอร์เดียวกันทั่วประเทศ แต่เบอร์ของผู้สมัคร ส.ส. เขตจะไม่เหมือนกันเลย ต้องจำกันให้ดีทั้งพรรคที่ชอบและคนที่ใช่ว่าเบอร์อะไร การเลือกตั้งว่ากันด้วยตัวเลขไม่ใช่แค่หมายเลขผู้สมัคร แต่อาจหมายถึงนโยบายหาเสียงเลือกตั้งด้วย ที่ฮือฮาที่สุดต้องยกให้พรรคเพื่อไทยกับนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล อัดฉีดเงิน 10,000 บาทให้กับทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปใช้จ่ายในรัศมี 4 กิโลเมตรของที่อยู่ภายใน 6 เดือน และที่ต้องจับตามากที่สุดก็คือ คนประกาศนโยบายของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร แต่กลับเป็น ‘เศรษฐา ทวีสิน' การให้บทบาทประกาศเรื่องสำคัญ รวมทั้งท่วงท่า-สปีชบนเวทีก่อนประกาศนโยบายนี้ล้วนมีความหมายทางการเมือง เหมือนจะสื่อว่าเขาคือนายกฯ ตัวจริงของพรรคเพื่อไทย
ทักษิณ ชินวัตร เปิดเกมเสี่ยงกลับบ้านมาติดคุก นี่คือการแก้เกมที่เป็นจุดบอดของเพื่อไทย ‘ถ้าชนะ เอาทักษิณกลับบ้าน' การประกาศว่าจะกลับมารับโทษคือการปิดจุดบอดของเพื่อไทยสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์ แต่จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ อย่างไร ต้องรอชม เกมการเมืองระลอกใหม่เตรียมลั่นกลองรบเต็มกำลัง หลังทุกพรรคได้เบอร์สมัครรับเลือกตั้งทั้งแบบบัญชีรายชื่อและแบบแบ่งเขต แต่ก่อนรบกับคู่แข่ง หลายพรรคเริ่มเปิดศึกกันเองภายใน ช่วงชิงปาร์ตี้ลิสต์ในลำดับที่ปลอดภัย ทุกพรรครู้ดีว่าที่นั่งบัญชีรายชื่อมีจำกัด รวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ แม้แต่ภูมิใจไทยลำดับปลอดภัยไม่เกิน 10 ที่นั่งเท่านั้น ไม่เว้นแม้พรรคก้าวไกลที่มีดราม่าตั้งแต่เปิดชื่อ 100 คนแบบไม่เรียงลำดับ ขณะที่เพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่อาจมีปัญหาน้อย แต่ก็ใช่จะราบรื่น การจัดสรรโควตาบัญชีรายชื่อในโค้งสุดท้ายเช่นนี้จึงเป็นศิลปะในการบริหารการเมืองขั้นสูงที่น่าจับตา
การเลือกตั้ง 2566 ถูกคาดการณ์ว่าเป็น ‘เกมที่แพ้ไม่ได้' ระหว่างสองขั้ว ขั้วแรกคือขั้วรัฐบาลเดิมที่นำโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกขั้วคือฝ่ายค้านที่นำโดยพรรคเพื่อไทย แต่พอถึงศึกเลือกตั้งจริง กลับกลายเป็น ‘ศึกคนกันเอง' เพราะต่างฝ่ายต่างต้องตกปลาในบ่อเดียวกัน คู่แข่งสำคัญของพรรครวมไทยสร้างชาติคือพรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนคู่แข่งสำคัญของพรรคเพื่อไทยก็คือพรรคก้าวไกล หลายคนคงไม่แปลกใจที่เห็น ทักษิณ ชินวัตร ออกมาพูดถึงพรรคก้าวไกลว่าทำตัวคล้ายพรรคประชาธิปัตย์ เพราะรู้กันอยู่ว่านี่คือคู่แข่ง และสิ่งที่ธนาธรพูดว่ารังเกียจนักการเมืองที่ย้ายพรรคไปมา ไม่มีอุดมการณ์ ก็กระทบพรรคเพื่อไทยโดยตรง ส่วนฝั่งขั้วพรรคร่วมรัฐบาลเดิม อนุทินเช้ากอดตู่ ตกเที่ยงร่วมวงป้อม พร้อมปล่อยข่าวรวมตัวจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่พูดถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ กัน พล.อ. ประยุทธ์ ออกจากวงการต่อรอง ศึกคนกันเองคือเกมการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเข้าโหมดการเลือกตั้งเต็มตัว
ยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองเวลานี้คือเกมสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง ชัยชนะในแบบที่แต่ละพรรควางเป้าหมายไว้ และผลลัพธ์ของเกมนี้คือตัวเลข ส.ส. ขณะที่คณิตศาสตร์ทางการเมืองเวลานี้ยังคงเป็นสมการที่ถูกตั้งโจทย์ไว้ เพื่อไทย, ก้าวไกล, รวมไทยสร้างชาติ, พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ขยับลงพื้นที่หาเสียงอย่างต่อเนื่อง ทยอยเปิดตัวนโยบายและผู้สมัคร พร้อมประกาศสโลแกนหาเสียง รวมถึงวางเดิมพันทางการเมืองหนนี้ ชนิดเป็นเกมที่แพ้ไม่ได้ บวก-ลบ-คูณ-หาร-แก้สมการแล้ววงต้องไม่แตก ยังไม่มีใครรู้ว่าอนาคตการเมืองจะเดินไปทางไหน ขั้วเก่า พลังใหม่ ใครจะได้เข้าเส้นชัย ทว่าเหตุการณ์ที่นำไปสู่คำถามคือ กรณีป้าที่ราชบุรีถูกล็อกคอ อุดปาก ใช้ร่มบังจากเจ้าหน้าที่หลังเข้าคุมตัว กรณีที่จะประท้วงนายกฯ คำถามคือ บรรยากาศประชาธิปไตยและการหาเสียงจากนี้จะเดินหน้าไปต่อแบบไหน เพราะแค่เริ่มต้นก็เหมือนจะนับถอยหลังทันที
