Camouflage - Dhamma Talk

Follow Camouflage - Dhamma Talk
Share on
Copy link to clipboard

เสียงธรรมโดย Camouflage อ่านบทความธรรมะเพิ่มเติมได้ที่ camouflagetalk.com

Camouflagetalk


    • May 1, 2025 LATEST EPISODE
    • monthly NEW EPISODES
    • 31m AVG DURATION
    • 668 EPISODES


    Search for episodes from Camouflage - Dhamma Talk with a specific topic:

    Latest episodes from Camouflage - Dhamma Talk

    372.มักง่าย

    Play Episode Listen Later May 1, 2025 66:25


    บรรยายเมื่อ 19-04-2568

    371.เอาแต่ใจ

    Play Episode Listen Later Apr 21, 2025 31:07


    บรรยายเมื่อ  19-04-2568   การรับรู้ คือหัวใจที่เป็นอิสระ เป็นปกติ   มีปกติที่จะรับรู้มันอย่างเต็มที่ ว่ามันเป็นยังไง   ให้อิสรภาพกับมันในการเบ่งบาน   ให้มันแสดงอย่างเต็มที่ในใจนี้ ว่ามันเป็นยังไง   ถ้าเรารับรู้อยู่ มันเป็นการควบคุมพฤติกรรมโดยอัตโนมัติ ที่ไม่ใช่เราสั่ง ว่าเราจะไม่ทำแบบนั้น   มันไม่ใช่เราควบคุม   แต่การรับรู้ความรู้สึกนั่นเอง มันจะควบคุมตัวมันเอง เพราะมันมีฟังก์ชันที่ต้องรับรู้ความรู้สึก ไม่ใช่ออกไปทำอะไร  

    370.ออกจากระบบ

    Play Episode Listen Later Apr 20, 2025 9:21


    บรรยายเมื่อ 03-04-2568

    369.เราเป็นแค่ผู้ที่ได้รับโอกาส

    Play Episode Listen Later Apr 16, 2025 5:23


    บรรยายเมื่อ 22-03-2568

    368.จุดสูงสุงของชีวิตคือความไม่รู้, พระพุทธเจ้าคือทาง

    Play Episode Listen Later Jan 30, 2025 44:55


    บรรยายเมื่อ 25-01-2568   ชีวิตที่เป็นปัจจุบัน เป็น Stand Alone และมีความสัมพันธ์ในขณะนั้น เท่านั้น   เราไม่ได้พยายามขจัดความกลัว แต่ชีวิตในรูปแบบนี้ มันไม่มีความกลัว   แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เราพยายามทำให้เป็นแบบนี้   มันไม่มีทางจะไปถึงที่พูดนี้ได้ มันไม่ใช่เส้นทาง   มันเป็นแค่ความแจ่มแจ้งชีวิตทั้งหมด ว่ามันคืออะไร   ...   ลึกๆ ของเราทุกคน เราต้องการไปสู่จุดหมายอันหนึ่ง   จุดสูงสุดของชีวิตหรือสรรพสิ่งทั้งหมด คือ ความไม่รู้ ซึ่งไม่ใช่อวิชชา   ความไม่รู้นั่นเอง คือ ปัจจุบัน   …   พระพุทธเจ้าคือทาง เป็นตัวแทนของเส้นทาง   คำสอนอริยสัจ 4 คือเส้นทาง และบอกให้เราทุกคนรู้ว่า เราทุกคนคือเส้นทางเหมือนกัน   นั้นหมายความว่า เราทุกคนเป็นเส้นทาง ด้วยตัวของเราเองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องยึดตัวอย่างที่เป็นทางนั้น เพราะเราทุกคนเป็นได้    พระพุทธเจ้า เป็นตัวอย่างของการเป็นทาง   เวลาเราพูดถึงพระพุทธเจ้า เรามีหัวใจและความรู้สึกต่อพระพุทธเจ้า ในแบบที่ซาบซึ้ง ในแบบที่มีความสัมพันธ์และความเคารพอย่างลึกซึ้ง   สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ ทำชีวิตให้เป็นทางเหมือนท่าน แค่นั้น ไม่ใช่ยึดท่าน   ท่านมาเป็นตัวอย่างของการเป็นทาง ให้เราเห็น   เราแค่ต้อง ทำตัวเองให้เป็นทาง ให้ได้   และเมื่อชีวิตเราเป็นทางเหมือนตัวอย่างนั้นแล้ว   ความยึดตัวอย่างนั้น ในแบบมิจฉาทิฏฐิ ก็จะไม่มี   เพราะเราได้ทำหน้าที่ของความเป็นลูกหลานได้อย่างสมบูรณ์ เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว   ไม่มีอะไรจะต้องยึดอีกต่อไป เพราะเราก็คือท่าน   #Camouflage 25-01-2568

    367.ให้ชีวิตใหม่ดำเนิน

    Play Episode Listen Later Nov 20, 2024 26:23


    บรรยายเมื่อ 16-11-2024   ความปลอดภัยที่สูงสุด คือ ความไม่ต้องแสวงหาอะไรเลย   ไว้ใจธรรมชาติที่เป็นอยู่ทั้งหมดของชีวิตในตอนนี้ ... ไว้ใจมัน   ไว้ใจการนอนไม่หลับ อย่าตัดสินมัน ว่ามันเป็นอาการป่วย หรือเป็นสิ่งที่ไม่ดี   ไว้ใจสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ทั้งหมด   นอนไม่หลับ ก็นอนไม่หลับ   ไว้ใจว่า ชีวิตในขณะนี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว กับการเป็นแบบนี้ เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกับชีวิตนี้แล้ว ในขณะนี้   ไว้ใจสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหมด นั่นคือความมั่นคงปลอดภัยที่สุด ไม่ใช่พยายามแก้ให้เป็นไปอย่างที่เราคิด   ความไว้ใจ กับขณะนี้ ที่เป็นอยู่ทั้งหมดนี้ ไม่มีความคาดหวัง   ถ้ามันคาดหวัง ว่ามันจะดีกว่าตอนนี้ นั่นแปลว่า ไม่ไว้ใจ   ความไว้ใจเป็นตัวแทนของความรัก   หัวใจที่มีความรัก จึงจะสามารถไว้ใจได้   แต่เพราะหัวใจที่ขาด จึงไม่สามารถไว้ใจสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหมดได้   หัวใจที่ขาด เป็นคุณสมบัติของหัวใจที่ไม่ไว้ใจ จึงเป็นคุณสมบัติของหัวใจที่แสวงหาของมาเติมเต็ม   เพราะฉะนั้น ถ้าเราเป็นหัวใจที่ขาด เราจึงต้องแสวงหา   และถ้าเราไม่เห็นแบบนี้ มันก็จะขาด...ไม่ไว้ใจ และก็แสวงหา วนไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น   ตอนนี้เหลืออยู่ทางเดียว คือ ต้องเปลี่ยนหัวใจ   จากหัวใจที่ขาดความรัก เป็นหัวใจที่เต็มไปด้วยความรัก ซึ่งนั่นหมายถึง ความไว้ใจต่อสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหมดในขณะนี้ แค่นั้น   ถาม : ก็คือให้กลับมารักตัวเอง? ตอบ : ไม่ใช่ตัวเอง แต่รักสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหมดในขณะนี้ ไว้ใจให้มันเป็นไป   ความไว้ใจ ไม่ใช่เพียงแค่ ไว้ใจการนอนไม่หลับ แต่ไว้ใจความกลัวที่เกิดขึ้นด้วย ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น   ให้ใจเหมือนแผ่นดิน คือหมายความว่า ปลูกอะไรก็งอกงาม ความกลัวก็งอกงาม ความกังวลก็งอกงาม ...ต่างๆ งอกงาม ใจกว้างให้มันงอกงาม   ไม่ต้องไปพยายามจะขจัดมันทิ้ง หรือจัดการมัน หรือทำอะไรกับมันทั้งนั้น   ดูมันงอกงาม แค่นั้น   เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรงอกงามในผืนแผ่นดินนี้ จะเป็นสิ่งที่เราชอบหรือไม่ชอบ ดูมันเฉยๆ ให้มันงอกงาม   ไม่ต้องคาดหวังอะไรทั้งนั้น ว่าเดี๋ยวมันคงหายไปมั้ง เดี๋ยวมันคงดับไปมั้ง เดี๋ยวมันคงดีขึ้น... ไม่ต้อง   ถ้าเป็นแบบนั้น แปลว่า ใจไม่กว้างพอ ใช่มั้ย   ใจกว้างๆ ไปเลย ให้มันงอกงามไป   เราแค่รับรู้ ความเป็นไปของมัน แค่นั้น   ไม่ต้องไปตัดสินมัน   เพราะทันทีที่เราตัดสิน ว่าอันนี้เป็นความกลัว อันนี้เป็นความนอนไม่หลับ มันจะทันทีเลย แล้วบอกว่าอันนี้ไม่ดี ไม่อยากเป็นแบบนี้ และนั่นแหละ ปัญหาเกิดขึ้นที่ตรงนั้น   ใจเราไม่กว้างอีกแล้ว ไม่ไว้ใจอีกแล้ว   ให้มันเติบโตขึ้นมา ดูมันเหมือนดูละคร ให้มันแสดง ดูซิมันจะแสดงอะไรบ้าง   เราแค่อยู่เฉยๆ นอนดูไป สบายจะตาย เหมือนนอนดูหนัง ….   มีหลายมุมให้มอง อย่าใช้ชีวิตตามความเคยชิน...มันคับแคบ   ความรู้ทุกความรู้ รู้แล้ว จะต้องทิ้งไป   เพราะถ้าเราเก็บมันไว้ ในมุมนึงที่ผมเคยบอกว่า มันคืออดีต แล้วเอามาใช้ในปัจจุบัน   แต่ในมุมวันนี้ที่ผมพูด อีกมุมนึงให้เห็นก็คือ ความรู้นั้น ไม่ว่ามันจะดีแค่ไหนในการมองปัญหา มันจะเป็นความเคยชิน และทำให้การมองปัญหาทั้งหมดคับแคบทันที   ไม่ว่าความรู้นั้น จะกว้างแค่ไหนก็ตาม มันก็แคบ   การเผชิญกับสถานการณ์ ในแต่ละขณะอย่างเป็นปัจจุบัน นั่นคือความใหม่ที่สุด นั่นคือการที่ไม่ได้ยึดถือองค์ความรู้อะไรเอาไว้   เราจะมองปัญหาขณะนี้ ใหม่ที่สุด แล้วฟังเสียงของปัญญานั้น   แต่ถ้าไม่มีเสียงของปัญญา ก็อย่าเพิ่งทำอะไร   เพราะฉะนั้น อย่าทำอะไรที่เป็นความเคยชิน เพราะนั่นเป็นแค่การ Repeat ของเก่าๆ ซ้ำไป ซ้ำมา   แล้วพอของเก่า มันเข้ามากินพื้นที่ชีวิตแล้ว ของใหม่ก็เกิดไม่ได้   เราก็จะได้รสชาติแต่ของเก่าๆ ที่เราเป็น   แล้วเราก็อาจจะเบื่อ เซ็ง ทุกข์ กลัว สารพัดที่จะเกิดขึ้น   หลังจากนั้น เราก็ใช้หัวใจนั้น แสวงหา แก้ปัญหา Action ต่างๆ นานา   ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่การแก้ปัญหา หรือแสวงหาอะไรจากหัวใจอันนั้น   แต่เพียงแค่เลิกใช้หัวใจอันนั้นเฉยๆ   แล้ว Action ใหม่ในชีวิตจะเกิดขึ้นเอง   #Camouflage 16-11-2024  

    366.ไม่ใช่อิสระจากอะไรทั้งนั้น

    Play Episode Listen Later Nov 10, 2024 6:20


    บรรยายเมื่อ 28-10-2567

    365.สมองกับหัวใจ

    Play Episode Listen Later Oct 30, 2024 14:10


    ทำยังไงที่จะทำให้ หัวใจไม่อยู่ภายใต้สมอง?   ที่ผมเคยสอนตั้งแต่ในอดีต ผมพูดอยู่เสมอว่า “เราทุกคนต้องมีปัญญานำชีวิต”   และปัญญานำชีวิตนั้น เกิดขึ้นจากจิตที่มันว่าง   จิตที่ว่าง ไม่ใช่ว่างเปล่า แต่หมายถึง เป็นจิตที่พ้นจากความเชื่อทั้งหมด ที่ผมให้ทุกคนแจ่มแจ้ง   เพราะฉะนั้น จะมาถึงจิตที่ว่าง (ซึ่งเป็นสมมติชื่อนี้) นั่นหมายถึงว่า มนุษย์คนนึงต้องแจ่มแจ้งสิ่งหลอกลวงทั้งหมด ความเชื่อทั้งหมด ความกลัวทั้งหมด ความอยู่ในอดีต อนาคตทั้งหมด ความเคยชินทั้งหมด ความหลงทั้งหมด   เราถึงจะมีจิตนั้นได้ ที่เรียกว่า วัตถุดิบ ที่เป็นที่ก่อเกิดแห่งปัญญานำชีวิต และนั่นคือหัวใจ   ปัญญาคือหัวใจ ไม่ใช่สมอง   สมองเป็นแค่ความกลัว เขาถึงเรียกว่า กลัวจนขี้ขึ้นสมอง กลัวตาย กลัวป่วย กลัวเจ็บ กลัวจะเป็นอย่างนั้น กลัวจะเป็นอย่างนี้ เหล่านี้ทั้งหมดเป็นแค่ความเคยชินของสมองที่จะบีบให้เราทำนี่ ทำนั่น จนเป็นบ้า   แล้วเราก็อยู่ในความเคยชินเก่าๆ ไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิตจนตาย เราก็จะทำอย่างนี้แหละ   เพราะฉะนั้น เราจะไม่มีวันพบแสงสว่างของปัญญาในการดำเนินชีวิต เพราะเราเคยชินจะอยู่กับของเก่า   ...   เราเคยชินจะทำตามความกลัว เพราะความกลัวจะให้ความรู้สึกปลอดภัย   นั่นหมายถึงว่า เราไม่เคยมีชีวิตที่ไร้ขีดจำกัด   คำว่า “ไร้ขีดจำกัด” นั่นคืออิสรภาพ นั่นคือความเปิดกว้างมากที่จะให้สิ่งใหม่เกิดขึ้นในชีวิตได้   เพราะว่าสิ่งใหม่จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าชีวิตอยู่ในความเคยชินของความกลัว มันจะเป็นแค่การรีไซเคิลของเก่า   กลัวปุ๊บ ก็จะคิดแต่ของเก่า แล้วก็รีไซเคิล แล้วก็ทำใหม่ ทำใหม่ และคิดว่ามันเป็นอันใหม่   แต่จริงๆ มันไม่ใหม่ มันเก่า   จะรีไซเคิลอีกที มันก็เก่า   #Camouflage 25-10-2567

    364.เป็นแสงสว่างให้กับตัวเองได้…แค่นั้น

    Play Episode Listen Later Oct 23, 2024 9:27


    บรรยายเมื่อ 24-08-2567

    363.ความรักและอิสรภาพ

    Play Episode Listen Later Oct 23, 2024 8:10


    บรรยายเมื่อ 05&19-10-2567

    362.ส่งต่อความรัก

    Play Episode Listen Later Sep 5, 2024 9:56


    บรรยายเมื่อ 04-09-2567

    361.ความครอบงำที่ลึกที่สุด

    Play Episode Listen Later May 10, 2024 6:40


    บรรยายเมื่อ 05-05-2567   ผมแค่ต้องการมีชีวิตที่ ไม่ถูกอิทธิพลของความไม่จริงครอบงำชีวิต แค่นั้น เราใช้คำว่า ครอบงำ แปลว่าของที่มาครอบงำนั้น ต้องเป็นของที่ไม่จริง เช่น ตอนนี้มีกิเลส แล้วผมมีความคิดว่า ผมจะทำยังไงดี ที่จะไม่มีกิเลสตัวนี้ซักทีนึง  สำหรับผม วิธีคิดแบบนี่แหละ คือความครอบงำ และผมเห็นความครอบงำนั้น ทันทีที่เห็น ผมก็พ้นจากความครอบงำนั้น  แล้วผมจึงมีความสามารถที่จะเผชิญกับกิเลสได้อย่างแท้จริง  และผมศึกษามัน เรียนรู้มัน ว่ามันคืออะไร และนี่คือความสามารถที่เรียกว่า การเห็นตามเป็นจริง ... ความไม่ทุกข์ มันง่าย ๆ มันมีอยู่แล้ว  มันไม่ใช่การที่ใครสักคนกำลังปฏิบัติเพื่อจะไปถึงที่นั่น เพราะที่นั่นมันมีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปพยายามหาทางจะไปถึง แต่สิ่งที่มันมีอยู่ในชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งมีมากกว่าความไม่ทุกข์ นั่นคือความทุกข์ คือกิเลสทั้งหลายที่มีอยู่นี้ เรามีความสามารถจะเข้าใจมันได้มั้ย ? จะแจ่มแจ้งมันได้มั้ย ว่ามันคืออะไร ? ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ทุกข์ เรารู้มั้ย?  ทุกวันนี้เรารู้ทุกข์มั้ย? หรือมัวแต่สนใจแต่จะรู้สภาพที่ไม่ทุกข์ สภาพไม่ทุกข์ ... ไม่ต้องทำ  ผมชี้ให้เห็นเลยว่า มันมีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย  เบื้องต้น ผมชี้ให้เห็น เพื่อให้คนเหล่านั้นออกมาจากการปฏิบัติ ที่มีหัวใจที่จะแสวงหาความพ้นทุกข์ ซึ่งไม่ต้องทำแบบนั้น มันมีอยู่แล้ว  แต่สิ่งที่ต้องทำ คือ แจ่มแจ้งสิ่งที่มีอยู่ ที่มันอยู่ในชีวิตเรา ที่มันให้ทุกข์ ให้สุข ให้ความรู้สึกต่าง ๆ  แจ่มแจ้งมันว่า มันคืออะไร  นี่คืองานของเรา #Camouflage 05-05-2567

