Podcast ที่คุณจะได้เรียนรู้เรื่องราวของตลาดการเงินและการลงทุนทุกสินทรัพย์ทั่วโลก ไปกับดอกเตอร์โจ๊ก จิติพล พฤกษาเมธานันท์ และกูรูรับเชิญมากมาย
แหล่งข้อมูลทั้งสองนี้ให้ภาพรวมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดย YouTube video เน้นการวิเคราะห์ผลกระทบจากการโจมตีของอิสราเอลต่ออิหร่านที่มีต่อตลาดทุน ตลาดหุ้น และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำและน้ำมัน รวมถึงการประเมินการตอบโต้ของอิหร่านและผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์และเงินบาท ในทางกลับกัน รายงานจาก Citi Research นำเสนอการวิเคราะห์มหภาคทั่วโลก โดยประเมินว่าผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นปานกลางอาจไม่ทำให้ภาวะ "Goldilocks" ของตลาดพลิกผัน นอกจากนี้ยังวิเคราะห์สถานการณ์ทางการค้าโลกที่จีนมีอิทธิพล และแนวโน้มของค่าเงินหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐฯ ยูโร เยน และวอนเกาหลี โดยทั้งสองแหล่งให้คำแนะนำด้านการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์เหล่านี้.
เอกสารฉบับนี้เป็นรายงานการวิจัยจาก Standard Chartered Bank ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 โดยมุ่งเน้นไปที่ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนและฮ่องกง รายงานนี้วิเคราะห์ แนวโน้มการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่คาดว่าจะลดลง ในปี 2568 แม้จะมีการ ฟื้นตัวในเมืองใหญ่ และ นโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน นอกจากนี้ยังกล่าวถึง แนวโน้มระยะยาว รวมถึง การคาดการณ์การปรับตัวของตลาด ไปจนถึงปี 2571 และสถานการณ์ อสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกง ซึ่งเผชิญกับอุปทานส่วนเกินจำนวนมาก ท้ายที่สุด รายงานนี้ยังรวมถึง ข้อมูลการเปิดเผย เกี่ยวกับหลักการวิเคราะห์และข้อจำกัดความรับผิดชอบของธนาคาร
รายงาน "MAGA v DOGE redux" จากสำนักงานประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ UBS Financial Services Inc. ได้สำรวจผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล Trump ชุดที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์ 'MAGA' ซึ่งเป็นประชานิยม 'อเมริกามาก่อน' ที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือแรงงาน และ 'DOGE' ที่เน้นการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลและสนับสนุนภาคเอกชน ผู้เขียนวิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนแปลงของนโยบายไปในทิศทาง DOGE มากขึ้นเป็นประโยชน์ต่อตลาดหุ้น แม้ว่าสถานการณ์นโยบายจะยังคงผันผวนสูง รายงานยังกล่าวถึงประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบายภาษี การลดกฎระเบียบ และการพัฒนา AI พร้อมทั้งให้คำแนะนำแก่นักลงทุนให้เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาด อย่างไรก็ตาม บทความนี้ถือเป็นเพียงข้อมูลเท่านั้น และไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนส่วนบุคคล โดยมีการเตือนถึงความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
เอกสารของ BofA นี้ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับ ตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลตอบแทนพันธบัตรกระทรวงการคลัง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น รายงานนี้พิจารณาว่าผลตอบแทนอาจปรับตัวสูงขึ้นอีกในช่วงครึ่งหลังของปีหรือไม่ โดยพิจารณามุมมองทางเทคนิคเกี่ยวกับ ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี และแนวโน้มสำหรับ การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังวิเคราะห์ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและตลาดที่อยู่อาศัย หากอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพิ่มขึ้นอีก รวมถึงเครื่องมือที่ไม่เป็นทางการที่อาจนำมาใช้เพื่อ ลดหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ สุดท้าย เอกสารยังประเมิน นัยยะสำหรับตลาดหุ้น และมุมมองของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งสำรวจข้อมูลกระแสเงินทุนและความเชื่อมั่นในตลาดกระทรวงการคลัง