หลังจากพรรคเพื่อไทยเปิดตัว 'อุ๊งอิ๊ง' แพรทองธาร ชินวัตร เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มาได้พักใหญ่ วันนี้ 'เศรษฐา ทวีสิน' นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ก็ได้เวลาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 'เศรษฐา' ที่เคยโชว์วิสัยทัศน์ทางการเมืองบนเวทีสาธารณะหรือในโซเชียลมีเดีย มาวันนี้เมื่อลงสู่สนามจริงl จำเป็นต้องเตรียมรับแรงกระแทกให้ดี การออกอาการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และจตุพร พรหมพันธุ์ ตามด้วยการเปรยๆ จากชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คือสัญญาณเตือนให้เศรษฐา ประมาทแรงกระแทกนี้ไม่ได้ เศรษฐา เปิดตัวพร้อมคำตอบว่าถ้าลงสนามการเมือง ขอเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ตำแหน่งอื่นไม่สนใจ เพราะตัดสินใจทำในสิ่งที่อยากทำไม่ได้ ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองทันที ในแง่หนึ่ง เข้าใจได้ว่าตอบแบบนี้เพื่อแสดงความชัดเจนว่าเข้ามาการเมืองเพื่อหวังสร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่คิดหวังตำแหน่งเป็นสำคัญ แต่อีกแง่หนึ่งก็ถูกตีความว่า จะมาแทนที่ 'อุ๊งอิ๊ง' ที่หลายคนคาดว่าคือแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย คำถามจึงเกิดขึ้นว่า แล้วใครคือตัวจริง …อุ๊งอิ๊ง หรือ เศรษฐา
แลนด์สเคปการเมืองไทยเวลานี้ กลายเป็นสมรภูมิต่อสู้กันรายวัน ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่นโยบาย ตัวแคนดิเดตนายกฯ หรือรวมไปถึงจุดยืนทางการเมือง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเงื่อนไขและสมการที่นำไปสู่ชัยชนะในการต่อสู้ ที่นอกจากแกนนำพรรคการเมือง และบรรดาซูเปอร์สตาร์แต่ละพรรคจะพาเหรดออกมารบและท้ารบกันรายวันแล้ว ยังมีตัวสอดแทรกที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘วงแตก' ขึ้นในขั้วหรือเครือข่ายทางการเมืองได้ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์' ที่เวลานี้ถูกสถาปนาให้เป็น ‘มือแฉ' อันดับ 1 ที่เริ่มต้นจากทุนจีน มาพนันออนไลน์ แต่เวลานี้กลับเลี้ยวเข้ามาล็อกเป้า ‘ภูมิใจไทย' ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่กำลังเสนอตัวลงสนามเลือกตั้ง ขณะเดียวกันยังขยับไปถึงเบื้องหน้า คือ ‘อนุทิน' และเปิดหน้าถล่ม ‘เนวิน' เบื้องหลังคนสำคัญด้วย บรรทัดนี้ถึงขั้นประกาศ ‘แตกหัก' ตัดความสัมพันธ์ระหว่าง ชูวิทย์ และ อนุทิน ที่คบหากันมาหลายสิบปี การเมืองเวลานี้ทุกพรรคเริ่มปล่อยของเพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจ ขณะเดียวกันก็มี ‘การปล่อยของ' ที่ไม่ได้มาจากเกมเลือกตั้ง แต่กลับสร้างแรงสั่นสะเทือน ตีกระทบชิ่งให้ประชาชนได้ตัดสินใจด้วยเหมือนกัน
ก้าวไกล ก้าวกลาย ก้าวทีละก้าว การเมืองไทยเตรียมนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งเต็มรูปแบบ เมื่อนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศว่าจะยุบสภาช่วงต้นเดือนมีนาคม และเลือกตั้งในกรอบเวลาที่ กกต. เคยกำหนด คือวันที่ 7 พฤษภาคม ทันใดนั้น พรรคการเมืองทุกพรรคเริ่มขยับเดินเกม พรรคประชาธิปัตย์เตรียมเชิญอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาช่วยหาเสียง ฝั่ง พล.อ. ประยุทธ์ก็ประมาทไม่ได้ เริ่มเห็นเกมเตะตัดขาหน้าคู่แข่ง ส่วนพรรคเพื่อไทยขยับตัวเลขแลนด์สไลด์สู่ 310 ที่นั่ง แต่ที่เป็นประเด็นที่สุด หนีไม่พ้นพรรคก้าวไกล วิวาทะระหว่างหัวหน้าพรรค พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ตอบโต้กันอย่างเผ็ดร้อน ฝ่ายหนึ่งบอกว่า “มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” อีกฝ่ายก็โต้กลับว่า “ชุบมือเปิบ” ทำเอากองเชียร์สีส้มของพรรคก้าวไกลหวั่นวิตกว่าจะเกิดความแตกแยกภายในพรรค เพราะศัตรูที่น่ากลัวที่สุด คือมิตรที่เปลี่ยนเป็นศัตรู แต่เพียงชั่วข้ามคืน “พิธา-ปิยบุตร” ก็ดับไฟที่ทั้งสองคนร่วมกันก่อขึ้นมาลงเมื่อทั้งคู่ได้นั่งคุยกัน และโพสต์รูปคู่พร้อมข้อความขอโทษกองเชียร์พรรคก้าวไกล อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งครั้งนี้ด้านหนึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดที่แตกต่างกันของ “พิธา-ปิยบุตร” ทั้งเรื่องวิธีการ และระยะเวลา แม้เป้าหมายปลายทางจะตรงกัน แต่อีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นถึงวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งของ “คนรุ่นใหม่” ที่เรียบง่าย และไม่ซับซ้อน