    360.ไม่เป็นอะไร กับอะไร ที่แท้จริง

    Play Episode Listen Later May 3, 2024 20:36


    บรรยายเมื่อ 21-04-2567   ความไม่เป็นอะไร กับอะไร แท้จริงมันคืออะไร? คือความสามารถของชีวิตที่จะเป็นได้ทุกอย่าง โดยที่ไม่มีความขัดแย้งภายในเกิดขึ้นเลย ถ้านักปฏิบัติธรรมเราคนนึงมีความโกรธเกิดขึ้นในใจ อย่างรุนแรง อย่างปานกลาง อย่างเล็กน้อย  สังเกตไหมว่า เรามีความเห็นต่อความมีอยู่ของมัน ในเชิงของการประเมิน ตัดสิน เหล่านั้นทั้งหมด คือ #ความขัดแย้ง  ปัญหาถัดไปก็คือว่า ทำไมถึงเกิดความขัดแย้งขึ้นภายใน? เพราะชีวิตนั้น ยังมืดบอดด้วยอวิชชา ซึ่งความมืดบอดนั้นคือ ทิฏฐิ ความเชื่อ สิ่งที่ควรจะเป็น คืออนาคต คือการตัดสินอะไรต่าง ๆ มากมาย  และความขัดแย้งภายในนั้นเอง คือความที่ชีวิตไม่มี #ความกระจ่างชัด  ความกระจ่างชัดของชีวิตนี้มีอยู่แล้ว โดยเนื้อแท้ของชีวิตเป็นความกระจ่างชัด  แต่มันถูกปกคลุมด้วยความขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากอวิชชาในรูปแบบต่าง ๆ  และนี่คือเหตุผลที่ทำไมคนคนนึง จึงต้องมี #ความแจ่มแจ้งต่อทุกย่างก้าวของชีวิต  ความแจ่มแจ้งนั้นเอง คือ ขณะแห่งการขัดเกลา ความแจ่มแจ้งในขณะนั้นเอง คือ ขณะแห่งการจบสิ้นความขัดแย้งของชีวิต  และผมไม่ได้ Demand ต้องการ ให้ใครสักคนหนึ่งไปฝึกอะไร แล้วถึงค่อยมาแจ่มแจ้ง  เพราะความแจ่มแจ้งนั้น สามารถเริ่มต้นได้ทันที ตั้งแต่ขณะนี้  เรามีวัตถุดิบทุกอย่างพร้อมอยู่เสมอที่จะแจ่มแจ้ง  ถ้าเราพูดในเชิงสัมพัทธ์ เราประเมินตัวเองว่า เราวัตถุดิบน้อย  ผมบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเราเริ่มจากเรื่องทุกเรื่อง ที่เล็กๆ  การคิด...ทำไมคิดแบบนี้ ? การพูด...ทำไมพูดแบบนี้ ? การทำ...ทำไมทำแบบนี้ ? การตอบโต้ Response Reaction ต่างๆ…ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมถึงมีการ Action แบบนี้ ? เราไม่ต้องการวัตถุดิบอะไรเลยในแบบที่เราพยายามจะฝึกกัน ต้องการใช้อย่างเดียว คือ #ความใส่ใจต่อชีวิตนี้  และผมบอกว่า ทุกคนมีสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว มันอยู่ที่เราจะใส่ใจมั้ย แค่นั้น  ... ความเป็นคนดี ก็ยากระดับหนึ่ง  ความเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็ยากอีกระดับหนึ่ง  แต่ความสามารถในการเป็นทุกอย่างสมบูรณ์ โดยไม่มีความขัดแย้ง นั่นคือสิ่งที่ยากที่สุด  คนดี ไม่อยากเป็นคนไม่ดี  คนบริสุทธิ์ ไม่อยากเป็นคนไม่บริสุทธิ์  มันจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับคนเหล่านี้ ที่จะสามารถเป็นทุกอย่าง อย่างสมบูรณ์ได้  เราเลือกจะเป็นความไม่เป็นอะไร กับอะไรได้ ซึ่งยังง่ายกว่า ความเป็นทุกอย่าง อย่างสมบูรณ์ได้ #Camouflage 21-04-2567

    359.ชีวิตที่ไม่ต้องเลือก

    Play Episode Listen Later Apr 27, 2024 15:00


    บรรยายเมื่อ 06-04-2567 ชีวิตเราเลือกสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผล ด้วยการได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์ ดีหรือไม่ดี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต แต่ส่วนที่สำคัญกว่า คือ การเท่าทันสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมด หรือที่ผมสอนว่า “แจ่มแจ้ง”  แล้วปัญญา หรือทิศทางที่จะรู้ว่าต้องเลือกไปทางไหน จึงจะเกิดขึ้น และนั่นหมายความว่า มันจะเกิดชีวิตที่ไม่ต้องเลือก  เพราะมันเป็นสิ่งที่แจ่มแจ้งอยู่แล้ว ว่าจะต้องเลือกแบบไหน ทำไมเราต้องมีชีวิตที่แจ่มแจ้ง? เพราะชีวิตเป็นความสับสนอยู่ตลอดเวลา กับสิ่งต่าง ๆ ที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย  และเราต้องเลือกอยู่เสมอในชีวิตของเรา  เราต้องเห็นโครงสร้างใหญ่แบบนี้  ชีวิตของเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ และตลอดชีวิตของเราต้องเลือก และเราเลือกด้วยการชั่งน้ำหนักของเหตุผลต่าง ๆ นานา  ซึ่งเหตุผลก็เป็นความกระจ่าง ในสิ่งที่เราตัดสินใจในระดับหนึ่ง ซึ่งมนุษย์เราก็ใช้วิธีนั้นมาตลอด เพื่อจะตอบตัวเองได้ ตอบคนอื่นได้ ในการที่เราเลือกทำอะไรสักอย่างนึง  ถ้าเราสัมผัสจริง ๆ รู้สึกจริง ๆ เราจะรู้ได้ว่า การใช้เหตุผลในการเลือกทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ลึก ๆ มันก็ยังเป็นความสับสนอยู่เหมือนกัน ว่าจริง ๆ แล้วมันถูกไหม เพราะเราจะพบว่า เหตุผลของเรา กับเหตุผลของคนอื่น ไม่เหมือนกัน ถ้าคนที่เค้าเชื่อเหมือน ๆ เรา เค้าก็อาจจะคิดเหมือนกับเรา แต่คนที่เค้าเชื่อไม่เหมือนเรา เค้าก็คิดอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเราเห็นโครงสร้างแบบนี้ของชีวิต เราก็จะพบว่า ชีวิตนั้นจะพึ่งพาแต่ความมีเหตุผลในแบบที่เราคิด และทำมาตลอด มันก็ดูจะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะคอนแคลน และไม่ค่อยน่ามั่นใจเท่าไหร่ และเป็นความรู้สึกว่าไม่จริง  ถ้าเราเห็นโครงสร้างของชีวิตอันนี้ ชีวิตนั้นจะเริ่มเปิด Dimension ที่ผมบอก ก็คือ Dimension ของปัญญา ที่เกิดขึ้นจากชีวิตที่ไม่ต้องเลือก ... ผมสอนให้เราแจ่มแจ้งความจริงที่มันปรากฏอยู่ในชีวิตของเรา เช่น ผมบอกว่า ชีวิตของเรามีสัมพันธภาพ มีปฏิสัมพันธ์กับหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน พี่น้อง และหลายอย่างเราต้องเลือกในการดำเนินชีวิต  แต่คนเราไม่เห็นโครงสร้างของการเลือกว่า มันเป็นทุกข์ยังไง มันคอนแคลนยังไง มันยังไม่จริงยังไง  นี่คือประเด็นสำคัญ เพราะคนเราไม่เคยเห็นความเป็นอย่างนี้ของมัน เราจึงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แบบนี้ ตลอดเวลา และนั่นก็เป็นที่มาของ...เมื่อเราเลือกอะไรบางอย่างแล้ว ทิฏฐิ ความเชื่อ ความยึดมั่นในสิ่งที่เราเลือก ก็ก่อตัวขึ้น เมื่อเราเลือก มันต้องถูก เมื่อเราเลือก เรามีเหตุผล  เราต้องเห็นทั้งหมดนี้ เห็นนัยยะบอกมันว่า โครงสร้างชีวิตที่ดูเหมือนจะธรรมดา ที่เราใช้กันอยู่ และมันก็ไม่มีอะไรผิด ใคร ๆ เค้าก็ทำแบบนี้ ใคร ๆ ก็ต้องมีเหตุผล ต้องรู้จักเลือก  เราใช้ชีวิตตื้น ๆ แบบนั้น เราจึงไม่เห็นโครงสร้างใหญ่แบบนี้ ว่ามันส่งผลอะไรบ้าง  เพราะฉะนั้น ผมอยากให้พวกเราทุกคนแจ่มแจ้งกับชีวิต เช่นตัวอย่างแบบนี้ จากเล็ก ๆ เรื่องธรรมดาในชีวิต แต่แจ่มแจ้งโครงสร้างของมันทั้งหมด ว่ามันสร้างอะไรบ้างที่เป็นผลเสีย หรือที่ผมพูดว่า เป็นทิฏฐิ ความยึดมั่นทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิต และเราเห็นทั้งหมดนั้น มนุษย์คนนึงเมื่อเห็นทั้งหมดนั้น สมอง หัวใจ ชีวิต มันรับรู้ รู้สึกถึงทางตันของมัน ที่มันเคยทำอย่างนี้ตลอดชีวิต  แล้วมันจึงสามารถมีความสร้างสรรค์ที่จะเปิด Dimension ใหม่ของชีวิตขึ้นมา ที่ผมเรียกว่า “ปัญญา” #Camouflage 06-04-2567

    358.อิสรภาพในการมีชีวิต

    Play Episode Listen Later Apr 23, 2024 8:45


    บรรยายเมื่อ 06-04-2567   358.อิสรภาพในการมีชีวิต การปฏิบัติธรรมจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อคนเรามีความสามารถจะมีชีวิตจริง ๆ ได้  และความสามารถจะมีชีวิตจริง ๆ ได้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เราแจ่มแจ้งความครอบงำทั้งหมดที่มีอยู่ในชีวิตของเรานี้เอง  และความสามารถจะแจ่มแจ้งความครอบงำทั้งหมดที่มีในชีวิตของเรานี้เอง นั่นคือ การที่คนคนนึงรู้จักตัวเอง  การรู้จักตัวเองจึงไม่ตกอยู่ภายใต้จิตใจของมนุษย์คนหนึ่ง ที่ตัดสินตัวเองด้วยคำพูดบางอย่าง ความหมายบางอย่าง และมีนัยยะซ่อนเร้น ที่อยากจะดีกว่านี้ซ่อนอยู่  การรู้จักตัวเอง ไม่ใช่ว่ามันดี มันมีเหตุผล มันควรจะทำ…ไม่ใช่เรื่องแบบนั้น  สำหรับผม #การรู้จักตัวเอง ไม่ใช่วิธีการ ไม่ใช่สิ่งที่ใครสักคนบอกผมว่าควรจะทำ แต่ผมรู้จากชีวิตของผมเลยว่า ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งจะต้องมีชีวิตจริง ๆ แค่นั้น  การจะมีชีวิตจริง ๆ แค่นั้น ไม่ใช่การที่ผมจะกลายเป็นอะไร แต่เป็นแค่ความรู้สึกว่า ผมมีอิสรภาพในการมีชีวิต ไม่ใช่อิสรภาพที่ผมจะไปทำอะไรก็ได้  แต่เป็นชีวิตที่พ้นจากความครอบงำทั้งหมดที่สังคม โลกมนุษย์นี้ ให้กับเราตั้งแต่เด็กจนโต  และความที่ชีวิตสามารถมีอิสรภาพแบบที่ผมพูดได้ นั่นคือ “ชีวิตมีอิสรภาพ ไม่ใช่ผมอิสรภาพ” นั่นคือสัจธรรมสูงสุดของชีวิตนี้  อิสรภาพนั่นเอง คือตัวแทนของนิพพาน สิ่งที่เราอยากจะไปถึง สิ่งที่เราถวิลหา และมองว่ามันเป็นยังไง ให้ความหมายมันว่าเป็นยังไง ในเงื่อนไขต่าง ๆ นานา เช่น ไม่มีตัวตน ไม่มีกิเลส หรืออะไรก็ตามที่เราให้ความหมายกับมันว่าบริสุทธิ์หรืออะไรก็ว่าไป สิ่งที่เราคิด ไม่ใช่สิ่งนั้น  ความว่าง หรือนิพพาน คือ สิ่งที่โอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระ  นั่นหมายความว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ไม่มีใครสักคนให้เงื่อนไขกับมัน ไม่มีใครสักคนควบคุมมัน ไม่มีใครสักคนตัดสินมัน  มันมีอิสรภาพที่จะก่อเกิด กำเนิด ตาย และแปรเปลี่ยน ไปได้อย่างหลากหลาย อย่างที่ไร้ข้อจำกัด และนั่นคืออำนาจของนิพพาน  อิสรภาพสูงสุดของชีวิต จึงเป็นตัวสะท้อนนิพพาน  และนั่นคือความหมายที่ผมบอกว่า ทำไมผมถึงสอนให้ทุกคนแค่รู้จักตัวเอง  เรานึกว่าการจะไปถึงนิพพาน เราต้องปฏิบัติธรรมในหลากหลายรูปแบบที่เราเคยเรียนมา ไม่ว่าสายไหน นิกายไหน  แต่มันแอบซ่อนความที่เราจะเป็น เราจะเอาอะไรบางอย่าง การแอบตัดสินสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ซ่อนอยู่ตลอดเวลา เราต้องเห็นแบบนั้น  #Camouflage 06-04-2567

    357.รู้จักตัวเอง

    Play Episode Listen Later Apr 16, 2024 14:46


    บรรยายเมื่อ 06-04-2567   การรู้จักตัวเอง ต้องการแค่อย่างเดียว คือ ความใส่ใจต่อตัวเองอย่างสูงสุด ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคืออะไร? ใส่ใจต่ออิทธิพลต่าง ๆ ของคำพูดคนอื่น ว่ามันให้อิทธิพลต่อเรายังไง? เราถูกผลักไปทางโน้นที ทางนี้ที ได้ยังไง? ไม่มีอะไรจะผลักเราได้ ถ้าเราไม่เอาดี  เราถูกผลัก เพราะเราตัดสิน เราตัดสินว่าไม่ดี พอไม่ดี...เราก็จะเอาดี  การรู้จักตนเอง คือ การเห็นกระบวนการผลักดันทั้งหมดนี้ แต่มันเป็นเรื่องที่เหนื่อย  มันใช้พลังงานความใส่ใจต่อชีวิตมาก ที่จะหลุดพ้นจากความลวงหลอกทั้งหมด ที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิต  เมื่อรู้จักตัวเอง ชีวิตที่แท้จริง หรือการที่คนคนนึงมีความสามารถที่จะมีชีวิตจริง ๆ ได้ จะเริ่มผลิบานออกมา จะเริ่มเปิดเผยออกมา  แล้วเราจะเริ่มแยกออกระหว่าง “ชีวิตที่เป็นจริง” กับ “ชีวิตที่อยู่ภายใต้ความครอบงำ” ทั้งหมด ตั้งแต่เราเกิดจนถึงตอนนี้ ... การรู้จักตัวเอง คือ ความสามารถในการเป็นคนดีที่แท้จริง คนดี ไม่ใช่อยู่ตรงข้ามกับคนไม่ดี นั่นเป็นคนดีในโลก  ความดีที่แท้จริงเกิดขึ้นจากการที่คนคนนึงรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ ความดีถึงจะเกิดขึ้น ความดีเกิดขึ้นจากอริยสัจ 4 จากการรู้จักตัวเอง  แต่คนดีในโลก เกิดขึ้นจากเกลียดคนนั้น...เค้าไม่ดี เกิดขึ้นจากการตัดสินคนนั้น...เค้าไม่ดี  ฉันจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้น ฉันเป็นคนดี คนดีที่เกิดขึ้นจากคนไม่ดี ก็คือ คนไม่ดีเหมือนกัน พอ ๆ กัน  “ดี” ของเรา อยู่ตรงข้ามกับ “ไม่ดี” เสมอ  แต่แท้จริง มันคือสิ่งเดียวกัน เราไม่เคยให้ความดีนั้น ผลิบานขึ้นมาจากการรู้จักชีวิตที่แท้จริง ว่ามันคืออะไร #Camouflage 06-04-2567