รายงานการวิจัยจาก HSBC Bank plc นี้เสนอภาพรวมทางเศรษฐกิจและการจัดสรรสินทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 โดยระบุถึง แนวโน้มความไม่แน่นอนที่สูงในครึ่งปีแรก แต่คาดการณ์ว่า สินทรัพย์เสี่ยงจะฟื้นตัว รายงานให้คำแนะนำให้ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารทุน สินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง และตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึง ปัจจัยเชิงบวก เช่น การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ การมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ รายงานยังกล่าวถึง ความเสี่ยงสำคัญ ที่อาจส่งผลกระทบต่อมุมมองเชิงบวก รวมถึงความเป็นไปได้ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะแตะระดับ "Danger Zone" และความเสี่ยงจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่อาจอ่อนแอลง
เอกสาร "Washington Matters The Senate's turn" จาก BofA Global Research วิเคราะห์ประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจและการเมืองในสหรัฐอเมริกา ณ เดือนมิถุนายน 2025 โดยหลักแล้ว รายงานนี้จะกล่าวถึง ความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาติ (reconciliation bill) ในวุฒิสภา และ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการขาดดุลงบประมาณ นอกจากนี้ ยังครอบคลุมถึง ความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนและเม็กซิโก, การผ่อนคลายกฎระเบียบทางการเงิน ภายหลังการแต่งตั้งมิเชล โบว์แมน รวมถึง ผลกระทบของนโยบายต่อภาคส่วนต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพ พลังงานสะอาด การป้องกันประเทศ การค้าปลีก และอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
การรวบรวมแหล่งข้อมูลนี้ นำเสนอภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจและการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินทั่วโลก โดยมีผู้ดำเนินรายการจาก Bloomberg Daybreak Weekend, Daybreak Europe และ Daybreak Asia เป็นผู้บรรยาย เนื้อหาครอบคลุมถึงการประชุมของธนาคารกลางที่สำคัญ 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed), ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) การวิเคราะห์เน้นไปที่การคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย การรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ และความท้าทายจากผลกระทบของภาษี รวมถึงผลกระทบต่อนโยบายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญอื่น ๆ เช่น อุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ตลาดแรงงาน และภาวะหนี้ของรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญจาก Bloomberg ให้ข้อมูลเชิงลึก และประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสำหรับแต่ละภูมิภาค เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสถานการณ์และข่าวสารสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น
รายงาน "Global Economic Prospects, June 2025" จากธนาคารโลกนี้ ให้ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเน้นที่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และกำลังพัฒนา (EMDEs) และประเทศที่มีรายได้น้อย (LICs) รายงานนี้วิเคราะห์ แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ที่กำลังชะลอตัวลงในปี 2568 เนื่องจาก การเพิ่มขึ้นของกำแพงทางการค้า และความไม่แน่นอนทางนโยบาย นอกจากนี้ ยังอธิบายถึง ความท้าทายด้านนโยบาย ที่ประเทศเหล่านี้เผชิญอยู่ ทั้งในด้านการคลัง การเงิน และโครงสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่เปราะบางจาก ความขัดแย้ง ภัยธรรมชาติ และภาระหนี้ ซึ่งส่งผลต่อการสร้างงานและการลดความยากจน เนื้อหาครอบคลุมการคาดการณ์และวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจรายภูมิภาค รวมถึงผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ.
เอกสารให้ ภาพรวมเชิงกลยุทธ์ของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยประเมินภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และตลาดเกิดใหม่ รายงานวิเคราะห์ ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาด รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ นโยบายการค้า และผลประกอบการของบริษัท พร้อมทั้ง เสนอแนะการลงทุนในภาคส่วนต่างๆ โดยพิจารณาจากมูลค่าหุ้น แนวโน้มกำไร และความเสี่ยง เช่น การหลีกเลี่ยงหุ้นเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงในสหรัฐฯ และการแสวงหาโอกาสในตลาดที่มีมูลค่าถูกกว่าอย่างสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังพิจารณาถึง แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และอิทธิพลต่อตลาดเกิดใหม่และสินค้าโภคภัณฑ์.