ศึกซักฟอกหนสุดท้ายของรัฐบาลประยุทธ์ ที่ฝ่ายค้านเดินหวังเตะสกัด และเปิดแผลก่อนการเลือกตั้ง กลายเป็นเวทีใหญ่ให้แต่ละพรรคการเมืองได้หาเสียง และเป็นเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อนที่ ส.ส. จะหมดอายุในอีกไม่กี่สัปดาห์จากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ คือตำบลกระสุนตก ที่ถูกล็อกเป้าจากฝ่ายค้าน เป็นเป้าใหญ่ในการซักฟอก ส่วนรัฐมนตรีรายอื่นๆ เสมือนเป็นเป้าแถม ตีกระทบชิ่งให้พอได้แผล ยุทธศาสตร์สำคัญ คือหวังผลในเกมเลือกตั้ง แม้หลายคนจะบอกว่าเกมอภิปรายก็เดิมๆ แต่อย่าลืมว่าในยุคที่โลกโซเชียลบันทึกทุกอย่างไว้ เนื้อหาเหล่านี้อาจวนกลับมาได้ใหม่ ศึกซักฟอกครั้งนี้จะเปลี่ยนเป็นคะแนนนิยมได้มากน้อยแค่ไหน คำตอบสุดท้ายอยู่ที่คูหาเลือกตั้ง แต่คำตอบสุดท้ายว่าใครจะได้เป็นนายกฯ คนต่อไป ต้องเจอด่านหินสำคัญคือ พรรค ส.ว. เพราะนายกรัฐมนตรีต้องได้รับเสียงทั้งหมด 376 เสียงจากรัฐสภา และ 250 ส.ว. มีสิทธิ์เลือกนายกฯ ได้เท่าเทียมกับ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้ง การที่ ส.ว. หลายคนแสดงท่าทีชัดเจนตั้งแต่ยังไม่รู้วันเลือกตั้งว่าจะคัดค้านการแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ส.ว. กลุ่มนี้ไม่เคารพเสียงของประชาชน นั่นคือ 'ระเบิดเวลา' ของการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง
รับชมทาง YouTube สัปดาห์หน้าการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 คือเรื่องร้อนที่สุดของการเมืองไทย ในความหมายปกติ นี่คือเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจย่อมๆ แม้จะไม่มีการลงมติก็ตาม แต่ในทางการเมืองปัจจุบัน นี่คือเวทีปราศรัยของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งถ้ารูปเกมเป็นแบบนี้ สิ่งที่อาจเกิดขึ้นคือฝ่ายรัฐบาลอาจไม่ชี้แจงตอบคำถามฝ่ายค้าน แต่จะมุ่งพูดถึงผลงานของตัวเองเป็นหลัก ขณะเดียวกัน พรรคร่วมรัฐบาลทั้งภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ รวมถึงพลังประชารัฐ อาจไม่มีเหตุผลใดที่ต้องปกป้อง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่แน่ว่าวันนั้นอาจเป็นวันที่โดดเดี่ยวของ พล.อ. ประยุทธ์ตั้งแต่ย่างเท้าเข้าสภามาก็เป็นได้ ส่วนฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เป้าแรกชัดเจนว่าคือ พล.อ. ประยุทธ์ แต่เป้าใหญ่สำคัญคือคู่แข่งโดยตรงอย่างพรรคภูมิใจไทย ดังนั้นการเล็งเป้าในครั้งนี้ ฝ่ายค้านย่อมหวังผลและยิงไปที่ภูมิใจไทยอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นคู่แข่งแล้ว ยังมีเรื่องราวให้อภิปราย ชี้จุดอ่อนได้เยอะ เป็นการใช้พื้นที่สภาตัดขาคู่แข่งไปในตัว นี่คือยุทธศาสตร์ของ ‘เกมอภิปราย ม.152' ที่ต้องเฝ้าติดตามกันอย่างไม่ละสายตา
การเมืองไทยช่วงนี้อยู่ในระยะที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญอีกครั้ง การเลือกตั้ง ส.ส. รอบใหม่ กำลังจะเกิดขึ้นทั่วประเทศ คาดการณ์ว่าประชาชนจะได้กาบัตรไม่เกินเดือนพฤษภาคมนี้ นอกจากเป็นเกมเลือกตั้งระหว่าง 2 ขั้ว คือฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายอนุรักษ์นิยม ยังเป็นเกมซ้อนเกมที่เป็นศึกสายเลือดระหว่างพี่น้อง 3 ป. อันมี ป.ประยุทธ์ และ ป.ประวิตร เป็นแม่ทัพแต่ละฝ่าย ขณะที่การเดินเกมในขั้วการเมืองเดียวกันยังมีภาวะแลนด์สไลด์และภาวะเลือกให้ขาดจากกัน เป็นตัวเร่งเกมให้ร้อนแรงขึ้นไปอีก กระแสการเปลี่ยนขั้ว ย้ายข้าง เกิดขึ้นถี่รายวัน มีทั้งสมัครใจไปต่อกับพรรคเดิม และเปลี่ยนใจไปพรรคใหม่ พร้อมกับการเดินเครื่องเปิด ‘เกมดูดกลับ' ที่เห็นกันชัดๆ เวลานี้คงเป็นพรรคพลังประชารัฐของพี่ป้อม และพรรครวมไทยสร้างชาติของน้องประยุทธ์ ที่เปิดหน้าสู้กันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ปาดหน้ากันทั้งเรื่องลงพื้นที่และแย่งกันเคลมผลงานที่เคยสร้างร่วมกันมา สัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ. ประวิตร เริ่มเปล่งบารมีครั้งใหญ่ ทั้งดึง 2 กุมาร ‘อุตตม-สนธิรัตน์' กลับคืนสู่รัง และจัดงานระดมทุนได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท เหมือนให้รู้ว่า ‘พี่ใหญ่' คนนี้ไม่ธรรมดา พรรคพลังประชารัฐในวันนี้จึงเป็นที่จับตามอง เพราะนอกจากเริ่มทิ้งห่างพรรครวมไทยสร้างชาติของ พล.อ. ประยุทธ์ แล้ว ยังเร่งฝีเท้าจนหายใจรดต้นคอพรรคภูมิใจไทย ที่คาดกันว่าจะมาอันดับ 2