    356.หัวใจที่พร้อมจะรับเคล็ดลับวิชาสูงสุด

    Play Episode Listen Later Mar 25, 2024 7:39


    บรรยายเมื่อ 15-05-2565 อาจารย์ : ศาสนาพุทธเป็นสากล ไม่ใช่เรื่องพิสดาร ไม่ใช่เรื่องแบบที่เราคิดว่า โอ้ย เรานั่งทำสมาธิไม่ได้ เรามีสติไม่ได้ หรือเราไม่มีสติ เราหลงเยอะ ...เข้าใจมั้ย ไม่ใช่เรื่องแบบนั้น ทั้งหมดนี้เป็น#เรื่องอุดมคติที่เราจะไปถึง ซึ่งนั่นไม่ใช่ เราอยากจะเปลี่ยนตัวเอง...เราถามตัวเองว่าเราจะเปลี่ยนตัวเองจากที่นี่ไปที่นั่นได้ยังไง และการปฏิบัติธรรมน่าจะช่วยเราได้ ที่เราจะไม่เป็นอย่างนี้ เราจะดีกว่านี้ เข้าใจมั้ย นี่คือสิ่งที่นักปฏิบัติธรรมหรือคนที่จะเข้ามาปฏิบัติธรรมคิดว่า การปฏิบัติธรรมจะให้เราแบบนั้น  ผมถามว่า ถ้ามันไม่ใช่แบบนั้นล่ะ เราจะปฏิบัติธรรมมั้ย? เอ : สำหรับหนู หนูก็จะปฏิบัติธรรมค่ะ  อาจารย์ : เพราะอะไร? เอ : หนูก็ไม่รู้ค่ะ แต่หนูก็จะปฏิบัติค่ะ อาจารย์ : ถ้าการปฏิบัติธรรมจะไม่ได้เปลี่ยนเราให้ดีกว่านี้เลย เราก็จะปฏิบัติธรรมหรอ? เอ : หมายถึงว่าเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงหรอคะ อาจารย์ : ไม่ใช่แย่ลง หมายถึงไม่เปลี่ยนเลย สมมติว่าไม่เปลี่ยนเลย เป็นแบบนี้แหละ เอ : ถ้าไม่เปลี่ยนเลย เราก็ไม่ปฏิบัติดีกว่า  อาจารย์ : นั่นคือแปลว่าเราปฏิบัติธรรมเพื่อหวังจะได้อะไรใช่มั้ย?  เอ : เอิ่มมม ใช่ค่ะ อาจารย์ : เรามีความอยากจะได้อะไรใช่มั้ย? นั่นใช่การปฏิบัติธรรมมั้ย? เอ : ไม่ใช่ค่ะ  อาจารย์ : เพราะฉะนั้น ก่อนที่เราจะปฏิบัติธรรม เราต้องเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมคืออะไรกันแน่  เอ : ค่ะ เพราะว่าหนูยังไม่เข้าใจ หนูยังไม่เคลียร์ ยังมองภาพรวมไม่ออกว่ามันคืออะไร พอยังมองภาพรวมไม่ออก และถ้าเราเดินต่อ ความเข้าใจเรามันก็จะผิด อาจารย์ : โอเค ถ้าการปฏิบัติธรรมคือการที่ไม่ได้ไปต่อ…จะเป็นยังไง ลองคิดดูว่า ไม่ใช่การเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่การเดินต่อ …มันจะเป็นยังไง เอ : หมายถึงว่าถ้าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่การเดินต่อใช่ไหมคะ งั้นนนน...มันก็ต้องมีทางอื่น  อาจารย์ :  ทางอื่นเรียกว่าเดินต่อเหมือนกัน เอ : งั้นก็ต้องอยู่กับที่สิคะ อาจารย์ : อืมใช่ อยู่กับที่ อยู่กับที่แล้วจะเหลืออะไร? เอ : อยู่กับที่…มันก็ต้องไม่มีอะไร ผลลัพธ์มันก็ต้องเท่าเดิม…รึเปล่าคะ มันไม่มีมากขึ้น ไม่มีน้อยลง  อาจารย์ : อืม เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยู่กับที่ เห็นมั้ยว่าสมองเราคิดไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราคิดออกได้แต่ว่า ถ้าอยู่กับที่ก็ไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีการเจริญขึ้นในทางที่ดี และก็ไม่ใช่จะไม่ดีด้วยถ้าอยู่กับที่ สมองเราคิดตรรกะในเชิงนั้นออก ถูกมั้ย สมองเราคิดไม่ออกว่าในความเป็นจริงแล้วการอยู่กับที่นั้นจะเกิดอะไรขึ้น และนั่นคือการที่ทำไมนักปฏิบัติธรรมถึงไม่ยอมอยู่กับที่ เพราะเขาคิดไม่ออกว่ามันจะไปต่อยังไง เจริญก้าวหน้ายังไง เขาจึงไม่ยอมอยู่กับที่ และเขาจึงเลือกที่จะปฏิบัติธรรมในเชิงที่เขาจะเปลี่ยนตัวเองจากที่นี่ไปที่นั่น และนั่นทั้งหมดไม่ใช่การปฏิบัติธรรม...งงมั้ย? เอ : ไม่งงค่ะ อาจารย์ : มนุษย์ทุกคนจะทำทุกอย่างตามเหตุผลที่ตัวเองคิดออกเท่านั้น เพราะฉะนั้น ที่ผมถามว่า ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย...จะทำไหม? ถ้าเราบอกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย สมองจะบอกว่าเราไม่ได้อะไรเลย เราจะไม่ทำ  เพราะฉะนั้น กระบวนการปฏิบัติธรรมของมนุษย์เราอยู่ภายใต้เงื่อนของตรรกะและเหตุผลตลอดเวลา เราจึงไม่เคยได้ปฏิบัติธรรมกันเลย เราไม่ได้ทำสิ่งที่เรียกว่าปฏิบัติธรรมจริงๆ เราแค่ทำกิจกรรมที่คล้ายๆ สิ่งที่เรียกว่าการปฏิบัติธรรมเฉยๆ  #การมีชีวิตที่สิ้นหวัง การใช้ชีวิตที่ไม่มีความหวังใดๆเลย #คือหัวใจที่พร้อมจะรับเคล็ดวิชาสูงสุด  หัวใจที่สิ้นหวังคือหัวใจแห่งปัจจุบัน เป็นหัวใจที่พร้อมจะเปิดรับธรรมะสูงสุด คืออริยสัจ 4  แต่ถ้าเรามีทางไปต่อ นั่นคือทุกก้าวในทุกวันของเรา...มีหวัง  เพราฉะนั้น หัวใจนั้นเราได้มันหรือยัง?...เราไม่ได้ เราเข้ามาในวัด เข้ามาในสำนัก มีแต่คนบอกให้เราไปทำแบบนี้แล้วเดี๋ยวจะดีกว่านี้ ไปฝึกแบบนี้แล้วเดี๋ยวสติจะเร็วกว่านี้ ทำอย่างนี้แล้วเดี๋ยวจะมีสมาธิได้ดีขึ้น ทำอย่างนี้แล้วเดี๋ยวจะไวขึ้น รู้ทันมากขึ้น  ทุกอย่างให้อนาคตกับเรา และหัวใจที่อยู่ในอนาคตคือหัวใจที่ปิด  เพราะฉะนั้น ที่เมื่อกี้ผมถามว่า ถ้ามาปฏิบัติธรรมแล้วไม่ได้ไปไหน ไม่ได้ไปต่อ ไม่ได้อะไร แล้วจะยังปฏิบัติไหม? เอ : ก็ยังปฏิบัติค่ะ อาจารย์ : เพราะอะไร?...เพราะน่าจะได้ไป ใช่มั้ย? ถูกมั้ย ลึกๆ เรารู้สึกอย่างนั้น ก็อาจารย์บอกแล้วนิ ถ้าหัวใจเราไม่ไปต่อเนี่ย เดี๋ยวเราจะได้แน่ๆ ได้เคล็ดลับวิชาสูงสุด ถูกมั้ย คำตอบที่ทุกคนรู้แล้ว หรือทุกคนก็รู้แล้วแต่ลืมไปแล้ว ผมจะพูดใหม่...ต่อให้ไม่ได้อะไร เราก็ยังปฏิบัติธรรม ก็เพราะว่า #การปฏิบัติธรรมนั้นคือชีวิตที่แท้จริง…มันเป็นจริง มันเป็นชีวิตจริงๆ ไม่ใช่ชีวิตลวงๆ ที่อยู่ภายใต้ความคิด การตัดสิน ของคู่ทั้งหลาย เมื่อเรารู้จักชีวิตจริงๆ เรากลับไปใช้ชีวิตลวงๆไม่ได้ เราจึงจำเป็นจะต้องปฏิบัติธรรม แม้ว่าจะไม่ได้อะไรก็ตาม เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่า 43 ปีที่ผ่านมานั้นไร้สาระ การที่เราจะมีพลังใจที่จะมีชีวิตจริงๆ #เราต้องรู้จักว่าชีวิตที่เป็นอยู่ไม่มีสาระ...เราต้องแยกออก ทันทีที่เราแยกออก เราจะรู้เลยว่าชีวิตต้องการอะไร ชีวิตต้องอยู่แบบไหน ต้องทำอะไร  #เรื่องเหล่านี้จะต้องใช้ปัญญาของเราเอง ไม่ใช่การโน้มน้าวชักชวน หรือไปตามบรรยายกาศของกลุ่มหรือของใครก็ตาม เพราะนั่นจะเป็นเรื่องชั่วคราว #แต่ถ้าเรารู้จักว่ามันคือชีวิตจริงๆ  #มันจะไม่ชั่วคราวอีกต่อไป  Camouflage 15-05-2565

    355.ทั้งหมดคือกับดัก

    Play Episode Listen Later Mar 20, 2024 10:59


    บรรยายเมื่อ 18-11-2566   355.ทั้งหมดคือกับดัก เราจะค้นพบชีวิตที่ลุ่มลึกขึ้น ลึกซึ้งขึ้น มันยิ่งกว่าความที่เราอยากจะได้ “ความไม่ทุกข์” ชีวิตลุ่มลึกแบบนั้น ไม่ได้สามารถหาได้ในไอเดียของ “ความปลอดภัย” เราอาจจะไปทำเรื่องโง่ที่สุดเรื่องหนึ่ง ที่ไม่น่าเชื่อเลยว่านักปฏิบัติธรรมอย่างเราจะไปทำ แล้วมันให้ทุกข์กับเรามาก แต่นั่นอาจจะเป็นเพชรเม็ดงาม ที่ทำให้ชีวิตนี้เกิดปัญญาขึ้น จากความทุกข์นั้น  การปฏิบัติธรรมนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีไอเดียล่วงหน้าว่า ชีวิตควรจะอยู่ตรงไหน ยังไง แบบไหน ตามที่เราเคยสั่งสมมา รับมาทั้งหมด  เพราะนั่นหมายความว่า เราวาดภาพชีวิตไว้ทั้งหมดล่วงหน้าแล้ว แล้วเราเดินตามนั้น และทั้งหมดนั้นคือ “ความคิด” ผมถึงบอกว่า การที่เราจะมีชีวิตจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องง่าย  เรานึกว่า ชีวิตจริง ๆ คืออะไร? คือการที่ได้ทำตามใจตัวเองอะไรก็ได้??? `มันไม่ได้ง่ายแค่นั้น  การมีชีวิตจริง ๆ หมายถึงว่า คนคนหนึ่งแจ่มแจ้งในเงื่อนไข ความครอบงำ ของกรอบ ไอเดียทุกอย่าง ที่มันอยู่ในสมองเรา  การพ้นมา ไม่ใช่แค่การที่บอกว่า “อ๋อ อาจารย์บอกว่าต้องออกมา”…ไม่ใช่แบบนั้น  แต่หมายถึง แจ่มแจ้งว่าทั้งหมดนั้น มันเป็นความครอบงำ ที่ไม่จริง ด้วยตัวเราเอง  ไม่ใช่เพียงแค่ อาจารย์บอกว่า “ไอ้นี่ไม่จริง ให้ออกมาเลย” แล้วเราก็ออก นั่นเป็นความเชื่อใหม่ นั่นแปลว่าเราไม่ได้แจ่มแจ้งอะไรเลย เราแค่เชื่อผมเฉย ๆ  เราต้องแจ่มแจ้งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิต ทุกอย่างคือ “กับดัก” #Camouflage 18-11-2566

    354.ปัจจุบันของเรา เป็นแค่ภาพที่เราสร้างขึ้น

    Play Episode Listen Later Mar 18, 2024 10:35


    บรรยายเมื่อ 18-11-2566   เรามีภาพสิ่งที่ควรจะเป็น และนั่นคือความขัดแย้ง และนั่นคือเหตุแห่งทุกข์  ชีวิตของมนุษย์เรามีปัญหา เพราะเรามีเป้าหมาย เป้าหมาย คือ ภาพที่เราคิดเอาไว้ว่า เราควรจะฉลาดกว่านี้ เราควรจะอ่าน แล้วก็รู้เรื่องมากกว่านี้  ภาพนั้นเกิดขึ้นได้ ก็เพราะว่าเราเชื่อว่า “มีเราจริง ๆ”  แล้วพอเราเชื่อว่า กายกับใจนี้ เป็นเรา มีเราจริงๆ มันอยากให้ทุกอย่าง ดีหมดทุกอย่าง เช่น ต้องฉลาด ต้องสวย ต้องแข็งแรง ต้อง...ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ปัญหาของมนุษย์เรา คือ เราไม่สามารถอยู่ปัจจุบัน อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ แต่ปัญหามากกว่านั้นก็คือ มันมี “เรา” อยู่กับปัจจุบัน เหมือนที่พี่บอกเมื่อกี้นี้ว่า เราไม่อยู่กับปัจจุบัน เรามีภาพที่เราอยากจะเป็น เราก็เลยทุกข์ ถ้าเราแค่อยู่กับปัจจุบันนี้...ก็ไม่มีอะไร  ปัญหาถัดมาก็คือ เวลาเราบอกว่า “เราอยู่ปัจจุบัน เรามีเงื่อนไขไหม?” เช่น ถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน เราไม่ควรจะต้องรู้สึกทุกข์  นึกออกมั้ยว่า ปัจจุบัน มันเหมือนเป็นสิ่งที่ดี เวลาเราฟังคำสอนว่า “ปัจจุบัน”…มันต้องดีสิ มันต้องไม่มีทุกข์ หรือว่าไม่ปรุงแต่ง เราคิดแบบนั้น  ความคิดเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ เพราะว่ามันมี “เรา” อยู่กับปัจจุบัน มันไม่พ้นว่ามีสิ่งที่ควรจะเป็น เราคิดว่า ถ้าเป็นปัจจุบัน มันควรจะเป็นอย่างนี้...อย่างนี้...อย่างนี้  เราไม่เข้าใจว่า ปัจจุบัน ก็คือ ปัจจุบัน  มันเป็นยังไง ก็เป็นอย่างนั้น แต่เรามีเงื่อนไขกับมัน  ... ทุกวันนี้เรามาปฏิบัติธรรม ทำไม? ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ เราจะพ้นทุกข์ ซึ่งผมบอกว่า ไม่ใช่  ถ้าเรามาด้วยเป้าหมายนี้ ทั้งหมดที่เราฟัง เราจะเอาไปทำผิดหมดทุกอย่าง เพราะไม่ว่าธรรมะอะไรก็ตามที เราจะใช้เซ็นเตอร์คือ “ตัวเรา” นี้เป็นคนแปลความหมาย แล้วเราแปลความหมายสิ่งต่าง ๆ ได้แต่ในทางดีเท่านั้น เพราะเราจะเอา  แม้คำว่า “ปัจจุบัน” ที่เราคิดว่า เราเข้าใจได้ง่าย ๆ แต่เราไม่เข้าใจ เพราะเราแปลว่า “มันดี” #Camouflage 18-11-2566

    353.ทำไมจึงเกิดการเพ่ง

    Play Episode Listen Later Mar 14, 2024 4:31


    บรรยายเมื่อ 18-11-2566   วิถีชีวิตหลัก มันสร้างความหลง ซึ่งแบ่งแยกกับความรู้ และทำให้เราตั้งใจ เพราะไม่อยากหลง แต่เรามานั่งแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ อย่าเพ่ง ปล่อย อย่าประคอง...ไม่มีวันจบ เราไม่เข้าใจต้นตอ ของปัญหาทั้งหมด ว่าคืออะไร #Camouflage 18-11-2566

    352.ฟังด้วยชีวิต

    Play Episode Listen Later Mar 8, 2024 2:25


    บรรยายเมื่อ 01-03-2567

    351.ไม่หลงเหลือสัจธรรม

    Play Episode Listen Later Mar 7, 2024 6:52


    บรรยายเมื่อ 28-10-2566

    350.พระเจ้าคือ...