แหล่งข้อมูลเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่ แนวโน้มตลาดทองคำทั่วโลก และ กลยุทธ์การลงทุน เน้นย้ำถึง ความต้องการทองคำของธนาคารกลางที่ยังคงสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคา และวิเคราะห์ผลกระทบของสภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะเดียวกัน "GDT Q1 2025.pdf" จาก World Gold Council ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ อุปสงค์และอุปทานทองคำทั่วโลกในไตรมาสแรกของปี 2025 โดยเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของกระแสเงินไหลเข้ากองทุน ETF และการชะลอตัวของความต้องการเครื่องประดับทองคำเนื่องจากราคาที่พุ่งสูงขึ้น สุดท้าย บทถอดเสียงจากช่อง TNN YouTube ให้มุมมองเกี่ยวกับ ผลกระทบจากการพบกันระหว่างสหรัฐฯ และจีน และ การเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องในตลาด ที่อาจส่งผลต่อการลงทุนในทองคำและหุ้น โดยเสนอแนวทางสำหรับนักลงทุนทั้งที่ถือทองคำอยู่แล้วและผู้ที่ต้องการเข้าซื้อในสภาวะตลาดปัจจุบัน
ยานยนต์ไร้คนขับ (AVs) และรถแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxis) กำลัง ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และคาดว่า เทคโนโลยี AI ใหม่ๆ รวมถึงหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพ ของอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างมาก แม้ว่าการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้งานในวงกว้างยังคงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยสองสามปี
เอกสาร "The 2025 Macro Guide For Interns" จาก The Macro Institute LLC นำเสนอภาพรวมของแนวคิดมหภาคที่สำคัญ โดยเน้นย้ำถึง วิวัฒนาการของการวิจัยแบบบนลงล่าง และบทบาทของ ตัวชี้วัดชั้นนำ (LEIs) ในการทำนายแนวโน้มของตลาดหุ้น เอกสารนี้อธิบายว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลง และ ระยะเวลาการถือครองหุ้นที่สั้นลง ได้เพิ่มความสำคัญของมหภาคอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังอธิบายถึง องค์ประกอบของ GDP ของสหรัฐฯ และเน้นย้ำว่า การบริโภค เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก บทความยังสำรวจ เครื่องมือมหภาคที่สำคัญ รวมถึงนโยบายการเงิน, ผลตอบแทนพันธบัตร, และความสัมพันธ์ของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กับเศรษฐกิจโลก โดยสรุปด้วยการกล่าวถึง จิตวิทยาการลงทุน และอิทธิพลของอคติทางความคิดต่อนักลงทุน
เนื้อหาจากวิดีโอ YouTube ของ David Woo Unbound วิเคราะห์สไตล์การเจรจาของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งถูกจัดว่าเป็นแบบ "Maximalist" หรือ "นักเจรจาที่เรียกร้องสูงสุด" โดยอ้างอิงจากงานวิจัยของ Jarrell Williams ในหนังสือ Legal Negotiation and Settlement ซึ่งระบุว่าสไตล์นี้มักจะเริ่มต้นด้วยข้อเรียกร้องที่สูงมาก แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะไม่บรรลุข้อตกลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้เจรจามีชื่อเสียงที่ไม่น่าเชื่อถือ บทความกล่าวว่าในวาระแรกของทรัมป์ สไตล์นี้ได้ผลดีในบางกรณี แต่ในวาระที่สอง ประสิทธิผลกลับลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศ และความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าแทรกแซงความขัดแย้งในยูเครน อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าทรัมป์อาจต้องกลับมาใช้กลยุทธ์ที่ก้าวร้าวมากขึ้นเพื่อฟื้นฟูชื่อเสียงและสร้างข้อตกลง โดยเฉพาะกับอิหร่านที่อาจเป็นโอกาสให้ทรัมป์แสดงความเด็ดขาด.