ใครจะคิดว่าการเมืองวันนี้เราจะได้เห็น พล.อ. ประยุทธ์ กับ พล.อ. ประวิตร เปิดศึกปาดกันทางการเมืองแบบนี้ ใครจะคิดว่า จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำ นปช. จะออกมาลากไส้ทักษิณ จะรักกันแค่ไหน แต่พอมี ‘อำนาจ' มาเป็นตัวแปร ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป จากรักเป็นศัตรู จากเกลียดก็กลายเป็นเพื่อน เกมการเมืองของประยุทธ์และประวิตรคือศึกของ 2 ป. อย่างชัดเจน แต่ พล.อ. ประยุทธ์ ดูเสียอาการมากกว่าพี่ใหญ่ อาจเป็นเพราะศัตรูคือพี่ชาย ทำให้น้ำท่วมปาก และเมื่อหันไปดูพรรครวมไทยสร้างชาติก็ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าที่ควร การเลือกตั้งที่มีข่าวว่าน่าจะยุบสภาเร็ว ก็น่าจะลากออกไปตามจังหวะความพร้อมของรวมไทยสร้างชาติ ส่วนปรากฏการณ์ลากไส้ทักษิณของจตุพร ถ้ามองแบบเกมการเมือง นี่คือสิ่งที่เพื่อไทยต้องระวัง เพราะคนเสื้อแดงคือฐานเสียงใหญ่ของพรรคเพื่อไทย หากการสะกิดแผลคนเสื้อแดงของจตุพรได้ผล อาจทำให้คนเสื้อแดงบางส่วนตัดใจไม่เลือกเพื่อไทย กระทบถึงแผนใหญ่แลนด์สไลด์ได้ ระหว่างที่การเมืองใหญ่เต็มไปด้วยศึกฟาดฟันของคนกันเอง คนรุ่นใหม่ที่มีความฝันทางการเมืองกำลังเรียกร้องเชิงสัญลักษณ์ อดอาหารเพื่อเรียกร้องสิทธิพื้นฐานการประกันตัวของผู้ต้องหาคดีการเมือง เราไม่ควรมองข้ามความเคลื่อนไหวทางการเมืองนี้ การเมืองของคนรุ่นใหม่ที่มีความฝันและงดงามกว่าการเมืองใหญ่ของคนแก่ที่ฟาดฟันกัน
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือฤกษ์วันที่ 9 เดือนแรกของปี เปิดตัวสมัครสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกสตาร์ทเป็น ‘นักการเมือง' เต็มตัวแบบ 100% แม้จะเหยียบอยู่ในสนามการเมืองมาแล้ว 8 ปีเศษ บรรยากาศการเปิดตัวในวันนั้นยิ่งใหญ่ มีประชาชนจากหลายสายมาร่วมงาน มีนักการเมืองที่ ‘ชัด' แล้วว่าจะ ‘ไปต่อ' กับ พล.อ. ประยุทธ์ ตบเท้าเข้ารายงานตัวจำนวนมาก การเปิดตัวในวันนั้นอบอวลไปด้วยบรรยากาศรักชาติ การวางผังที่นั่งที่เหมือนกับการแปรอักษร เพราะเมื่อมองลงมาจากมุมสูงจะเห็นเป็นรูปธงชาติ ขณะที่เนื้อหาภาพรวมของงานคือการตอกย้ำภาพแบรนด์ขั้วการเมืองของตัวเองให้ชัด เป็นจุดขายเรียกคะแนนนิยมให้ตนเอง พล.อ. ประยุทธ์ ประกาศบนเวทีถึงก้าวต่อไปของตัวเอง ด้วยการผนวกวรรคทอง ประเทศไทยต้องไปต่อ เป็นคีย์เวิร์ดหลัก ขณะเดียวกันยังต้องจับตาก้าวต่อไปของเครือข่ายการเมืองในขั้วที่สนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ ว่าจะขยับต่อไปอย่างไร เพราะสัญญาณแรงจากความชัดนี้ย่อมหมายถึงสัญญาณที่ส่งไปหาคนที่ยังไม่ตัดสินใจด้วยเช่นกันว่า จะไปต่อ หรือพอแค่นี้ กับ 8 ปีที่ผ่านมา
เหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยล่ม นอกจากความเสียใจต่อผู้สูญเสียแล้ว คำถามของสังคมคือเรือรบจมด้วยพายุได้อย่างไร และทำไมถึงมีเสื้อชูชีพไม่ครบจำนวนคนในเรือ ทั้งที่เป็นพื้นฐานความปลอดภัยทั่วไปของการออกเรือ นี่คือคำถามของสังคมเพื่อหวังให้ปรับปรุงระบบ ไม่ใช่การซ้ำเติมอย่างที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมเข้าใจ แต่ในทางการเมือง พลเอกประยุทธ์ อาจกำลังเผชิญกับสถานการณ์ไร้ชูชีพทางการเมือง การแยกทางกับ ‘พี่ป้อม' พลเอกประวิตร ไปพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะแทนที่คำถามสำหรับพรรคใหม่ของคนเป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นคำถามว่า จะได้ส.ส. เป็นอันดับที่ 1 หรือไม่ แต่กลับถูกตั้งคำถามว่าพรรคนี้จะมี ส.