    Play Episode Listen Later Mar 7, 2024 4:44


    บรรยายเมื่อ 29-02-2567

    349.เราทุกข์เพราะเราติด

    Play Episode Listen Later Mar 7, 2024 4:57


    บรรยายเมื่อ 29-02-2567

    348.หนีไม่พ้นอยู่คู่ตรงกันข้าม

    Play Episode Listen Later Mar 7, 2024 3:57


    บรรยายเมื่อ 14-10-2566

    347.ทุกข์จากจุดอ้างอิง

    Play Episode Listen Later Feb 21, 2024 28:33


    บรรยายเมื่อ 02-10-2566 เราทุกข์ เพราะเรามีมาตรฐาน  อย่างมาตรฐานว่า เราไม่ควรจะทุกข์ นั่นก็คือความปลอดภัย ใช่มั้ย?  เราควรจะเป็นจิตบริสุทธิ์ ก็คือความปลอดภัยของชีวิต ใช่มั้ย?  อันดับแรก คือเราไม่เห็น ความต้องการความปลอดภัยของวิธีคิด ที่จะใช้ชีวิตยังไง  อันดับ 2 คือเราไม่เห็นว่า เราทุกข์จากวิธีการอยู่ในความปลอดภัย เช่น จะอยู่อย่างปลอดภัย ควรจะเป็นอย่างนี้  วิธีคิด ก่อให้เกิดบรรทัดฐาน หลักการ ที่อยู่ แล้วพอเกิดจุดอ้างอิงอันนี้ขึ้น ความทุกข์จะเกิดขึ้นจากจุดอ้างอิงอันนี้ ที่เราสร้างขึ้นมาเอง  คือเราไม่เข้าใจว่า ชีวิตนั้น ทุกข์และสุข อย่างเป็นจริงที่สุด โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับจุดอ้างอิงเป็นยังไง  เข้าใจมั้ย? ต้องคิดตามนะ เราทุกข์จากจุดอ้างอิง ซึ่งทุกข์ทั้งหมดนี้...ไม่จริง  แต่มนุษย์มีทุกข์จริง ๆ อยู่ ที่ไม่เกี่ยวกับจุดอ้างอิง  ถ้าใครไม่เข้าใจ เดินมาตรงนี้ เดี๋ยวจะตบหน้าทีนึง นึกออกมั้ย? เจ็บ ไม่ต้องอ้างอิงกับอะไร ทุกข์ทันที หรือโมโห ก็ทุกข์ทันทีเหมือนกัน คำว่า “เห็นตามเป็นจริง” นั้น หมายความว่า “ชีวิตต้องจริงก่อน” ถึงจะเห็นตามเป็นจริงได้ คือทุกข์จริง ๆ ก่อน ถึงจะเห็นทุกข์ตามความเป็นจริงได้  แต่ที่เรามีจุดอ้างอิงไว้นั้น มันก็ทุกข์ แต่เป็นทุกข์ปลอม  ทุกข์ที่เราสร้างขึ้นเอง จะทุกข์จริง ๆ ไม่เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น กว่าเราจะรู้จักทุกข์จริง ๆ เราต้องเห็นทุกข์ปลอมๆ ซึ่งมีอยู่ตลอดชีวิตของเราก่อน ถ้าทุกข์ปลอม ๆ ยังไม่หมด ก็ยังไม่เห็นทุกข์จริง ๆ  แต่การปฏิบัติธรรม คือ เห็นตามความเป็นจริง แล้วเมื่อไหร่จะได้เห็น? ชีวิตมันซับซ้อนมาก ที่ผมเคยบอกว่า หัวใจที่ไม่แบ่งแยก ไม่ใช่จุดสุดท้ายที่เราจะไปถึง แต่คือจุดเริ่มต้น  จุดเริ่มต้นที่เราจะได้เรียนรู้ทุกข์จริง ๆ ว่าคืออะไร #Camouflage 02-10-2566

    346.ไปสู่สิ่งที่ยังไม่รู้

    Play Episode Listen Later Feb 8, 2024 26:50


    บรรยายเมื่อ 30-09-2566 เมื่อเราเริ่มต้นที่จะรู้จักตัวเอง เราจะเริ่มลงลึก ในการลงลึกนั้น เราจะพบว่ามีข้อมูลความรู้ ความคิด บทสรุปบางอย่างที่เราเคยเรียนรู้มา คุณธรรมความดี ทุกสิ่งทุกอย่าง จะเข้ามาคอยแทรกแซง บิดเบือน การลงลึก เพื่อที่จะรู้จักความจริงของชีวิตนี้  อำนาจของการบิดเบือนจากสิ่งต่าง ๆ ที่ผมพูดถึงนั้นมีพลังมหาศาล เพราะตลอดชีวิตของเราตั้งแต่เกิด และความเคยชินของจิตใจที่จะอยู่ภายใต้ความครอบงำนั้น มีพลังอำนาจ มันมีพลังอำนาจมหาศาล เพราะเบื้องหลังของมัน คือ “อวิชชา”  ความดำรงอยู่ของอวิชชา ที่มีมาอย่างยาวนาน คือพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่  และมนุษย์คนหนึ่ง จะต้องมีพลังของวิชชา ไม่น้อยไปกว่าอำนาจของอวิชชา  พลังของวิชชานั้น จะเกิดขึ้นได้ยังไง? พลังของวิชชานั้น เกิดขึ้นจากความสามารถของชีวิต ที่จะรู้จัก และฝ่าวงล้อมของอวิชชา  เป็นกระบวนการของชีวิต ที่ไม่มีบทสรุปล่วงหน้า ไม่มีความเห็นว่า สิ่งที่เป็นอยู่ขณะนี้...จริง ๆ มันควรจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่แบบนี้  ไม่มีเป้าหมาย ของการทะลุทะลวงอวิชชาทั้งหลาย เพื่อจะได้รับอะไร  เป็นการทะลุทะลวงที่ปราศจากมลทินของมิจฉาทิฏฐิ ที่ครอบงำและให้ทิศทางของชีวิตนี้เอาไว้  และนี่คือความสามารถของความมีชีวิต ที่เป็นปัจจุบันอย่างยิ่ง  … ระบบของความคิด ความรู้ บทสรุปของความจริง คือ ความครอบงำอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ  เราไม่เคยเห็นมัน เราพลาดที่จะเห็นมัน เพราะมันดี เพราะมันส่งผลดีต่อชีวิตของเรา  และนี่คือพลังอันยิ่งใหญ่ของอวิชชา  การเห็นมัน เปรียบเสมือนการสูบพลังงานทั้งหมดของอวิชชา เปลี่ยนเป็นวิชชา  เราไม่ได้สร้างพลังงานขึ้นมาใหม่  เราไม่สามารถจะสร้างพลังงานอันยิ่งใหญ่ ในแบบที่อวิชชาทำได้ เราแค่ต้องพลิกมันเฉย ๆ  และความสามารถนี้ ไม่มีใครจะสอนให้เราได้ การปฏิบัติธรรม คือ ศิลปะอันยิ่งใหญ่ในการใช้ชีวิต และเราต้องเรียนรู้ศิลปะนั้น ด้วยตัวของเราเอง #Camouflage 30-09-2566

    345.หยินหยาง

    Play Episode Listen Later Feb 3, 2024 18:09


    บรรยายเมื่อ 24-09-2566 ชีวิต ไม่ใช่การปรุง หรือไม่ปรุง ไม่ใช่ทุกข์ หรือไม่ทุกข์ แต่คือ การเห็นปัจจัย เงื่อนไขทั้งหมดในชีวิต ที่ก่อให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ขึ้น นั่นก็หมายความว่า อารมณ์ ความรู้สึกนั้น ๆ ก็ไม่ถูกจริงจัง ไม่ว่าจะบริสุทธิ์ ไม่ปรุง หรือไม่บริสุทธิ์ ปรุง 2 อันนี้เท่ากัน เพราะไม่มีใครให้คุณค่า ว่าอะไรดีกว่าอะไร เพราะถ้ามันมีคุณค่า ว่าอะไรดีกว่าอะไร จะมีใครซักคน เป็นคนตัดสิน และคนตัดสินจะเป็นเจ้าของสิ่งที่ดีกว่า และจะมีปัญหากับสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม ... ชีวิต คือของทั้งสองข้าง ที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เหมือนหยินหยาง ปัญญา คือ ความแจ่มแจ้งในความเข้าใจของทั้งหมดของชีวิตนี้ ที่มีของทั้งสองด้าน และมันอยู่ด้วยกันเสมอ เหมือน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นทุกข์ แต่เวลาเราไปเที่ยวภูเขา แม่น้ำ ทะเลหมอก แม้กระทั่งช้อปปิ้ง เราอาศัยตา ตาให้ความเบิกบานและความสุขต่อชีวิตนี้  แต่ตัวตามันเอง เป็นทุกข์ เพราะมันเป็นของที่เสื่อม และเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น โดยตัวมันเอง คือหยินหยาง คือสุขและทุกข์ ปัญญา คือ ความเข้าใจว่า ทั้งหมดของชีวิตนี้เป็นทุกข์ โลกนี้ ผัสสะ อารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ ธาตุขันธ์ทั้งหมด ด้วยตัวมันเองเป็นทุกข์ แต่ความสามารถของมัน ในการรับผัสสะทั้งหมด มันรับได้ทั้งทุกข์และสุข  เพราะฉะนั้น ทั้งหมดของเหรียญทั้งสองด้าน อยู่ที่ตัวของมัน มันมีทุกอย่าง  แต่ความเห็นผิด เราอยากจะให้คุณค่ามันแค่ด้านเดียว เราไม่ยอมรับความมีอยู่ของมัน ที่เป็นของทั้งสองข้าง  ถ้าเข้าใจที่ผมพูดทั้งหมด เราจะเข้าใจว่า ด้วยตัวชีวิตทั้งหมดนี้ ไม่สามารถแบ่งแยกได้ ไม่สามารถจะเลือกข้างได้  ความสามารถในการที่มันเป็นได้ทั้งสองข้าง มันอยู่ด้วยกันสนิท ไม่มีรอยแยก  คือความหมายที่เราเคยได้ยินว่า “กิเลส” กับ “โพธิ” เหมือนกัน เป็นสิ่งเดียวกัน เท่ากัน ... คือแบบนี้ โลกนี้ หรือมนุษย์ คือหัวใจของความแบ่งแยก คือหัวใจของการเลือกข้างของของคู่ ธรรมชาติของมันเป็นแบบนั้น  การแจ่มแจ้งในธรรมชาติของมันแบบนี้ นี่คือ การปฏิบัติธรรม  แต่มันยากที่คนคนนึงจะแจ่มแจ้งธรรมชาติแบบนี้ เพราะสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์ จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่ถูกที่สุด สิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด ให้กับตัวเอง #Camouflage 24-09-2566

    344.ตรัสรู้อริยสัจ 4

    Play Episode Listen Later Jan 25, 2024 32:46


    บรรยายเมื่อ 16-09-2566   นักปฏิบัติธรรมเรามุ่งความสนใจไปที่นิโรธ  คล้าย ๆ ว่า “นิโรธ” คือ เป้าหมายสำคัญของชีวิตที่เราต้องการ คือ ความดับทุกข์  นี่คือหัวใจของอวิชชาสูงสุด เราให้ความสำคัญ ให้ความสนใจ ว่าเราคนหนึ่งในฐานะมิจฉาทิฏฐิ จะไปถึงซึ่งความดับทุกข์  หมายความว่า หลังจากแจ่มแจ้งอริยสัจ 4 แล้ว ชีวิตทั้งชีวิตที่เหลือจากนั้น คงเหลือแค่นิโรธ ถ้าเราคิดว่า เราเป็นพระอรหันต์แล้ว  เข้าใจที่ผมบอกมั้ยว่า มนุษย์เราคิดว่า ชีวิตนี้เป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นของเรา จึงเกิดวิธีคิดแบบที่ผมพูดเมื่อกี้นี้ทั้งหมด  แล้วมันดูน่าเชื่อถือ มันดูน่ามีความหวัง มันดูเป็นอะไรที่เรามนุษย์คนหนึ่งสมควรจะได้รับในการเกิดมา และลงทุนปฏิบัติธรรม  แล้วความหมายของการที่ท่านบอกว่า ท่านตรัสรู้อริยสัจ 4 คืออะไร? หมายความว่า แต่ละขณะของชีวิตนั้น เป็นการแจ่มแจ้งในทุกข์นี้ แล้วมันจะยังผลให้เกิดการละสมุทัย แจ้งนิโรธ เจริญมรรค  และด้วยสัมมาทิฏฐิข้อแรกที่ท่านสอนเอาไว้ คือ โลกนี้ว่างจากความเป็นสัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา  จึงไม่มีใครเข้าไปแทรกแซง หรือเป็นเจ้าของ กระบวนการของอริยสัจ 4 หรือเป็นเจ้าของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการของอริยสัจ 4 เช่น นิโรธ  เป็นเพียงการตรัสรู้ว่า การเกิดมาในความเป็นมนุษย์นั้น อยู่ในโลกแห่งความขัดแย้งสูงสุดและความแบ่งแยกสูงสุด และนั่นนำไปสู่ความทุกข์ของมนุษย์โลกทั้งมวล  และทางออกจากชีวิตที่เป็นความทุกข์อันมหาศาลของหมู่มวลมนุษย์นั้น คือ การที่คนคนหนึ่ง รู้จักว่าชีวิตที่แท้จริงนั้นเป็นอริยสัจ 4 แบบนี้ แค่นั้น ทางออกของชีวิตที่จะอยู่ในโลกนี้ได้ ไม่ใช่ทางออกของ “เรา”  ท่านค้นพบว่า การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ในความเป็นมนุษย์ ในการอยู่ในโลกนี้ คือ การมีหัวใจที่เป็นอริยสัจ 4  เข้าใจไหมว่า ไม่มีใครจะไปไหน ไม่มีใครจะเป็นอะไร ไม่มีใครจะไม่เกิด หรือมาเกิด  เหมือนเราพูดว่า จิตนี้เกิด แล้วก็ดับ  ไม่มีใครเป็นเจ้าของความเกิด ไม่มีใครเป็นเจ้าของความดับ มันเป็นอย่างนี้เฉย ๆ  เพราะฉะนั้น ชีวิตทั้งชีวิตก้อนใหญ่อันนี้ มีความเป็นอริยสัจ 4 แบบนี้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เหมือนกับจิตเกิด และดับ  ไม่มีใครเป็นเจ้าของโครงสร้างเหล่านี้ทั้งหมด  และถ้าเราเข้าใจทั้งหมดที่ผมพูดนี้ ชีวิตนี้จะเป็นปัจจุบัน จะตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นปัจจุบัน และไม่เกี่ยวข้องกับของคู่ใด ๆ ที่โลกนี้สร้างขึ้นมา  และชีวิตที่เป็นปัจจุบัน คือ ชีวิตที่ไม่ถูกครอบงำด้วยอวิชชา  แล้วแปลว่า เราเป็นพระอรหันต์ไหม? เราจะไม่เกิดอีกแล้วไหม? คำถามแบบนี้จะเกิดขึ้นเมื่อ ชีวิตยังไม่เป็นปัจจุบัน  เพราะถ้าชีวิตเป็นปัจจุบันแล้ว มันคิดไม่ออกกับคำถามแบบนั้น  เหมือนเป็นคำถามเสมือน ที่ไม่มีอยู่จริง  จะให้ตอบว่า เราเป็น มันก็รู้สึกตลก เหมือนเราตอบสิ่งที่ไม่มี ว่ามันมีอยู่จริง  #Camouflage 16-09-2566