เอกสารจาก Deutsche Bank นี้เป็น การวิเคราะห์ตลาดแรงงานในเดือนพฤษภาคม 2025 ซึ่งระบุว่าการจ้างงานมีแนวโน้มที่มั่นคงแต่เติบโตช้า โดยมีหัวข้อหลักเกี่ยวกับการจ้างงาน, ความตึงตัวในตลาดแรงงาน, และค่าจ้าง นอกจากการประเมินภาพรวมแล้ว รายงานยังให้รายละเอียดเกี่ยวกับ ตัวเลขการจ้างงาน, ชั่วโมงการทำงาน, และ การกระจายตัวของงานในภาคส่วนต่างๆ, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบริการ การวิเคราะห์เพิ่มเติมยังครอบคลุมถึง อัตราการว่างงาน, อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน, และ แนวโน้มค่าจ้าง, ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการปรับตัวของตลาดแรงงานสู่ระดับก่อนการระบาดใหญ่ รายงานนี้ยังอธิบายถึง ผลกระทบจากการย้ายถิ่นฐาน และ การคาดการณ์การเติบโตของกำลังแรงงานในระยะยาว, พร้อมกับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอัตราการลาออกและการจ้างงานหลายตำแหน่ง
เอกสารนี้คือ รายงานติดตามอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยของจีน ซึ่งจัดทำโดย Goldman Sachs ในเดือนมิถุนายน 2025 โดยมีผู้เขียนหลักคือ Xinquan Chen และ Danny Suwanapruti รายงานนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ การพัฒนาล่าสุดและตัวชี้วัดสำคัญ สำหรับตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยของจีน ครอบคลุมประเด็นต่างๆ เช่น การประเมินมูลค่า, ท่าทีนโยบาย, สภาพทางเทคนิค, กระแสเงินทุน และปัจจัยพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุง คาดการณ์การเติบโตของ GDP ที่แท้จริง และ นโยบายการเงิน ภายหลังการลดระดับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการวิเคราะห์แนวโน้มการแข็งค่าของเงินหยวนและการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยหลังการลดอัตราดอกเบี้ยของ PBOC ในเดือนพฤษภาคม โดยรายงานได้รวม ข้อมูลเชิงปริมาณและกราฟประกอบ เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์และการคาดการณ์ต่างๆ
รายงานจาก Deutsche Bank Research เดือนมีนาคม 2568 นี้ ตรวจสอบตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ อย่างละเอียด โดยให้ความสำคัญกับ ผู้ถือครองหลักทรัพย์ต่างๆ เช่น ตั๋วเงินคลัง, หุ้นกู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐบาล (GSE MBS), หุ้นกู้ภาคเอกชนและต่างประเทศ, และตราสารหนี้เทศบาล รายงานนี้ยัง วิเคราะห์บทบาทของธนาคารกลางต่างประเทศ และ ความต้องการในการประมูลหลักทรัพย์ พร้อมทั้งให้ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการจัดสรรสินทรัพย์ของนักลงทุนประเภทต่างๆ ซึ่งนำไปสู่ แนวโน้มและประมาณการเกี่ยวกับตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ รวมถึงหนี้สาธารณะและต้นทุนดอกเบี้ยในอนาคต.