ส. ถึง 25 ที่นั่ง เพียงพอที่จะให้แคนดิเดตนายกฯของพรรคถูกเสนอชื่อในสภาหรือไม่ อะไรที่คือเหตุผลที่ทำให้ ‘ฝัน' ของพลเอกประยุทธ์สะดุด ว่ากันว่า ต่อจากนี้ไปพลเอกประยุทธ์จะเข้าใจ ‘การเมือง' อย่างถ่องแท้มากขึ้น อะไรที่คิดว่าง่ายหรือแน่นอนมันไม่เคยเป็นเช่นนั้น ทุกวันนี้เราจึงยังเห็น ส.ส. อพยพย้ายไปพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่รวมไทยสร้างชาติ พลเอกประยุทธ์ ในอดีตเป็นนายกฯ แบบลอยมา มีพี่ป้อมคอยจัดการเรื่องทางการเมืองให้ รวม ส.ส. มาอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ แต่วันนี้เมื่อไม่มีพี่ป้อมแล้ว พลเอกประยุทธ์คงจะได้รู้จักการเมืองจริงๆ เสียทีว่าเป็นอย่างไร การเมืองในวันที่ไร้ชูชีพที่ชื่อว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ
ตัวตึงการเมืองไทยในช่วงเวลานี้หนีไม่พ้น ‘พรรคภูมิใจไทย' กับการเปิดชื่อ ส.ส. จำนวน 37 คนที่จะลาออกจาก ส.ส. เปิดตัวเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย นี่คือการขยับครั้งใหญ่สู่เป้าหมาย ‘พรรคหลักร้อย' ที่ครูใหญ่ เนวิน ชิดชอบ เคยประกาศไว้ เกมนี้คือเกมใหญ่ที่จะผลักดัน ‘อนุทิน' เป็นนายกรัฐมนตรี? การเปิดชื่อ ส.ส. 37 คนของภูมิใจไทย สะเทือนไปถึงพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะ ส.ส. ที่ถูกดึงเข้ามาภูมิใจไทยมากที่สุดคือพลังประชารัฐ ในขณะที่เป้าหมายการตกปลาในบ่อเพื่อนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่หวังจะดึงจากพลังประชารัฐก็ต้องถูกตั้งคำถามว่าจะเอามาได้แค่ไหน พรรครวมไทยสร้างชาติจึงอยู่ในที่นั่งลำบาก ขณะที่พรรคพลังประชารัฐยังอยู่ในสถานะที่ดีกว่า เพราะการไม่มี พล.อ. ประยุทธ์ แม้อาจจะได้ ส.ส. น้อยลง แต่ก็คล่องตัวมากขึ้น จะหันไปร่วมกับฝ่ายไหนได้ง่ายกว่า อย่าลืมว่า มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ก็ใช้เหตุผล ‘ไม่มีตู่' ในการเข้าร่วมกับพลังประชารัฐ การเมืองไทยยิ่งใกล้เลือกตั้งยิ่งน่าจับตา ความเคลื่อนไหวมากมาย วันนี้พรรคนี้ได้เปรียบ ผ่านไปข้ามวันก็อาจเสียเปรียบได้ทันที เกมนี้ของภูมิใจไทยคือเกมใหญ่ เกมหวังเป็นนายกฯ แต่อย่าลืมเพื่อไทยกับเกมแลนด์สไลด์ที่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเกินจริง ส่วนก้าวไกลยังประเมินยาก แต่ไม่มีใครกล้าประมาท และถ้าสองพรรคนี้จับมือกันได้ ขั้วอำนาจก็พลิกได้หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า
การเมืองสัปดาห์นี้เข้มข้นมาก ตั้งแต่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยอมเปิดปากยอมรับมากขึ้นว่าจะไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ วันเดียวกับที่พรรคพลังประชารัฐ เปิดตัว ‘มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์' เกิดเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์ เมื่อเจ้าตัวประกาศกับสื่อว่า พรรคจะเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้นัดกันมา เมื่อปฏิกิริยาคนบนเวทีเหมือนจะเซอร์ไพรส์กว่า ก่อนที่วัดถัดมาจะมี ส.ส. พลังประชารัฐ เรียงแถวมาสยบข่าวดังกล่าวว่า อยู่ที่มติกรรมการบริหารพรรค ไม่ใช่การแถลงข่าว เหตุผลของการพลิกขั้วที่มิ่งขวัญบอกสื่อคือ ไร้ชื่อประยุทธ์อยู่ที่พรรคนี้แล้ว กลายเป็นตำบลกระสุนตกให้สื่อซักหนักขึ้นไปอีก หลายคนบอกว่าเป็นจังหวะช็อตฟีล…ต้องสะกิดกันให้มิ่งขวัญแถลงเรื่องอื่นบ้าง หลังการแถลงข่าวผู้คนเริ่มถามถึงอนาคตมิ่งขวัญกับพลังประชารัฐ ว่าจะยาวแค่ไหนหลังเปิดตัวได้วันเดียว ในขณะที่พรรคเพื่อไทย นำโดย อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ประกาศนโยบาย ‘ทุนนิยมที่มีหัวใจ' ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน จบปริญญาตรีเงินเดือน 25,000 บาทขึ้นไป จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างกว้างขวาง เป็นมหกรรม ‘รถทัวร์' จากหลากหลายแวดวง ที่ต่างมุ่งหน้าวิ่งมาจอดเต็มหน้าที่ทำการพรรคอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะหัวขบวนใหญ่ภาคเอกชนอย่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. แม้อุ๊งอิ๊งจะย้ำว่าภายใต้นโยบายดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในปี 2570 ไม่ใช่ทำทันทีที่เป็นรัฐบาล ปฏิกิริยาดังกล่าวดูจะสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองอยู่ไม่น้อย เพราะทำให้คำประกาศว่าจะแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งรอบหน้ามีพลังมากขึ้น เพราะหลายคนเคยเห็นความจริงเมื่อครั้งประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทในยุครัฐบาลเพื่อไทย ที่มียิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ มาแล้ว อย่าลืมว่า ‘นายจ้าง' กับ ‘คนงาน' เมื่อเข้าคูหาเลือกตั้ง เมื่อทุกคนมี 1 เสียงเท่าเทียมกัน