    343.ฝ่ากระแสมิจฉาทิฏฐิ

    Play Episode Listen Later Jan 19, 2024 22:28


    บรรยายเมื่อ 02-09-2566   ผมเคยบอกว่า คนคนนึงจะออกจากโลกได้ จะต้องฝ่ามิจฉาทิฏฐิทั้งหมดของโลกนี้  ความคิดของเราต่อความสัมพันธ์ทั้งหมด ต่อสมมติทั้งหมด ที่เราเป็นจริงเป็นจัง ความคิดเหล่านั้นทั้งหมดเป็นตัวแทนของมิจฉาทิฏฐิของมนุษย์ทั้งโลกนี้  การที่เราจะต้องฝ่าความเห็นผิดนั้นไป หมายถึงว่า เราจะต้องฝ่าพลังงานทั้งหมดที่มนุษย์คิดเหมือนกัน  และถ้าเราฝ่าไปได้นิดนึง แล้วเราก็รู้สึกว่ายากนะ เอาไว้ก่อนแล้วกัน อยู่ตรงนี้ เราก็โอเคหนิ เราก็จะกลับมาที่เดิม  เราต้องฝ่าเข้าไป ในการฝ่านั้นมีความเจ็บปวดเสมอ ถ้าเราไม่ยอมเจ็บปวด ชีวิตเราก็สบาย และเมื่อชีวิตสบาย มันก็อยู่แค่นี้ อยู่ที่เดิมไปเรื่อย ๆ  แต่การฝ่าทะลุพลังงานทั้งหมดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่ออกมาในรูปของความคิด ความรู้สึก อารมณ์ มันเจ็บปวด และมันจะดันเรากลับ  ในขณะของการฝ่านั้น สิ่งที่ต้องมีสูงสุด คือ ปัญญา และความอึด ถึก  เหมือนจรวดที่จะต้องมีเชื้อเพลิงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการขาดตอน ไม่มีการที่จะให้ดันกลับ  แต่พอคนเรามันไม่มีพลังงานของปัญญา ไม่มีพลังงานของความอึด ถึกแบบนั้น พอดันเข้าไป ๆ แล้วมันก็ถูกดันกลับ  และพอเป็นแบบนี้หลาย ๆ ครั้ง เราก็เลิก  เราไม่อยากเจ็บปวดแบบนั้นแล้ว ไปไม่ไหว เจ็บปวดหัวใจเกินไป รับไม่ได้ ทรมานใจมากเกินไป และนั่นคือวิธีของมิจฉาทิฏฐิที่จะทำให้คนไม่ยอมฉลาด  ตอนที่เรากำลังจะทะลุขึ้นไป จากชั้นพลังงานมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด สิ่งที่เราทำได้อย่างเดียว คือ ถ้าเราไปต่อไม่ได้ เราจะต้องไม่ถอย  ถ้าชีวิตเรามีความทุกข์และความบีบคั้นน้อย เราต้องมีปัญญามากที่สุด ในการฝ่าวงล้อมนี้ออกไป  ... เราจะต้องเผชิญความสัมพันธ์อันหลากหลาย ไม่ว่าความสัมพันธ์นั้นจะให้ความทุกข์ หรือความสุข  หลังจากให้ความทุกข์ เกิดอะไรขึ้น? มันอาจจะให้ทุกข์มากขึ้น หลังจากที่เราได้ปรุงแต่งมากขึ้น หรือถ้ามันให้ความสุข เราก็อยากจะได้อีก มันก็เป็นความทุกข์อีกแบบหนึ่ง  เราต้องแจ่มแจ้งในความจริงของชีวิตว่า แต่ละอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด หรือความสัมพันธ์ทั้งหมด มันไม่มีแก่นของความจริง ในรูปแบบที่มนุษย์เคยสรุป ในเชิงของคุณค่านั้นเอาไว้จริง ๆ  นี่คือสิ่งที่ผมบอกว่า เราต้องแจ่มแจ้งในโลก แจ่มแจ้งในชีวิตเบื้องต้นก่อน แบบนี้  หลังจากเราแจ่มแจ้ง เข้าใจในความลวงหลอกทั้งหมดของชีวิตนี้แล้ว ผ่านการพิจารณา ขั้นตอนต่อไปคือ การฝ่ามันออกไป  ตอนที่พิจารณาทั้งหมดนั้น ใช้ความเจ็บปวดจากปฏิสัมพันธ์ หรือความคิดของเราเอง ในการอยู่ในโลกนี้ ซึ่งมันก็ทุกข์บ้าง สุขบ้าง และอาจจะทุกข์เยอะกว่าสุข นี่คือความเจ็บปวดที่มากระดับหนึ่ง ที่มากพอที่จะทำให้คนคนนึง หาทางพ้นทุกข์ แต่จะหาทางถูกมั้ย นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และเมื่อคนคนนั้นหาทาง แล้วไปอย่างที่ผมบอก มันจะเกิดการฝ่ากระแสทั้งหมดของมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งอันนี้เจ็บจริง ทุกข์จริง  ในเบื้องต้นที่เราได้พิจารณาแล้วนั้น จะเป็นรากฐานสำคัญของความมีปัญญาในชีวิต เป็นเชื้อเพลิงสำคัญ ของการทะลุผ่านมิจฉาทิฏฐิขึ้นไป  เพราะฉะนั้น เราต้องแจ่มแจ้งชีวิตอย่างมาก ในทุกอย่าง ในโลกนี้ เพราะมันคือเชื้อเพลิงสำคัญที่สุด ที่จะฝ่าพลังงานแห่งมิจฉาทิฏฐิทั้งหมดนี้ออกไปได้ #Camouflage 02-09-2566  

    342.อกาลิโก

    Play Episode Listen Later Jan 11, 2024 22:49


    บรรยายเมื่อ 02-09-2566   การเกิดมาของชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง มันหมายความว่าอะไร? เราคิดแต่ในทำนองที่ว่า เราเกิดมา ทุกข์เหลือเกิน และใครที่จะช่วยเรา ให้พ้นทุกข์นี้ได้  เราเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่า วิธีคิดทั้งหมดนี้ คือ ระยะทาง และกาลเวลา และเป็นมิจฉาทิฏฐิ  นี่คือวิธีคิดเบื้องแรกของมนุษย์เราทุกคน  แต่มันไม่ใช่แค่เราคิดคนเดียว คนอื่นก็คิดเหมือนกัน  และมีคนหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะพ้นทุกข์ ตั้งแต่การสร้างความบันเทิงในโลก จนมาถึงสร้างวิธีปฏิบัติธรรม นำเสนอให้กับบุคคลที่คิดเหมือน ๆ กัน  โดยที่ไม่มีใครเห็นเลยว่า โครงสร้างทั้งหมดของการคิดแบบนี้ อยู่ภายใต้ระยะทาง และกาลเวลา  ไม่ว่าผู้แนะนำ ผู้สอน จะพาคนคนนั้นไปถึงไหนก็ตาม ถึงที่ที่ทุกคนต้องการ หรือไม่ว่าจะมีคุณสมบัติอะไรก็ตาม ที่เรียกว่า “พ้นทุกข์” มันก็ยังเป็นมิจฉาทิฐิเหมือนเดิม แต่เรานิยมกัน ที่จะถามว่า เดี๋ยวนี้เรายังเป็นอย่างนั้นอยู่มั้ย เดี๋ยวนี้เรายังมีนั่นอยู่มั้ย เดี๋ยวนี้เรายังกระเทือนมั้ย เดี๋ยวนี้ตัวตนเราหมดไปหรือยัง? เราสนใจแค่ผลลัพธ์ซักอย่างหนึ่ง ที่กำลังบอกเราว่า ตัวเราเอง หรืออาจารย์ของเรา ไปถึงไหนแล้ว จบหรือยัง?  เราสนใจแต่เรื่องของผลลัพธ์แบบนั้น โดยที่เราไม่เคยเห็นโครงสร้างของวิธีคิดของคนเหล่านั้น ว่ามันยังอยู่ภายใต้มิจฉาทิฏฐิเหมือนเดิม  อย่าลืมที่ผมบอกว่า ธรรมะเป็นอกาลิโก มันไม่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา  มันไม่ใช่การประเมิน ตัดสิน โดยใช้ผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง เป็นตัวหลัก  เพราะนั่นคือ วิธีคิดของโครงสร้างของกาลเวลา และอัตตาที่เป็นผู้ได้รับผลลัพธ์เหล่านั้น  การเปลี่ยนผ่านที่แท้จริง ไม่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา  ขณะของชีวิตที่ไปพ้นจากกาลเวลา นั่นคือการเปลี่ยนผ่านอย่างฉับพลัน นั่นคือการเปลี่ยนผ่านที่แท้จริง  มันคือคำสอนที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาตลอด คือคำว่า “ปัจจุบัน” …ปัจจุบันที่ไม่ใช่เวลา  ปัจจุบันนี้หมายถึง ความสามารถในการเป็นอยู่ อย่างสมบูรณ์ที่สุดกับขณะนี้  ไม่ว่าขณะนี้จะเป็นความสงบ ความเงียบ หรือจะเป็นความโกรธ ความโลภ กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด อะไรก็ได้  ปัจจุบัน คือ ชีวิตที่มีความเป็นอยู่อย่างสมบูรณ์กับสิ่งเหล่านั้น ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ทั้งหมด  โดยไม่มีขณะของมิจฉาทิฏฐิที่อยากจะเปลี่ยนแปลง ไม่อยากเป็นแบบนี้ อยากเป็นแบบนั้น ไม่มีขณะของมิจฉาทิฏฐิ ที่มักจะสร้างระยะทางและกาลเวลาให้เกิดขึ้น เข้ามาเกี่ยวข้องกับขณะนี้  นี่คือ “ปัจจุบัน”  และเมื่อไม่มีมิจฉาทิฏฐิ ที่อยากจะเปลี่ยนผ่าน เปลี่ยนแปลงมัน นัยยะนั่นหมายถึง “ความไม่มีเรา” ... ชีวิตที่เป็นความจริงสูงสุด คือชีวิตที่ของคู่ ไม่สามารถจะมีน้ำหนักเข้ามาภายในจิตใจได้อีกต่อไป  ชีวิตจึงมีความสามารถที่จะเลื่อนไหลไปตามธรรมชาติ ด้วยความมีอิสรภาพสูงสุด ไร้ขีดจำกัดของมิจฉาทิฏฐิในเชิงของคู่  มันไม่ใช่ความหมายของคนคนนึงนิพพานแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มาเกิดอีกแล้ว  นั่นเป็นเรื่องที่จะเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิก็ได้ หรือจะเรียกว่า เป็นการใช้สมมติในการสอนคนก็ได้ แต่ถ้าเราเข้าใจผิด มันจะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ  มันเป็นแค่การที่สิ่งมีชีวิตนี้ ถูกปลดปล่อยจากมิจฉาทิฏฐิ และมีอิสรภาพ ตามธรรมชาติที่มันเป็น แค่นั้น Camouflage 02-09-2566

    341.ปิดประตูนั้นซะ...”วิถี” หรือ ”วิธี”

    Play Episode Listen Later Jan 4, 2024 19:37


    บรรยายเมื่อ 17-07-2564   เราอยู่ในยุคของโลกาภิวัตน์ เราในยุคของที่ทุกอย่างจะต้องลัด สั้น ตัดตรง เราอยู่ในยุคของที่ว่า วิธีการอะไรที่จะทำให้เราไปถึงจุดหมายได้เร็วที่สุด  เราพลาดอย่างหนักที่เราเข้าใจว่า ชีวิตนี้มันเป็นอะไรที่เร่งได้  เราไม่เข้าใจว่า ธรรมมะนั้นเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นเรื่องของชีวิตจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องของระบบอุตสาหกรรมเหมือนยุคโลกาภิวัตน์ ไอเดียของเราถูกหล่อหลอมมาในโครงสร้างของการที่ เราจะต้องเร็วที่สุด ดีที่สุด Effective ที่สุด  เราเติบโตมาในยุคแบบนั้น แล้วเราก็ใช้โครงสร้างนี้กับการปฏิบัติธรรมด้วย แล้วพอดีว่าในยุคนี้ เป็นยุคที่สำนักส่วนใหญ่นำเสนอแบบนั้นให้เรา มันเหมือน supply กับ demand มาพร้อมกันพอดี วิถีชีวิตจริง ๆ ที่เรียกว่า “วิถีธรรม” มันหายไป  “วิถี” กับ “วิธี” มันไม่เหมือนกัน  “วิถี” มันใช้เวลา ใช้กระบวนการขัดเกลาตามธรรมชาติอย่างแท้จริง  ส่วน “วิธี” มันเป็นระบบอุตสาหกรรม มันเหมือนเราเป็นของชิ้นนึง เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่ง เราปฏิบัติธรรมเหมือนชีวิตของเราเป็นสิ่งของอันหนึ่ง นี่ผมเปรียบเทียบนะ  มันเป็นความประจวบเหมาะมาก ที่ “วิถีธรรม” นั้นหายไป เพราะครูบาอาจารย์เก่า ๆ หายไปหมดแล้ว ตายไปหมดแล้ว  มันกลายเป็น “วิธีทำ” แทน แล้วเราซื้อ เราเอา เพราะมันตรงกับกระบวนการหล่อหลอมเราขึ้นมา เราโตขึ้นมาในยุคนี้พอดี และสังคมเชิดชูกับกระบวนการแบบนี้ กระบวนการที่เร็ว ตรง ได้ผลชัดเจน วัดผลได้ เราเติบโตขึ้นมากับความครอบงำแบบนั้น  และเสียงที่เป็นวิถีธรรม หรือเสียงของวิถีการใช้ชีวิต มันหายไป เสียงของการที่เราต้องใช้ทั้งชีวิต ใช้ธรรมชาติขัดเกลาชีวิตนี้ เรียนรู้ชีวิตนี้ หายไป  ไม่มีใครพร้อมจะเสียสละเวลาของตัวเอง ที่จะเรียนรู้ตัวเองจริง ๆ ทุกคนขอวิธี  นี่คือโครงสร้างใหญ่ที่ผมบอกว่า ตอนนี้เราพึ่งพิงกับ “คอร์สปฏิบัติธรรม” และเราพึ่งพิงกับ “วิธี” ที่เราสรรหาได้ ที่เราเชื่อว่าดีที่สุด เราพึ่งพิงกับแค่ 2 อย่างนี้ สำหรับนักปฏิบัติธรรมในยุคนี้  แต่สิ่งที่เราขาดที่สุดคือ วิถีธรรมมะ วิถีชีวิต การใช้ชีวิตจริง ๆ  เราขาดสิ่งที่สำคัญที่สุด เราขาดกระบวนการธรรมชาติที่สำคัญที่สุด  เราเลยตกอยู่ในหล่มของทั้งหมดที่ผมพูดถึง นั่นคือ ความเป็นเรา  เพราะแนวคิดของการพึ่งพิงทั้ง 2 อย่างนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจโครงสร้างของกระบวนการทั้งหมดที่เราเชื่อ และผมไปบอกว่านี่ไม่ถูกนะ ตรงนั้นไม่ถูกนะ ตรงนี้ไม่ถูก ผมบอกปลาย ๆ แต่หัวหรือก้อนของความเชื่อนี้ ยังอยู่เหมือนเดิม มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร #Camouflage 17-07-2564