การวิเคราะห์ร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill" (OBBB) ปี 2025ร่าง OBBB เปรียบเสมือนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังครั้งใหญ่ท่ามกลางภาวะที่สหรัฐมีหนี้สูงอยู่แล้ว ผลลัพธ์คือ ระยะสั้น เศรษฐกิจได้แรงส่งเพิ่ม (เลี่ยงการขึ้นภาษี, เพิ่มใช้จ่าย) น่าจะหนุนการเติบโตและกำไรธุรกิจ – ตลาดหุ้นโดยรวมตอบรับเชิงบวกหรือเป็นกลาง (ไม่มี panic ขาย) เพราะเห็นโอกาสทำกำไรเพิ่มและการหลีกเลี่ยงภาวะ fiscal cliff ที่จะเกิดใน 2026 แต่ระยะกลาง-ยาว ราคาสินทรัพย์บางอย่างปรับเพื่อสะท้อนความเสี่ยงการคลัง: บอนด์ยิลด์พุ่ง, credit rating ลด, เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างมีนัย ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างจากกรณีไม่ผ่านกฎหมาย (ที่ภาษีจะขึ้นและหนี้อาจโตช้าลง) อย่างชัดเจน นักลงทุนเริ่มประเมินว่ารัฐบาลสหรัฐ อาจกำลังแลกเสถียรภาพการเงินในวันหน้ากับการขยายตัวในวันนี้ – ดังที่ Jamie Dimon กล่าว “ผมสนับสนุนร่างนี้นะ แต่มันคงเพิ่มขาดดุล” สะท้อนมุมมองภาคธุรกิจส่วนหนึ่งที่มองผลบวกเศรษฐกิจมาก่อนความกังวลหนี้ ในที่สุดแล้ว ผลลัพธ์จริงจะขึ้นกับว่ารัฐบาลและ Fed จะปรับสมดุลอย่างไร เช่น หากเศรษฐกิจร้อนเกินจนเงินเฟ้อเพิ่ม Fed อาจคุมเข้มดอกเบี้ยมากขึ้น (กดหุ้นแต่พยุงดอลลาร์) หรือหากตลาดบอนด์กดดันหนัก รัฐบาลอาจต้องส่งสัญญาณรัดเข็มขัดในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามในการเมืองอเมริกันต่อไป
แหล่งข้อมูลทั้งสองนี้จาก Goldman Sachs หารือถึงความเสี่ยงทางการคลังและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเงินดอลลาร์สหรัฐฯแหล่งแรกเน้นย้ำว่าความยั่งยืนทางการคลังได้กลายเป็นประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุนในหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น โดยระบุว่า การออกพันธบัตรสุทธิของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นมักจะเป็นผลดีต่อเงินดอลลาร์ เนื่องจากความต้องการซื้อพันธบัตรของสหรัฐฯ จากต่างประเทศมีโครงสร้างที่แข็งแกร่ง แต่ความต้องการที่ลดลงอาจทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกัน แหล่งที่สองอธิบายถึงข้อกำหนดทางภาษีใหม่ที่เรียกว่า Section 899 ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อ เพิ่มแรงกดดันให้ประเทศอื่นยกเลิกภาษีที่เลือกปฏิบัติ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อความต้องการในสินทรัพย์ของสหรัฐฯ แหล่งที่มาเหล่านี้ร่วมกันชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีข้อยกเว้นบางประการสำหรับผู้ถือพันธบัตรสหรัฐฯ แต่ความไม่แน่นอนและแนวโน้มที่สหรัฐฯ จะเป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่น่าดึงดูดสำหรับเงินทุนต่างชาติ อาจนำไปสู่การที่นักลงทุนต่างชาติเรียกร้องค่าตอบแทนมากขึ้น เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ของสหรัฐฯ
บทสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์กับ Marko Kolanovic อดีตหัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดของ J.P. Morgan ให้ภาพรวมเกี่ยวกับความกังวลของเขาเกี่ยวกับ การปรับฐานของตลาดหุ้น ในปัจจุบัน เขาเชื่อว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงที่เปราะบาง เนื่องจาก ใกล้ระดับสูงสุดตลอดกาล ท่ามกลาง สัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และ ความตึงเครียดจากสงครามการค้าที่ยังไม่คลี่คลายKolanovic ยังเน้นย้ำถึง ความแตกต่างระหว่างตลาดหุ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร โดยมองว่าหุ้นมีราคาแพงกว่าพันธบัตร นอกจากนี้ เขายังแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนใน หุ้นต่างประเทศ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างมาก และรอ โอกาสในการซื้อหลังการปรับฐาน 5-10% เพื่อพิจารณาการเข้าซื้อหากไม่มีสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยที่ชัดเจน