30 พฤศจิกายน 2565 กลายเป็นวันแห่งความชัดเจนทางการเมือง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไฟเขียวให้กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้สูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อแบบหาร 100 ได้ไปต่อ ม่านหมอกควันของนักการเมืองที่ชุลมุนกันอยู่ก่อนหน้านี้จางหาย เพราะกติกาในการเลือกตั้งชัดเจนแล้วว่าเป็นบัตร 2 ใบ และ ส.ส. บัญชีรายชื่อหาร 100 ขณะที่วันเดียวกัน พล.อ. ประยุทธ์ ปรับเก้าอี้ ครม. ถึง 3 ตำแหน่ง ตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะมาก่อนปีใหม่ หนึ่งในชื่อรัฐมนตรีคือ ธนกร วังบุญคงชนะ อดีตโฆษกรัฐบาล ที่โชว์ฝีมือยืนหยัดเคียงข้าง พล.อ. ประยุทธ์ มาโดยตลอด ได้สไลด์ขึ้นเป็น รมต. ภายใต้เส้นทางการเมืองเพียง 4 ปี และแน่นอนว่ามาภายใต้โควตาของนายกฯ ที่มีโควตา พล.อ. ประวิตร คือ รมต. จากกลุ่มปากน้ำ สมุทรปราการ พลังประชารัฐตามมาติดๆ สูตรหาร 100 ถูกมองว่าเป็นคณิตศาสตร์ทางการเมืองที่พรรคใหญ่อย่าง เพื่อไทย น่าจะได้ประโยชน์มากที่สุด ขณะที่พรรคเล็ก พรรคขนาดกลาง ต้องผสมสูตรกันใหม่ ภายใต้โจทย์ที่ทุกคนล้วนอยากมีที่นั่งในสภา พรรคก้าวไกล ถือเป็นอีกพรรคที่ต้องจับตา กับจังหวะขยับทางการเมืองที่รอบนี้ไม่ใช่ของใหม่ แต่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน ไม่มีใครเดาใจ พล.อ. ประยุทธ์ ได้ว่าต้องการให้การเลือกตั้งมาเร็วขึ้น หรือเป็นไปตามวาระปกติ แต่ทันทีที่กติกาการเลือกตั้งชัดเจน การเมืองไทยก็ปรับเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ไม่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้าน ทันทีที่ระฆังการเลือกตั้งกังวาน คำว่า ‘เพื่อน' ก็สิ้นสุดลง กลายเป็น Red Zone น่านน้ำสีเลือด
การเมืองหลัง APEC ร้อนแรงขึ้นอีกระลอก เมื่อคำถามใหญ่ถูกโยนขึ้นในสนามการเมือง ถึงอนาคตและที่ทางของ พล.อ. ประยุทธ์ ที่อาจแยกทางกันเดินกับ พล.อ. ประวิตร แต่ในส่วนของอนาคต พล.อ. ประยุทธ์น่าจะชัดเจนแล้วว่า ขออยู่ต่อสู้ศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงอย่างแน่นอน ขณะที่คำถามถึงที่ทางว่าจะเดินไปร่วมกับพรรคไหนยังคลุมเครือ รอความชัดเจน แม้จะมีกระแสข่าวว่าจะปักหมุดร่วมกับรวมไทยสร้างชาติ อันเป็นที่มาของชื่อพรรค จากคำพูดของ พล.อ. ประยุทธ์เอง แต่ปรากฏการณ์ของความเคลื่อนไหวนี้กำลังเป็นสัญญาณให้ ส.ส. ทั้งหลายจับตา เพราะคำตอบของคำถามข้างต้นจะกลายเป็นความชัดเจนของ ‘ขั้ว' และ ‘ข้าง' ที่ทุกคนต้องเลือก ขณะที่อีกความเคลื่อนไหวเหมือนเป็นสงครามระหว่างตัวแทน คือศึกระหว่าง ชูวิทย์ vs. สันธนะ ที่เวลานี้ลุกลามไปถึง ธรรมนัส และยังไม่รู้ว่าจะลุกลามไปแค่ไหน การเมืองกำลังร้อนแรง อุณหภูมิใกล้ถึงจุดเดือด แต่นอกสนามการเมือง ชูวิทย์ vs. ธรรมนัส เป็นคู่ที่เดือดกว่าใคร
สัปดาห์นี้ประเทศไทยมีอีเวนต์ระดับโลกอยู่ 2 วาระ วาระแรกคือ การประชุม APEC ที่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ หมายมั่นให้เป็นภาพความสำเร็จของรัฐบาล ที่สามารถดึงเอาผู้นำระดับโลกมารวมตัวกันที่ไทยได้ หลังการเป็นเจ้าภาพหนสุดท้ายคือเมื่อ 19 ปีที่แล้ว วาระที่สองคือ ฟุตบอลโลก ที่เหมือนเดาะลูกฟุตบอลไปมา จากปัญหาการซื้อลิขสิทธิ์ เพื่อให้คนไทยได้ดูแมตซ์บอลระดับโลกที่ถือว่าเป็นอีเวนต์สำคัญ ทั้งความนิยมทางการเมือง และการบริหารจัดการของรัฐ ขณะที่ประชาชนเป็นตำบลกระสุนตก ภายใต้คำถามที่ว่า ได้อะไรจากการประชุมดังกล่าว และจะได้ดูเมื่อไร จากปัญหาเรื่องการซื้อลิขสิทธิ์ ข้ามมาที่ปัญหาภายในของรัฐบาลเอง นั่นคือ ศึกกัญชา ระหว่างพรรคแกนนำร่วมรัฐบาล 2 พรรคใหญ่ คือ ประชาธิปัตย์ vs. ภูมิใจไทย ที่เวลานี้เหมือนจะไม่เหลือที่ทางให้กันและกัน หลังเปิดศึกใส่กันแบบไม่ยั้ง เมื่อประชาธิปัตย์ประกาศ ‘ไม่เอาแล้ว' กับนโยบายนี้ ส่วนภูมิใจไทยก็ยืนหยัดสู้ไม่ถอย เพราะ ‘พูดแล้วทำ' คือคีย์เวิร์ดการเมืองสำคัญ เชื่อว่าความร้อนแรงทางการเมืองจะร้อนยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลังจบการประชุม APEC ชนิดที่ต้องจับตากันรายวัน…สำหรับหมอกควัน ฝุ่นตลบหนนี้