    340.เห็น DNA ของกระบวนการ

    Play Episode Listen Later Dec 29, 2023 31:33


    บรรยายเมื่อ 19-08-2566   เวลาเราทำอะไร เราต้องแจ่มแจ้งว่า เรากำลังทำอย่างนี้ทำไม? เราต้องแจ่มแจ้งว่า การกระทำอย่างนี้ มันมีนัยยะอะไร? เช่น เรากำลังไถมือถืออยู่ หรือกำลังหาอะไรดูอยู่ นั่นคือ เราต้องรู้ว่า นัยยะของมันคือ เราต้องการหนีจากตัวเอง แต่เราไม่เคยรู้  เราเป็นนักปฏิบัติธรรม ที่ถูกสอนมาว่า รู้สึกอยู่ ไม่เข้าไปในเรื่องราว มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น ก็รู้อยู่ แต่เราไม่รู้โครงสร้างใหญ่ที่สุด คือ #เรากำลังหนีตัวเอง ชีวิตของเรานี้เป็นธรรมะอยู่แล้ว แต่เราเห็นความจริงจากมันมั้ย? ที่ผมบอกว่า กระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์ คือเราเห็นนัยยะของกระบวนการทั้งหมดนี้มั้ยว่า ความจริงของมันคืออะไร  เหมือนเราถอด DNA หรือวิญญาณของกระบวนการนั้นทั้งหมด ว่ามันคืออะไร ไม่ได้เห็นด้วยตา หรือด้วยความคิด แต่เห็นด้วยชีวิตนั้นเอง  ... ที่เรากลัวว่า เราจะจมทุกข์ เราต้องรู้ว่า #ความจมทุกข์ เกิดขึ้นได้ยังไง  ความจมทุกข์ สามารถยั่งยืนอยู่ได้ เพราะหัวใจต้องการจะไม่จมทุกข์ มันคือของสิ่งเดียวกัน แต่ถ้าเราเห็นโครงสร้างของความคิด โครงสร้างของหัวใจที่เป็นความหลงผิด มันจะเป็นการออกจากทุกข์โดยอัติโนมัติ แม้ว่ากลิ่นอายของความหดหู่หรือความทุกข์นั้น ยังอยู่ก็ตาม แต่มันจะ…แค่นั้น มันแค่ยังอยู่เฉย ๆ  มันจึงเป็นการอยู่กับอารมณ์อย่างเป็นหนึ่งเดียว โดยที่เป็นความนิ่งอยู่  แม้ว่าจะทุกข์เหมือนจมทุกข์ แต่ว่ามันนิ่ง มันไม่ฟูมฟาย ไม่ตีโพยตีพาย ไม่หนี ไม่สู้ มันแค่เป็นอย่างนั้นเฉย ๆ #Camouflage 19-08-2566

    339.น้ำพุแห่งปัญญา

    Play Episode Listen Later Dec 24, 2023 25:48


    บรรยายเมื่อ 19-08-2566   การปฏิบัติธรรมจะเกิดขึ้น เมื่อหัวใจนั้น มีอิสรภาพอย่างยิ่งจากความรู้ทั้งหมดที่เราเคยเรียนรู้มา  และกระบวนการของชีวิต Process นี้ คือจุดเริ่มต้น และคือจุดสุดท้าย ผลลัพธ์ที่เราถวิลหาในการปฏิบัติธรรม ไม่มีความสำคัญเลย  ความสำคัญอยู่ที่กระบวนการที่ผมพูดนี้ทั้งหมด ไม่ใช่ผลลัพธ์  เราต้องตระหนักชัดว่า การปฏิบัติธรรมทั้งหมด ที่เราเคยทำมา เป็นแค่การเวียนว่ายอยู่ในทะเลแห่งความหลง และการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงจะเกิดขึ้น เมื่อเราพ้นจากความปรุงแต่งทั้งปวง  ความรู้ ความคิด วิธีการปฏิบัติทั้งหมด คือ ความปรุงแต่งของเราเอง #Camouflage 19-08-2566

    338.ความเชื่อ

    Play Episode Listen Later Dec 15, 2023 35:00


    บรรยายเมื่อ 11-07-2564   การปฏิบัติธรรม คือ กระบวนการที่เราจะเข้าใจชีวิตนี้ อย่างแท้จริง เราไม่รู้จักว่า ความขับดันที่แท้จริง ในความอยากจะคิด คืออะไร  เราได้แต่คิดว่า มันไปคิด ก็รู้ทัน และครูบาอาจารย์ท่านก็สอนว่า อย่าเข้าไปในความคิด  มันเหมือนเราทำตาม Protocol หรือวิธีการเฉย ๆ แต่เราไม่รู้ว่า  ทำไมเราต้องทำแบบนี้?  ทำไมเราไว้ใจว่า วิธีนี้ถูก? ทำไมเราไว้ใจว่า นี่คือสิ่งที่ต้องทำ? ทำไมความคิดถึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเข้าไป? ผู้ฟัง : เพราะมันไม่ใช่ปัจจุบัน มันปรุงแต่ง? อาจารย์ : ปัจจุบัน นี่คือ ทฤษฎีใช่มั้ย? เราเชื่อทฤษฎีใช่มั้ย? เราไม่เคยรู้ว่าทำไมต้องเป็นปัจจุบันใช่มั้ย? ผู้ฟัง : ใช่เพราะเป็นทฤษฎี และเป็นเพราะอาจารย์บอก อาจารย์ : เข้าใจรึยังว่า เราเป็นแค่นักเรียนดีเด่นเฉย ๆ เราทำตามที่อาจารย์บอก แต่เราไม่รู้ว่าทำไม ถ้าเราไม่เข้าใจว่า กระบวนทั้งหมด มันเกิดขึ้นจนเป็นคำสอนได้ยังไง นั่นเท่ากับว่าเราไม่เข้าใจ เราได้แต่ทำตามทฤษฎี โดยมีเหตุผลอันเดียวที่เราทำ คือ “เราเชื่อ” เราจะต้องตระหนักลึกซึ้งถึงสิ่งที่เราทำอยู่ว่า มันเป็นยังไง ทำไมเราถึงไม่ต้องเข้าไปในความคิด พอรู้แล้วว่า ทำไมเราไม่ควรเข้าไปในความคิด  แล้วทำไมมันยังคิด?  ทำไมเราถึงยังอยากจะคิดกับมัน? ทำไมถึงมีความอยากหรือความขับดันอันนั้นอยู่? เราต้องตอบตัวเองได้ ไม่ใช่แค่เราปฏิบัติตาม  การปฏิบัติธรรมนั้น มันไม่ใช่แค่ เรามาเอาวิธีไปทำ แล้วก็เชื่อในวิธีนั้น เราต้องสำรวจชีวิตนี้ ด้วยตัวเราเอง  ว่าความคิดทำให้เกิดอะไรขึ้น? การเข้าไปในความคิดเป็นยังไง? ทำไมเราต้องอยู่กับปัจจุบัน? ทำไมความคิดไม่ใช่ความจริง? เวลาเราคิดว่า เราจะซื้อของจากช้อปปี้ แล้วเราได้ของจริง ๆ มั้ย? เราคิดถึงเพื่อน แล้วเพื่อนเรามีอยู่จริงมั้ย? ทฤษฎีเป็นความคิดมั้ย? เราบอกว่า ความคิดเป็นสิ่งไม่จริง แต่ทฤษฎีก็คือ ความคิด ถูกมั้ย? ตกลง ทฤษฎีนั้น จริง หรือไม่จริง? สรุป เราจะทำยังไง? การที่เราปฏิบัติอะไรก็ตาม ตามความเชื่อที่เราไม่เข้าใจด้วยตัวเอง มันก็ยังเป็นความเชื่อเหมือนเดิม มันเป็นการปฏิบัติภายใต้ความคิด ทฤษฎีที่ชี้นำ  เราไม่ได้เข้าใจกระบวนการของชีวิตจริง ๆ ว่าทำไมทุกข์ แล้วมันทุกข์เพราะอะไร นี่คือกระบวนการที่เราจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง จากคำถามที่ผมถาม เราต้องพิจารณาด้วยตัวเราเอง ... ก่อนที่จะไปถึงวิธีปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าหรืออาจารย์บอก เราต้องเข้าใจก่อนว่า กระบวนการทั้งหมดของชีวิตจริง ๆ นี้ มันเป็นยังไง เราถึงจะสามารถเข้าใจแจ่มแจ้งว่า ทำไมครูบาอาจารย์ถึงบอกวิธีการปฏิบัติแบบนั้น แต่เรายังไม่เข้าใจชีวิตนี้ เราแค่เชื่อว่า อันนี้มันดี เราจึงทำ  จิ๊กซอว์มันไม่ครบ ความเข้าใจชีวิตนี้ มันหายไป...ของจริง ๆ มันหายไป ของจริง ๆ ที่พระพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์ ท่านเข้าใจ แต่เราไม่มี ท่านเข้าใจชีวิตนี้แล้ว แล้วท่านจึงถ่ายทอดออกมาเป็นกระบวนการการปฏิบัติ แต่เราไปอยู่ที่วิธี เพื่อจะได้เข้าใจชีวิต  นึกออกมั้ยว่า เราทำกลับข้างกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ทำ เราขาดจิ๊กซอว์ที่สำคัญ คือ กระบวนการที่ก่อให้เกิดวิธีปฏิบัติ ... วิธีปฏิบัติจะคลอดออกมาจากการใช้ชีวิต และการเข้าใจชีวิตนี้ แล้วเราจะปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ถูกแก่นของวิธีปฏิบัตินั้น ถ้าเราไม่เข้าใจชีวิต เราจะไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติธรรม เราจะได้แต่วิธีในแบบ...เหมือนเราได้มาม่า แต่ไม่มีน้ำเดือดที่จะต้มมัน ... เข้าใจตัวเอง เราไม่สามารถหาความเข้าใจตัวเองได้จากพระไตรปิฏก ถามเพื่อน หรือใครบอกเรา นั่นจะเป็นแค่บทสรุปทางความคิดของเค้า เข้ามาสู่บทสรุปทางความคิดของเรา  แต่เราไม่เคยเข้าใจจริง ๆ เราไม่เคยเผชิญกับมันจริง ๆ  เผชิญกับมันจริง ๆ คือหน้าที่ของชาวพุทธทุกคน ไม่ใช่เข้าคอร์ส #Camouflage 11-07-2564

    337.สัญญาณจากพระพุทธเจ้า

    Play Episode Listen Later Dec 11, 2023 27:12


    บรรยายเมื่อ 05-08-2566   สัญญาณแรกที่พระพุทธเจ้าได้พูดกับตัวเองคือ ธรรมะนั้นอยู่นอกเหนือคำพูด อยู่เหนือการอธิบายใด ๆ จึงยากที่จะหยิบนำมาสอนได้  นัยยะคือ ท่านใช้ชีวิตทั้งชีวิตของท่าน ค้นพบธรรมะ  ในขณะที่เราใช้ชีวิตทั้งชีวิตของเรา ทำตามความเชื่อ และความคิด  เราหนีไม่พ้นกับการหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเอง ที่จะพ้นทุกข์ และความหมกมุ่นนั้นเอง คือความปรุงแต่ง คือความคิด และเราใช้ความคิด หาวิธีการที่จะทำตาม และนั่นก็คือความคิดเหมือนเดิม  และทั้งหมดของชีวิตเรา ไปไหนไม่ได้ นอกจากแค่อยู่ภายใต้ความคิด ... ชีวิตของคนเรานั้น รับข้อมูลข่าวสาร รวมกระทั่งถึงวิธีปฏิบัติธรรม  สิ่งที่เราทำมาตลอดชีวิตของเราคือ เลือก ทำตาม และไม่ทำอีกอย่างหนึ่ง  เพราะข้อมูลข่าวสารหรือแม้กระทั่งวิธีปฏิบัติธรรมทั้งหมดนั้น เป็นข้อมูลข่าวสารแห่งความแบ่งแยก  และเราใช้ชีวิตนั้น เราใช้ชีวิตที่จะเลือกข้าง ทำตามสักอย่าง ปฏิเสธสักอย่าง ชื่นชมสักอย่าง ประณามสักอย่าง  เราหลงกลอยู่ภายใต้โครงสร้างของความแบ่งแยกตั้งแต่โลก ยันมาถึงการปฏิบัติธรรม  ชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมคืออะไร? คือ ความสามารถในการเห็นอิทธิพลของข้อมูลข่าวสารหรือวิธีการปฏิบัติธรรมทั้งหมด ว่ากำลังส่งผลให้ชีวิตเกิดทิศทางหรือไอเดียอะไรบ้าง ที่กำลังจะบีบคั้นชีวิตนี้ต่อไป เพื่อจะไปถึงที่สักที่หนึ่ง ที่ความคิดเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง หรือแม้กระทั่งนิพพาน ชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมนั้นคือ ชีวิตที่มีความสามารถในการเห็น มีความสามารถในการแจ่มแจ้ง ไม่ใช่มีความสามารถจะไปถึงที่ที่หนึ่ง ที่ความคิด ฟัง อ่านหรือวิเคราะห์แล้ว ว่าถูกต้องดีงาม แล้วจะไปถึงที่นั่น  เพราะฉะนั้น ชีวิตการปฏิบัติธรรมของคนในโลกนี้ ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม  เป็นชีวิตที่หลงผิดอยู่ในความมืดสีขาว แค่นั้น #Camouflage 08-05-2566

    336.องคาพยพแห่งความลวง

    Play Episode Listen Later Dec 3, 2023 23:30


    บรรยายเมื่อ 22-07-2566   ความตระหนักชัดในความเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมดของชีวิตนี้ นั่นคือขณะของการเห็นแจ้ง  ขณะของการเห็นแจ้ง หรือที่เราเรียกว่า Enlighten ไม่ได้เกิดขึ้นจากการพิจารณาหาเหตุผล คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และได้ผลลัพธ์มาอันนึง ว่าตรงกับที่อาจารย์บอก  ความรู้สึกของการเห็นแจ้ง เป็นความรู้สึกที่มนุษย์คนหนึ่ง รู้ได้เฉพาะตัวเอง  เป็นขณะของความแจ่มแจ้งโดยฉับพลัน  และไม่ต้องการเหตุผลทางความคิดใด ๆ มารับรองความรู้สึกของความแจ่มแจ้งนี้  และมันไม่ได้ให้ความรู้สึกกับคนคนนึงว่า เราได้กลายเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว  เป็นแค่ความรู้สึกตรงตัว คือ แจ่มแจ้ง Enlighten เพราะฉะนั้น การมาฟังผมจึงไม่ใช่การรับวิธีปฏิบัติไปทำ เพื่อเราจะได้อะไร ตามที่เราคิดและคาดหวังเอาไว้  เราแค่จะได้ซึมซับจิตวิญญาณของความใส่ใจต่อชีวิตนี้ ของความแจ่มแจ้งต่อความมีอยู่ เป็นอยู่ของชีวิตนี้ จากคำสอนต่าง ๆ ของผม แค่นั้น  คำสอนต่าง ๆ ของผมนั้น ไม่ใช่วิธีที่จะนำไปปฏิบัติ ผมแค่ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นจากความหลงผิดทุกอย่าง ทุกแง่ทุกมุมที่ผมจะอธิบายออกมาได้  และความใส่ใจต่อทุกกิริยาของชีวิต ทุกวิธีคิดและการกระทำ คือประตู สู่ความรู้แจ้ง คือการปลุกชีวิตนี้ ให้ตื่นขึ้นมา  และเราต้องเป็นคนปลุกมันขึ้นมาด้วยตัวเราเอง  ผมเป็นแค่คนชี้ช่อง ชี้ทาง  ส่วนการที่คนฟังจะตื่นขึ้นมานั้น เราจะต้องใส่ใจต่อช่องและทาง ที่ผมชี้ลงไปนั้น ว่ามันคืออะไร  #Camouflage 22-07-2566

    335.ทิ้งกาย ทิ้งจิต

    Play Episode Listen Later Nov 23, 2023 28:25


    บรรยายเมื่อ 08-07-2566   ถ้าเราต้องการที่จะไปถึงความรู้สึกของการทิ้งกาย มันไม่มีอะไรต้องทำเหมือนที่เราเคยทำเมื่อก่อนนี้ หรือที่เราเคยคิดว่ามันต้องทำแบบนั้นแบบนี้  มันมีแค่อย่างเดียวในชีวิตของเรา คือ ความแจ่มแจ้งในความเป็นอยู่ทั้งหมดในขณะนี้ และชีวิตของเราไม่มีอะไรมาก นอกจากความดิ้นรนบีบคั้นที่จะหนีความทุกข์ แล้วก็หาความสุข  และความรู้สึกที่เป็นอยู่กับชีวิตของเราในแต่ละขณะ ในทุก ๆ วัน นั่นคือ กุญแจที่จะเปิดประตูไปสู่การทิ้งกาย  และการทิ้งกายนี้ ไม่ใช่เราทิ้งกาย ไม่ใช่ “เรา” ทิ้ง และมันก็ไม่ใช่คำว่า “ทิ้ง” ด้วย เพราะไม่อย่างนั้นพระอรหันต์ก็คงไม่ต้องกินข้าว อาบน้ำ หาหมอ  มันไม่ใช่การถึงจุดหมายบางอย่าง ที่ในเชิงว่า อ้อ เดี๋ยวนี้เราทิ้งกายแล้ว  เราเข้าใจไหมว่า “เราทิ้งกายแล้ว” คือการถึงจุดหมายบางอย่าง สำเร็จแล้ว  แล้วเป็นยังไงต่อ? ตัดสินตัวเองเรียบร้อยว่า เราเป็นพระอนาคามีแล้ว  ความแจ่มแจ้งในชีวิตนั้น ไม่ใช่การถึงปลายทาง หรือประสบความสำเร็จ  แต่เป็นความแจ่มแจ้งในเหตุปัจจัยว่า เพราะอย่างนี้ จึงเป็นอย่างนี้ เพราะมีอย่างนี้ จึงมีอย่างนี้  เพราะแจ่มแจ้งในความสุข แจ่มแจ้งในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ความหลงในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจในเชิงของความเห็นผิด หรืออวิชชา มันก็จบสิ้นลง  มันเป็นเรื่องความแจ่มแจ้งในเหตุปัจจัยของชีวิตนี้ แค่นั้น  ไม่มีใครไปถึงที่หมายอะไรทั้งนั้น ไม่มีใครประสบความสำเร็จอะไรทั้งนั้น #Camouflage 08-07-2566

    334.ชีวิตนี้เป็นจริงและไม่จริง ได้ยังไง

    Play Episode Listen Later Nov 21, 2023 10:37


    บรรยายเมื่อ 13-05-2566

    333.ค้นพบว่าทุกจุดจบนั้น...ไม่ใช่

    Play Episode Listen Later Nov 20, 2023 9:35


    บรรยายเมื่อ 31-10-2566

    332.ไม่เข้าใจว่าตัวเองหนี

    Play Episode Listen Later Nov 17, 2023 10:23


    บรรยายเมื่อ 28-10-2566

    331.ที่มาของกิเลส

    Play Episode Listen Later Nov 10, 2023 28:09


    บรรยายเมื่อ 24-06-2566   ที่มาที่สำคัญที่สุดของกิเลส คือ ความสุข และเมื่อความสุขมีปัญหา นักปฏิบัติธรรมก็เลือกที่จะไม่ทำทั้งหมด เราตีปัญหาได้ตื้นเขินมาก เราแก้ปัญหาด้วยวิธีกำปั้นทุบดิน หรือแม้กระทั่งเราทำตามวิธีปฏิบัติที่แพร่หลายกันอยู่ แต่มันก็ไม่พ้นว่า หัวใจนี้มีปัญหากับความสุข ความสุขกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะรู้สึกว่ามันเป็นที่มาของกิเลส จะเห็นว่าเราเจอกับดักของความแบ่งแยกตลอดทาง และกับดักนั้นใช้ได้ผลเสมอ เพราะคนเรานั้นไม่ค่อยมีปัญญา เพราะฉะนั้น เมื่อเราเจอว่า ความสุขคือที่มาของกิเลส หน้าที่เรา ที่จะปฏิบัติต่อสิ่งที่เรียกว่าความสุขนั้น คือ แจ่มแจ้งลงไปที่ความสุข ว่ามันคืออะไรกันแน่  ความสุขคำนี้ เป็นแค่บทสรุปทางความคิด ของการรวมกันของผัสสะในทุกอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  ความแจ่มแจ้งในสิ่งทั้งหมดที่เรียกว่าความสุข คือการทำลายความเห็นผิด ทำลายการเห็นอย่างผิวเผิน อย่างตื้นเขิน ต่อผัสสะที่น่าพอใจ หรือที่ทนได้ง่าย บทสรุปในเชิงของความสุขเคลือบการรวมกันอยู่ของมัน ด้วยความเห็นผิด และเมื่อความแจ่มแจ้งต่อความสุขเกิดขึ้น ชีวิตก็ไม่มีความสุข...มันก็ไม่เชิงแบบนั้น แต่การถ่ายทอดทางภาษามันจำกัด ความสุขที่ผมพูดถึงนี้ ผมพูดถึงความสุขใน part ของความเห็นผิด เมื่อแจ่มแจ้งความสุขใน part ของความเห็นผิดแล้ว ชีวิตก็จะไม่สามารถจะมีความสุขในแบบนั้นได้อีก แล้วเมื่อความสุขใน part ความเห็นผิดแบบนั้น ถูกกระจ่างแจ้ง และหมดซึ่งความหลงผิดต่อผัสสะต่าง ๆ ในเชิงของความสุขแบบนั้น  กิเลสต่าง ๆ ที่เคยเป็นปัญหากับชีวิต มันก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ เพราะที่มาของมันนั้นได้สลายไปแล้ว  เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมที่ผมพูดอยู่เสมอว่า มันเป็นแค่ความแจ่มแจ้งความเป็นทั้งหมดของชีวิตนี้อย่างลึกซึ้ง  ไม่ใช่ปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติอย่างซื่อบื้อ กำปั้นทุบดิน เพราะนั้นรังแต่จะทำให้ชีวิตการปฏิบัติธรรมของเรานั้นมืดมิดมากขึ้นเรื่อย ๆ  ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว จะมีครูบาอาจารย์ที่ดีระดับพระพระพุทธเจ้ามาสอน เราก็จะสามารถทำคำสอนนั้นให้พังพินาศได้ด้วยฝีมือของเราเอง #Camouflage

    330.ความเมตตา

    Play Episode Listen Later Oct 27, 2023 22:57


    บรรยายเมื่อ 10-06-2566   ความเมตตาในความหมายของมนุษย์เรา แท้จริงเป็นแค่ชื่อ  เราตั้งชื่อให้กับปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบของการให้การช่วยเหลือ ว่า “เมตตา” แต่ “เมตตาที่แท้จริง” คืออะไร? คือความเข้าใจว่า ชีวิตนี้นั้น เป็นแหล่งกำเนิด และเป็นทางผ่านขององค์ความรู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ ชีวิตนี้ เป็นแค่แหล่งข้อมูลข่าวสารต่อจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้ การที่ชีวิตชีวิตหนึ่งมีความสามารถ ที่จะส่งผ่านการกระทบกระเทือน อารมณ์ ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้น ส่งผ่านสิ่งเหล่านั้นอย่างบริสุทธิ์ โดยที่ไม่มีใครสักคนหนึ่งบิดเบือนมัน ไม่มีใครสักคนหนึ่งต้องการจัดการอะไรเกี่ยวกับมัน ... ฟังธรรมะที่เกี่ยวข้องกับปัญญามาก ๆ ก็ต้องระวังไม่ให้ปัญญามันเกินหน้าความจริงของจิตใจ ที่มันจะต้องทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น ถ้ามีความรู้สึกผิดเกิดขึ้น เราจะต้องลงลึกลงไปที่นั่น ไม่ใช่รีบใช้ทฤษฎีในเชิงของปัญญามากลบความรู้สึกผิดนั้น แต่จะต้องลงไปที่นั่น ลงไปที่ความรู้สึกผิดนั้น ว่ามันคืออะไร มันเกิดขึ้นยังไง มันมาจากไหน? ไอเดียต่าง ๆ จะเกิดขึ้นมากมาย เช่น เราไม่ควรจะรู้สึกผิดมั้ย หรือการที่มีความรู้สึกผิด ก็ถูกแล้ว? ความคิดจะรุมเข้ามาในชีวิตของเราขณะนั้น และเรามีหน้าที่ที่จะต้องเข้าใจทุกย่างก้าวของความคิด ว่ามันคืออะไร ความคิดนี้มาได้ยังไง? และความคิดจะบอกให้เราไปที่ไหนสักที่หนึ่งเหมือนกัน แล้วเราก็ต้องเข้าใจว่า มันจะพาเราไปที่นั่น เพราะอะไร? ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา คือ องค์ความรู้อันยิ่งใหญ่ต่อจักรวาลนี้  และความแจ่มแจ้งที่เกิดขึ้น ต่อทุกอารมณ์ความรู้สึก และความคิดที่เกิดขึ้น คือ การส่งผ่านความรัก และความเมตตาต่อจักรวาลนี้  เพราะฉะนั้น ชีวิตคนคนนึงจะเป็นความเมตตาอันสูงสุดได้นั้น จะต้องมีปัญญาอย่างยิ่งที่จะเข้าใจความมีอยู่ และการเกิดขึ้นมาของชีวิตนี้อย่างแจ่มแจ้ง #Camouflage 10-06-2566

    329.เมื่อผู้รู้และผู้หลง รวมกันเป็นหนึ่ง

    Play Episode Listen Later Oct 17, 2023 33:40


    บรรยายเมื่อ 27-05-2566   วิธีการปฏิบัติธรรม ที่ผมเรียกว่า การถอยกลับ และการแจ่มแจ้ง รู้จักตัวเองนั้น เป็นกระบวนการที่ชีวิตนี้มีอยู่แล้ว ทำได้อยู่แล้ว  แต่ปัญหา คือ เราไม่เคยถอยกลับ เรามีแต่เดินหน้า และทำให้ฟังก์ชั่นที่ชีวิตของมนุษย์มีอยู่แล้วนั้น ไม่ได้ทำงาน  เราเดินหน้า แม้กระทั่งเรื่องนินทาคนอื่น เวลาเรานินทาคนอื่น เรารู้จักเค้าดี ยิ่งกว่าพ่อแม่เค้าอีก เราเป็นกูรูในด้านการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเลย มีใครสอนเรื่องแบบนี้ให้เรามั้ย? ทุกคนตอบได้เลยว่า ไม่ต้องสอน แค่มองปร๊าดเดียว ก็รู้แล้วว่าคนนี้นิสัยเป็นอย่างไร แต่มองตัวเอง ไม่เคยรู้เลยซักอย่าง ทั้ง ๆ ที่มันใช้กลไกเดียวกัน มันใช้วิธีเดียวกัน มันมีอยู่แล้ว  แต่การเห็นตัวเอง มันยาก คำว่า ยาก กับ กลไกที่มีอยู่แล้วในชีวิต ไม่เหมือนกัน  ชีวิตนี้มีเครื่องมืออยู่แล้ว แต่มันยาก ง่าย สำหรับคนแต่ละคน ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับปัญญา ความใส่ใจ ความเพียร ความไม่หนี ความกล้าหาญ ความเป็นกลาง ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เราพยายามจะฝึกให้มี  แต่สิ่งเหล่านี้ ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือ สติ สมาธิ ปัญญา มันไม่ได้เกิดขึ้นจากการฝึกให้มี แต่มันคือ ผลผลิตจากการถอยกลับเข้าไปในชีวิต และแจ่มแจ้งกับชีวิตนี้ มันคือสิ่ง ๆ เดียวกันในกลไกนี้ เครื่องมือนี้ประกอบด้วย สติ สมาธิ และปัญญา อย่างแบ่งแยกไม่ได้  แต่เราไปผลิตสิ่งเหล่านั้น ขึ้นมาด้วยตัวเราเอง ซึ่งมันเหมือนของก๊อปเกรดเอที่เซินเจิ้นเฉยๆ  เพราะฉะนั้น ให้เราเข้าใจการ Approach ที่ถูกต้อง แล้วเราถึงจะรู้จักว่า วิธีปฏิบัติธรรมคืออะไรกันแน่  แล้วเราจึงจะเข้าใจว่า สิ่งที่เราอยากจะฝึกทั้งหมด สิ่งที่เราอยากจะมีทั้งหมด ตั้งแต่ศีล สติ สมาธิ ปัญญา หรือกระทั่งความหลุดพ้น หรือแม้กระทั่งชีวิตที่เป็นปัจจุบัน  มันเกิดขึ้นจากที่นี่ มันเป็นผลผลิตจากความแจ่มแจ้ง หรือพูดได้ว่า มันคือ สิ่ง ๆ เดียวกันกับความแจ่มแจ้ง  #Camouflage 27-05-2566  

    328.แจ่มแจ้งวิธีคิดที่มีเราเป็นศูนย์กลาง

    Play Episode Listen Later Oct 5, 2023 32:20


    บรรยายเมื่อ 13-05-2566   เราต้องแจ่มแจ้งในไอเดียที่เราคิดอยู่เสมอว่า  “เรา” เป็นคนที่ทุกข์  และ “เรา” จะปฏิบัติธรรม  เพื่อ “เรา” จะพ้นทุกข์  เพื่อ “เรา” จะเป็นพระอรหันต์  เพื่อ “เรา” จะไม่เกิดอีกแล้ว เราต้องแจ่มแจ้งวิธีคิดทั้งหมดนี้ ว่ามันไม่มีอยู่จริง ถ้าไอเดียเหล่านั้น ยังไม่ถูกสำรวจตรวจสอบ ด้วยปัญญาอย่างแท้จริงของเรา เราจะคอยตกเป็นเหยื่อของมันในที่สุด  หลังจากเราแจ่มแจ้งในโครงสร้างของวิธีคิด ที่มีเราเป็นศูนย์กลาง ว่าทั้งหมดนั้น มันไม่ใช่เรื่องจริง  เพราะคำว่า “ความเป็นเรา” นั้น มันปรากฏขึ้นมา แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น  ถ้าไม่มีความเห็นผิดต่อเรื่องชั่วคราวเหล่านั้น นั่นแปลว่า ชีวิตนั้นไม่มีไอเดีย ว่า  “เรา” คือ ผู้ที่เป็นทุกข์ และ “เรา” ต้องการกระทำบางอย่าง เพื่อ “เรา” จะหลุดพ้น หรือ “เรา” จะพ้นทุกข์  ชีวิตที่ไม่หลงเหลือไอเดียเหล่านั้น เป็นอย่างไร? เป็นปัจจุบัน ไม่มี “เรา” ในขณะนี้ ที่จะตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้น และหาทางแก้ไข เพื่อให้ “เรา” ในอนาคตได้รับผลที่ดีงาม ชีวิตที่เป็นปัจจุบันนี้ ไม่มีเจตจำนงของมิจฉาทิฏฐิ หรือ “ความเป็นเรา” ใช่มั้ยที่ชีวิตแบบนั้น เป็นชีวิตที่ตัวมันเอง มีความเป็นกลางต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตขณะนี้ ไม่ว่าขณะนี้จะคือ ความทุกข์ ความสุข ความเศร้า ความหดหู่ ความโกรธ หรืออารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายที่เกิดขึ้น  #Camouflage 13-05-2566

    327.เห็นภูเขา ไม่ใช่ภูเขา

    Play Episode Listen Later Sep 20, 2023 36:46


    บรรยายเมื่อ 15-04-2566   เมื่อชีวิตเป็นจริงได้ ชีวิตทั้งหมดจะเป็นการปฏิบัติธรรมด้วยตัวมันเอง  นั่นหมายความว่า การปฏิบัติธรรมที่เราเคยเรียนมาทั้งหมด ไม่ว่าจะคืออะไรก็ตาม มันไม่ใช่เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของชีวิต ที่เราจะต้องมีสตินะ เราต้องมีสมาธินะ เราต้องเจริญปัญญานะ เพราะกระบวนการคิดเหล่านั้น คือมิจฉาทิฏฐิ คือมีเราคนนึง จะเป็นผู้ที่ได้รับผลข้างหน้า เราจะกลายเป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าเราอยู่ในกระบวนการ “เห็นภูเขา ไม่ใช่ภูเขา” จนเราเริ่มแจ่มแจ้งกับชีวิตมากขึ้น ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง จนสามารถจะมีชีวิตจริง ๆ ได้  กระบวนการของธรรมชาติ ของชีวิต ด้วยตัวมันเอง มันมีความตระหนัก ชัด ที่จะมีชีวิต ที่เป็นการปฏิบัติธรรม หรือโดยสรุปย่อลงมา ก็คือ มีชีวิตที่เป็นความแจ่มแจ้ง ต่ออะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เราไม่สามารถจะหยุดกระบวนการของชีวิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมได้เลย นี่คือ การปฏิบัติธรรม  เมื่อชีวิตนี้ เริ่มขึ้นแล้ว ไม่มีอะไรหยุดมันได้  แต่ถ้าการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งในชีวิต ความรู้สึกของเราก็คือ โอ๊ย แย่จัง วันนี้ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย วันนี้ปฏิบัติน้อยไป  ถ้าเรายังมีความคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาในชีวิตการปฏิบัติของเรา เราจะต้องรู้ไว้อย่างชัดเจนว่า เรายังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย แม้แต่นิดเดียว และเราไม่รู้ด้วยว่า อะไรคือการปฏิบัติธรรม #Camouflage 15-04-2566