สัญญาณรอยร้าวของพี่น้อง 2 ป. ‘ประวิตร-ประยุทธ์' เริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ เปล่งวาทะ “ไปเลย ไปไหนก็ไป” และ “ไม่ห้ามทั้งนั้น” สำหรับพลพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ. ประยุทธ์ หากจะไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ตามมาด้วยภาพ พีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เดินตาม พล.อ. ประยุทธ์ ในทำเนียบรัฐบาลในวันประชุมคณะรัฐมนตรี ‘รวมไทยสร้างชาติ' กลายเป็นฐานที่มั่นใหม่ของ ‘ประยุทธ์' น้องรักของพี่ป้อม ประวิตร ที่ยืนยันกันมาตลอดว่าเป็นพี่น้องที่ผูกพันแน่นแฟ้น บางคนมองว่าเป็นแผน ‘แยกกันเดิน รวมกันตี' แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าแตกกันจริงๆ ทางที่แต่ละฝ่ายกำลังจะเลือกเดิน ล้วนมีเป้าหมายปลายทางเพื่อไปสู่ ‘อำนาจ' ผ่านสมรภูมิการเลือกตั้ง ขณะที่ ส.ส. ต่างกำลังรอความชัดเจน เพื่อเลือกทางเดิน เพราะมีผลต่ออนาคตทางการเมืองของตัวเองเช่นกัน ความไม่ลงรอยกันนี้ดูเหมือนจะสะท้อนผ่านภาพความเคลื่อนไหวของทั้งประยุทธ์และประวิตรอย่างชัดเจน แม้จะผ่านศึกนอกวาระ 8 ปีมาแล้ว แต่ประยุทธ์ยังต้องเจอกับศึกใน ที่ต้องบริหารการเมือง ชนิดที่กะพริบตาไม่ได้ แถมเป็นเหมือนศึกพี่น้อง ที่มีสนามเลือกตั้งและอำนาจทางการเมืองเป็นเดิมพัน
[ส่วนลดพิเศษ 10%] THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2022 กรอกโค้ด 'NUM' สำหรับแฟนรายการ THE POWER GAME จำกัดจำนวน 100 ท่านแรกเท่านั้น
สภาผู้แทนราษฎรกลับมาเปิดสมัยประชุมอีกครั้ง ปักหมุดนัดแรกวันที่ 2 พฤศจิกายนที่กำลังจะมาถึงนี้ จุดโฟกัสที่น่าสนใจอยู่ที่การประชุมครั้งนี้ จะเป็นครั้งสุดท้ายของสภาชุดนี้ เพราะกำลังจะหมดวาระในเดือนมีนาคมปีหน้า แต่ก่อนที่เกมการเมืองในสภากำลังจะมาถึง เกมการเมืองนอกสภาก็กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นจังหวะเคลื่อนไหวโค้งสุดท้ายก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้งซึ่งน่าจับตาไม่แพ้กัน สัญญาณความไม่ลงรอยกันระหว่าง พล.อ. ประวิตร กับ พล.อ. ประยุทธ์ เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ส่งตรงไปยัง ส.ส. ในพรรคพลังประชารัฐ ที่อาจต้องเลือกอนาคตทางการเมือง ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลก็เปิดศึกหักกันกลางทาง ชิงจังหวะคว่ำกฎหมายกัญชา ส่วนฝ่ายค้านตามขย่มด้วยเกมไล่บี้ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งญัตติด่วน และอาจลามไปถึงการซักฟอก สัญญาณเลือกตั้งแจ่มชัด ขณะที่สัญญาณความไม่ลงรอยของแกนนำรัฐบาลก็ชัดเจนไม่แพ้กัน จึงน่าสนใจว่า การต่อสู้ยกนี้ก่อนไปสู่ในสนามเลือกตั้ง จะมีทิศทางเป็นแบบไหนกันแน่
ถือเป็นมิติใหม่ทางการเมืองที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ใช้บูธในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ สร้าง ‘ซอฟต์พาวเวอร์' ทางการเมือง ด้วยการจัดบูธเพื่อนำเสนอนโยบายพรรคอย่างคมคาย โดยมีเป้าหมายคือ คนอ่านหนังสือกว่าล้านคนที่มาซื้อหนังสือในงานนี้ การเปิดตัวหนังสือ Thaksin Shinawatra Theory and Thought ของพรรคเพื่อไทย และนำ ‘โทนี วูดซัม' มาแจกลายเซ็นให้คนซื้อหนังสือผ่านเทคโนโลยีสุดล้ำ ก็ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ขยับ ‘ทักษิณ' ให้เข้ามาใกล้ชิดกับคนรุ่นใหม่ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ ‘ซอฟต์พาวเวอร์' ทางการเมืองที่รุนแรงกว่ากลับไม่ได้มาจากพรรคการเมือง หากเป็น ‘เดี่ยว 13' ของ โน้ต-อุดม แต้พานิช ในช่วงเวลาเดียวกันก็เกิดกระแส ‘ฮาร์ดพาวเวอร์' ของ ‘เดี่ยว-เดี่ยว' แทรกขึ้นมา เมื่อ ศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องที่น่ารำคาญประกาศจะฟ้อง ‘โน้ต' ถูก วีรวิทย์ รุ่งเรืองศิริผล ดักชกระหว่างการแถลงข่าว จนกลายเป็น ‘ข่าวใหญ่' ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งสะใจ ถึงขั้นโอนเงินสนับสนุน ‘นักชก' แต่ก็มีหลายคำถามที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ ทั้งคำถามเรื่องหลักการใช้ ‘ความรุนแรง' กับคนที่เห็นต่าง และทำไมการใช้ความรุนแรงครั้งนี้จึงได้รับเสียงปรบมือ บางที ‘คำตอบ' ที่อยู่ในสายลม อาจเป็น ‘คำถาม' เรื่องความอยุติธรรมที่ฝังลึกในสังคมไทยมายาวนาน