    326.อะไรที่เราคิดออกได้ นั่นยังไม่ใช่

    Play Episode Listen Later Sep 6, 2023 31:38


    บรรยายเมื่อ 25-03-2566   เรารู้มั้ยว่า เราเกิดมาพร้อมกับอะไร? ชีวิตนี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับอวิชชา อวิชชา คือ ความหลงผิดทั้งหมดต่อชีวิตนี้  แล้วชีวิตของเรา อะไรคือจริง? ความจริงของชีวิตนี้ที่เป็นอยู่ คือ ความหลงผิด กิเลส ตัณหา ความอยาก ความดิ้นรน ความเลวร้ายทั้งหลายที่อยู่ในจิตใจ แต่บรรยากาศของคำสอนต่าง ๆ พยายามให้เราเปลี่ยนมัน นั่นคือความหลงผิดซ้ำสองขึ้นไปอีก คืออย่าเป็นแบบนี้ อย่ามีสิ่งเหล่านี้ ทำลายมันซะ  แต่เราทุกคนรู้ว่า คำสอนที่แท้จริงคือ เราต้องเห็นโลกนี้ตามความเป็นจริง  แต่เห็นมั้ยว่า สิ่งที่เราทำ คือ เราพยายามทำลายความจริง ไม่ใช่เห็นตามเป็นจริง  ความจริงของเราคือความลวง เพราะมันมักอยู่ข้างหน้าเสมอ  และนั่นหมายถึงเป็นสิ่งที่เราไม่มีอยู่ในตอนนี้ เช่น ความบริสุทธิ์ ความไม่มีกิเลส ความเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอรหันต์ หรือไปเป็นเทวดานางฟ้า  สิ่งที่เราเชื่อทั้งหมด สิ่งที่เป็นความเชื่อ เป็นความลวงนั้น กลับกลายเป็นความจริงในหัวใจของเรา  แต่สิ่งที่เป็นความจริงทั้งหมดในชีวิตนี้ มีอยู่จริงในตอนนี้ เรากลับมองไม่เห็นมัน อยากทำลายมัน เราไม่อยากมีมัน #Camouflage 25-03-2566

    325.ทางสายกลางที่เราไม่เคยรู้จัก

    Play Episode Listen Later Aug 23, 2023 41:02


    บรรยายเมื่อ 11-03-2566   พระพุทธเจ้าบอกว่า ทางสายกลางไม่ใช่ทางสุดโต่งทั้งสองข้าง มันหมายความว่าอะไรกันแน่? การตัดสินเป็นทุกข์ งั้นไม่ตัดสิน กิเลสเป็นของไม่ดี งั้นไม่มีกิเลส  ฟุ้งซ่านเป็นความหลง เป็นโมหะ งั้นสงบ  ใช่ไหมว่าทั้งหมดนี้ คือทางสุดโต่งทั้งสองข้างเหมือนกัน  เห็นไหมว่า ที่เราพูดว่าตัวเองนั้นกำลังปฏิบัติตามมรรค เดินทางสายกลาง หัวใจเรา…ไม่ใช่เลย  หัวใจเราคือ ทางสุดโต่งทั้งสองข้างเหมือนเดิม  เราไม่เพียงแค่อยากอยู่อีกข้างนึง เราด่าอีกข้างนึงด้วยว่า ห่วย แย่ สกปรก  เพราะฉะนั้น ลงลึกลงไป เห็นแบบนี้ เห็นโครงสร้าง เห็นชีวิต เห็นความเป็นไปของความครอบงำจากสิ่งที่เราเชื่อทั้งหมด แบบนี้  ... ทางสายกลางจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดความแจ่มแจ้ง ว่าอะไรในชีวิตที่เป็นความสุดโต่งบ้าง  ... การจะมีชีวิตที่จะเข้าใจของทั้งสองข้าง หรือของที่เรียกว่าความสุดโต่งทั้งสองข้าง #ชีวิตนั้นจะต้องไม่หยุด ที่จะลงลึกกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ในขณะนี้  ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันพอใจกับชีวิตที่เป็นแบบนี้อยู่แล้ว นั่นแปลว่า มันใช่  เราจะต้องลงลึกไป ว่ามันใช่จริงไหม  ... กว่าที่คนคนนึงจะมาถึงจุดที่สามารถจะมีชีวิตที่แท้จริงได้ ชีวิตที่พ้นออกจากทุกความคิดและความเชื่อได้  ไม่ใช่เพียงแค่ผมบอกว่า ต้องมีชีวิตแบบนั้น เพราะนั่นเป็นแค่ความเชื่อใหม่  แต่หมายถึงว่า คนคนนึงจะต้องสำรวจ ตรวจสอบ ชีวิตทั้งหมดของตัวเอง และแจ่มแจ้งกับความจอมปลอมของมันทั้งหมด  และชีวิตที่แท้จริง จึงจะสามารถเกิดขึ้นได้ และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรม 11-03-2566 #Camouflage

    324.ปัจจุบันไม่มีการเลือก

    Play Episode Listen Later Aug 11, 2023 35:14


    บรรยายเมื่อ 25-02-2566   การรู้ หรือกิริยารู้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว มันไม่ใช่การฝึก ไม่ใช่ฝึกอะไรบางอย่าง เพื่อจะผ่านเข้าสู่สิ่ง ๆ นี้  การฝึกอะไรบางอย่าง มันคือ #การสร้างสิ่งใหม่ขึ้น สิ่งใหม่ที่เรารู้จักกันดีในนามของ “ผู้รู้” แล้วเราก็เรียนรู้กันมาเยอะว่า สุดท้าย ผู้รู้ คือ อวิชชาตัวใหญ่ที่สุด และเราต้องทำลายมัน และเราก็เคยหลงเชื่อว่า ถ้าเราไม่มีมัน เราจะหลง  ด้วยการสอนแบบนั้น ทำให้มนุษย์คนนึงที่อยากปฏิบัติธรรมนั้น กลัวหลง #ความกลัวหลงได้ครอบงำชีวิต จากคำสอนเหล่านั้น  เราไม่สนใจจะรู้แล้วว่า แท้จริงการรู้นั้น มีอยู่แล้ว…เราไม่สนใจแล้ว หลับหูหลับตาฝึกก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวจะหลง เพราะนั้น แต่ละขั้นตอนของชีวิต ที่เรารับคำสอนใด ๆ มาก็ตาม ถ้าเราไม่เคยพิจารณา เห็นวิธีคิด ว่าเราได้รับอะไรบางอย่างเข้ามาต่อชีวิตนี้ เราจะถูกสิ่งเหล่านั้นหลอกเราตลอดชีวิตจนตาย  คำว่า “ปัจจุบัน” นั้น ไม่มีการเลือก  ปัจจุบัน คือ เป็นอย่างนี้ ขณะนี้  รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มันจะรับรู้  การเลือกว่าอะไรสักอย่าง เช่น ลมหายใจ หรือความรู้สึกตัว หรืออะไรก็ตามที่เราเรียนมาทั้งหมด การเลือกสิ่งเหล่านั้นสักอย่างหนึ่ง แล้วถูกให้ความหมาย ว่าการเลือกสิ่งหนึ่งนั้น คือปัจจุบัน  เราต้องเห็นกระบวนการเหล่านี้อย่างละเอียด ว่าแท้จริงแล้วการกระทำแบบนี้ เกิดขึ้นจากความจำได้ในความรู้ที่รับมานั้น  ทันทีที่เราจำได้ และทันทีที่เราเชื่อว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น จึงจะเป็นปัจจุบัน แล้วเราก็ลงมือปฏิบัติตามนั้น ชีวิตทั้งหมดนั้นได้อยู่ภายใต้กะลาของอดีตเรียบร้อยแล้ว  และหลังจากนั้น เราก็รู้สึกว่า เรารู้แล้ว นี่ไง ปัจจุบัน ปัจจุบันคืออยู่กับลมหายใจอยู่ ปัจจุบันของเราคือรู้สึกตัวอยู่ เรารู้สึกได้ถึงความเป็นปัจจุบันจริงๆ  แต่ที่ผมพูดเสมอ และพูดมานานแล้วว่า “มันเป็นแค่ปัจจุบันในอดีต” ... คำว่าปัจจุบันนั้น ไม่มีการเลือก  คำว่า ไม่มีการเลือก หมายความว่า หัวใจของชีวิตที่เป็นปัจจุบันนั้น ไม่มีความแบ่งแยก ไม่มีอะไรดีกว่าอะไร  รู้ว่ามีลมหายใจเกิดขึ้น กับรู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้น...เท่ากัน  รู้ว่าขณะนี้ไม่มีความปรุงแต่งใด ๆ รู้ว่าขณะนี้มีความปรุงแต่งเกิดขึ้น...เท่ากัน  ... เราสามารถคิดออก ว่าภาพในอนาคตที่เราจะเป็น มันเป็นยังไง เราจะเป็นอย่างนั้น ได้ความรู้สึกแบบนั้น เราพอจะคิดออก นี่คือนัยยะของการปฏิบัติตามรูปแบบของความคิดอันหนึ่ง ที่เราเชื่อ  แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง สิ่งที่เรียกว่า “ปัจจุบัน” สิ่งที่ผมเรียกว่า “ชีวิตที่เป็นอริยสัจ 4”  มันไม่สามารถให้ความรู้สึกถึงการคาดเดา การคาดการณ์ หรือความรู้สึกก้าวหน้า หรือการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีความรู้สึกทั้งหมดนี้ที่ผมพูดเลย  เพราะชีวิตที่เป็นปัจจุบัน และเป็นอริยสัจ 4 ไม่มีใคร คอยได้รับ หรือตัดสินตัวเองว่า ไม่ได้รับอะไรทั้งนั้น  และกระบวนการของชีวิตที่เป็นปัจจุบันนี้เอง คือการที่ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งจะได้รู้จักกันเปลี่ยนผ่านอย่างฉับพลันและสิ้นเชิง  โดยที่ผลลัพธ์บางอย่างที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านนี้ของชีวิต จะเป็นสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่ง ไม่สามารถจะคิดออกได้เลยว่า มันจะเป็นแบบนี้ #Camouflage 25-02-2566

    323.ชีวิตที่หยั่งวัดไม่ได้

    Play Episode Listen Later Jul 28, 2023 34:46


    บรรยายเมื่อ 11-02-2566   คำว่า “มายา” เป็นภาษาสันกฤต คำแปลหนึ่งคือ สิ่งที่วัดได้ ประเมินค่าได้ เรียกว่าให้มูลค่าหรือคุณค่า หรือหยาบๆ ก็คือ วัดกว้าง ยาว สูง ได้ เราปฏิบัติธรรม เราต้องการจุดจบ จุดจบนั้น คืออะไร?  คือ ไม่มีกิเลส ไม่กระเทือน ไม่มีตัวตน บริสุทธิ์ มีศีลบริบูรณ์ มีสติบริบูรณ์ หรือกระทั่งจุดจบ คือการที่เราไม่ต้องการเกิดอีกแล้ว แล้วเราเชื่อเรื่องจุดจบทั้งหมดนี้ ว่าเป็นเป้าหมายที่เราจะไปถึง และเราทำทุกอย่างที่ถูกเรียกว่า วิธีปฏิบัติธรรม แลกด้วยชีวิตก็ยอม เพื่อไปถึงจุดจบนั้น จุดจบทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่วัดค่าได้ เป็นสิ่งที่ถูกพูดออกมาให้เป็นรูปธรรมอันหนึ่งได้ เป็นรูปแบบนึงของชีวิตที่เรานึกภาพออกได้ และสิ่งใด ๆ ก็ตามที่วัดค่าได้ สิ่งนั้นเป็นมายา ... ชีวิตนี้ถูกตีตรา วัดค่า ประเมินค่าอยู่ตลอดเวลา และถ้าชีวิตเรานี้ ยังเป็นชีวิตที่ถูกอะไรบางอย่างภายนอก วัดค่าเข้ามาได้ นั่นแปลว่า ชีวิตทั้งชีวิตของเราในทุกลมหายใจ เป็นแค่มายา ทั้งแท่งของชีวิตของเรานั้น ปลอม เราไม่เคยรู้จักชีวิตที่หยั่งวัดไม่ได้  ชีวิตที่วัดค่าได้เป็นมายา ชีวิตที่ไม่เป็นมายา คือ ชีวิตที่หยั่งวัดค่าไม่ได้  การปฏิบัติธรรมคือการค้นพบชีวิตแบบนั้น  แต่เราไม่ทำแบบนั้นกัน เราเสียเวลา 10 20 30 ปี ตลอดชีวิตของเรา ปฏิบัติธรรมภายใต้มายา ภายใต้ชีวิตที่คอยประเมินและวัดค่าชีวิตนี้อยู่ตลอดเวลา เราหลงอยู่ในนั้น ... อะไรคือชีวิตที่หยั่งวัดค่าไม่ได้ ผมจะตอบได้ยังไง ในเมื่อมันหยั่งวัดค่าไม่ได้ เมื่อเราพบว่า ชีวิตที่หยั่งวัดได้ทั้งหมด ยังไม่ใช่ชีวิตที่แท้จริง ประตูจะค่อย ๆ เปิดออก ความหลงผิดจะค่อย ๆ หายไป กระบวนการที่จะรู้จักว่า ชีวิตแบบไหนที่ไม่จริงบ้าง คือกระบวนการที่เรียกว่า “ความแจ่มแจ้ง” ในชีวิตนี้  ความแจ่มแจ้งในกระบวนการทั้งหมด ที่กำลังเกิดขึ้นและชี้นำชีวิตนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า “อริยสัจ 4”  ... ชีวิตไม่มีจุดจบ เพราะชีวิตเป็นจุดจบอยู่แล้ว ชีวิตนั้นเป็นกระแสที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่ความไม่สิ้นสุดนั้นเอง คือจุดสิ้นสุดของมัน ความไม่สิ้นสุดนั้นเอง คือความเข้าใจว่าชีวิตนี้ไม่สิ้นสุด คือความสิ้นสุดของชีวิตนี้ ชีวิตคือสิ่งที่เคลื่อนไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น แม้เราตาย มันก็ถูกกระจายออกไปเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วทุกอย่างก็เคลื่อนต่อไป เปลี่ยนแปลงต่อไป ไม่มีวันจบ เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นจุดจบทั้งนั้น  แล้วเราถึงจะเข้าชีวิตที่แท้จริง  ชีวิตที่แท้จริง คือ ชีวิตที่หยั่งวัดไม่ได้ #Camouflage 11-02-2566

    322.เพราะไม่เข้าใจความสุข

    Play Episode Listen Later Jul 20, 2023 27:44


    บรรยายเมื่อ 08-02-2566   ชีวิตเราอยู่ใน Process ไม่แจ่มแจ้งตัวเอง...วิ่งแสวงหาความสุข ไม่แจ่มแจ้งตัวเอง...วิ่งแสวงหาความสุข ไม่แจ่มแจ้งตัวเอง...วิ่งแสวงหาความสุข กลบ “ขณะนี้” ไปเรื่อยๆ  อะไรทำให้เราอยู่ที่นี่ไม่ได้? อะไรที่ทำให้เราต้องออกแสวงหา ออกไปได้รับ? แปลว่า สิ่งนั้นยังไม่ถูกเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ว่าการได้รับสิ่งนั้นคืออะไร ให้ความสุขอย่างไร ทำให้เราพอใจได้อย่างไร  เราไม่เพียงจะต้องแจ่มแจ้งกับตัวเองในขณะนี้ว่า ดิ้นรนแล้ว ทนไม่ไหว ไม่อยากอยู่กับตัวเอง อยากได้ความสุข  แต่เราจะต้องแจ่มแจ้งต่อสิ่งที่จะไปถึงด้วยว่า เราจะได้รับอะไร ผัสสะแบบไหนที่เราต้องการ ได้รับแล้วเป็นอย่างไร มันให้ความสุขเราอย่างไร  ถ้าสิ่งที่จะไปถึงนั้นถูกแจ่มแจ้ง ทุกอย่างจะเปิดออกหมด และอะไรก็ตามที่ถูกเปิดออกหมด จะไม่มีอะไรให้น่าสนใจอีกแล้ว  และตัวที่อยากได้ความสุขนั้น จะหมดที่ไป จะอยู่ที่นี่ และจะไม่มีไอเดียของการแสวงหาความสุข  จริง ๆ แล้ว ไอเดียของการแสวงหาความสุขนั้นเอง ก็คือความทุกข์ในขณะนี้ เพราะไม่เข้าใจความสุขข้างหน้า จึงเกิดไอเดียนั้น ที่จะแสวงหา และได้รับไปเรื่อย ๆ  แต่ทันทีที่ความสุขถูกเข้าใจ ไอเดียที่ถูกกระตุ้นเร้า ให้ไปแสวงหานั้นจะหายไป เพราะไม่มีความสุขข้างหน้าที่รออยู่ ไอเดียที่จะหาความสุขนั้น ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อไอเดียที่จะแสวงหานี้เกิดไม่ได้ ในขณะนี้ที่บอกว่า มันเป็นทุกข์ และต้องการการเติมเต็มหรือต้องการได้รับบางอย่าง มันก็ไม่มีความรู้สึกนี้ด้วย #Camouflage 08-02-2566

    Claim Camouflage - Dhamma Talk

    In order to claim this podcast we'll send an email to with a verification link. Simply click the link and you will be able to edit tags, request a refresh, and other features to take control of your podcast page!

    Claim Cancel