การเมืองเวลานี้ทุกพรรค ทุกความเคลื่อนไหว เป็นไปในทิศทางที่ขยับเพื่อรับศึกเลือกตั้ง หลายพรรคการเมืองทยอยขายของ เปิดตัวผู้สมัครและนโยบาย เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ ขณะเดียวกันก็เหมือนการประกาศความพร้อมไปในทีด้วยว่าพรรคพร้อม กระสุนพร้อม กระแสมา แล้ว ‘นักการเมือง' หรือผู้เล่นเอง จะตัดสินใจกับอนาคตตัวเองอย่างไร พลังประชารัฐ แกนนำรัฐบาล ยืนยันความปึ้ก แข็งแกร่ง ผลงานเยอะ ทุกคนยังเหนียวแน่น ไม่ไปไหน แต่ดูเหมือนว่ารอยร้าวของ 2 ป. ‘ประยุทธ์-ประวิตร' จะไม่เป็นไปแบบนั้น ห้วงที่ พล.อ. ประยุทธ์ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และ พล.อ. ประวิตร ปฏิบัติหน้าที่แทน หลายคนบอกว่า 37 วันที่ผ่านมา คือความจริงที่ชัดเจน ส่วนที่พรรคเพื่อไทยก็อบอวลไปด้วยมวลกระแสของว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ที่โยนชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน' มาถามทางอยู่ต่อเนื่อง แต่ที่ต้องจับตาคือ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เป็นหัวขบวนพรรคเศรษฐกิจไทย เหนียวแน่นทั้งกับ พล.อ. ประวิตร และนายใหญ่ที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร กระแสการกลับบ้านเก่าของธรรมนัส ที่เตรียมยกขบวนร่วมทีมเพื่อไทยชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่ากันว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของ ‘คนแดนไกล' จะบอกทิศทางอนาคตของพรรคเพื่อไทยว่าจะเดินต่อไปอย่างไร เดินบนเส้นทางสายใหม่หรือทางเดิมที่คุ้นเคย เพราะในขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกลกำลังก้าวไปอีกระดับ เมื่อเป็นพรรคอันดับหนึ่งที่ประชาชนจ่ายเงินภาษีอุดหนุนเป็นอันดับ 1 การเติบโตของเงินสนับสนุนจากประชาชนบนเส้นทางนี้มีความหมาย และเป็น ‘ความหวัง' ของระบอบประชาธิปไตยไทย
ทันทีที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เริ่มนับเวลาการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญบังคับใช้ 6 เมษายน 2560 แม้เป็นนายกฯ คนเก่า แต่ พล.อ. ประยุทธ์ก็เหมือนจะเจอการต้อนรับ ‘น้องใหม่' เริ่มตั้งแต่ ส.ส. ในพรรคพลังประชารัฐ ออกมาโยนหินถามทางว่าเลือกตั้งรอบหน้าน่าจะไม่มีชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ บางคนพูดตรงถึงขนาดให้พิจารณาตัวเอง เพราะเหลือเวลาดำรงตำแหน่งแค่ 2 ปี เข้าประชุม ครม. นัดแรก ก็เจอ ‘ใบลาป่วย' ของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ แต่วันถัดไปกลับมีกำหนดการลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วม หันหน้ามาเจอพรรคประชาธิปัตย์ ก็ถูกทวงถามการปรับคณะรัฐมนตรี มองดูนอกทำเนียบก็มีฝ่ายค้านตั้งป้อมรอถล่มในสภา แถมพรรคร่วมรัฐบาล ภูมิใจไทย ก็เปิดตัวยิ่งใหญ่ ประกาศพร้อมเป็นนายกฯ ในการเลือกตั้งรอบหน้า ช่วงเวลาต่อจากนี้ของ พล.อ. ประยุทธ์ คือช่วงเวลาที่จะได้เผชิญกับการเมืองที่แท้จริง ‘หมูไม่กลัวน้ำร้อน' อีกต่อไป เมื่ออำนาจต่อรองของตัวเองก็น้อยลง แถมช่วงเวลา 1 เดือนที่ไม่มีอำนาจนายกฯ ผู้คนก็พบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในทางลบ และอาจจะเปลี่ยนแปลงในทางบวกด้วยซ้ำในสายตาของ ส.ส. พลังประชารัฐ การเมืองต่อจากนี้ ตัวแปรสำคัญคือความสัมพันธ์ของ 3 ป. ถ้ายังรักกันดี เคลียร์กันได้ ก็ยังประคองอายุรัฐบาลให้อยู่ไปจนครบวาระได้ เพื่อครองความได้เปรียบทางการเมือง แต่ถ้ามนต์รัก ‘ถ่านหมด' คุยกันไม่ลงตัว การเมืองจะเปลี่ยนไปทันทีและไม่มีความแน่นอน ความสัมพันธ์ 3 ป. ที่เคยเหนียวแน่นก็อาจจะเสื่อมรัก กลายเป็น ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์' ภาคการเมือง