เอกสารนี้ให้ภาพรวมของ ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน โดยเน้นที่แนวโน้มในระยะยาวและข้อกังวลในระยะสั้น รายงานฉบับนี้กล่าวถึง แรงกดดันด้านราคา ที่เกิดจากการประกาศส่วนลดของ BYD โดยชี้ให้เห็นว่าส่วนลดที่แท้จริงมีน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก แม้จะมีการแข่งขันด้านราคา อุตสาหกรรม EV ของจีนยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีอัตราการเข้าถึงตลาดในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีผู้ผลิตจีนครองส่วนแบ่งตลาด EV ทั่วโลกอย่างมาก รายงานนี้ยังให้ การวิเคราะห์เฉพาะบริษัท สำหรับผู้เล่นหลักอย่าง BYD, Geely และ Li Auto รวมถึงการระบุ ความเสี่ยงที่สำคัญ เช่น การแข่งขันด้านราคาที่ยืดเยื้อและนโยบายการค้า
บทความนี้กล่าวถึงการเพิ่ม ทองคำ และ น้ำมัน ในพอร์ตโฟลิโอระยะยาว (มากกว่า 5 ปี) เพื่อป้องกันความเสี่ยง บทความแนะนำว่าการลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงหรือความเสียหายในกรณีที่หุ้นและพันธบัตรมีผลตอบแทนติดลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์เงินเฟ้อที่เกิดจากการสูญเสียความน่าเชื่อถือของสถาบันในสหรัฐฯ หรือจากปัญหาด้านอุปทานน้ำมัน ผู้เขียนบทความเสนอให้ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำ มากกว่าปกติเนื่องจากความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันในสหรัฐฯ และความต้องการทองคำจากธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่แนะนำให้ ลดสัดส่วนการลงทุนในน้ำมัน น้อยกว่าปกติในระยะยาว เพราะคาดว่าจะมีอุปทานส่วนเกินในปี 2568-2569 อย่างไรก็ตาม บทความยังคงแนะนำให้รักษาสัดส่วนการลงทุนในน้ำมันไว้บ้างเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันในตลาดพลังงาน
แหล่งข่าวนี้คือบันทึกการเดินทางและรายงานวิเคราะห์จาก Citi Research เกี่ยวกับเศรษฐกิจและกลยุทธ์ของประเทศไทย รายงานเน้นย้ำมุมมองด้านเศรษฐกิจ กลยุทธ์ นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง โดยได้มาจากการประชุมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และธนาคารโลก กล่าวถึงแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบจากการส่งออกที่เร่งตัวขึ้นและข้อควรระวังในการบริโภคภาคเอกชน นอกจากนี้ ยังวิเคราะห์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงความเป็นไปได้ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต รวมถึงหารือเกี่ยวกับแนวทางนโยบายการคลัง ทั้งการจัดสรรงบประมาณใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุน และความเป็นไปได้ของการเพิ่มมาตรการกระตุ้นทางการคลังเพิ่มเติม สุดท้าย ยังกล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับหนี้ครัวเรือนและสถานการณ์ทางการคลังของประเทศอีกด้วย
รายงานวิจัยนี้จาก Citi Research ให้ภาพรวมของ มุมมองการจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลก ณ เดือนพฤษภาคม 2568 โดยเน้นที่การเปลี่ยนแปลงของความกลัวในตลาดจากการ เกรงกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไปสู่การ เกรงกลัวผลตอบแทนระยะยาวรายงานนี้ระบุว่าการให้ความสำคัญจากเรื่องภาษีเปลี่ยนไปสู่เรื่องนโยบายการคลัง ซึ่งอาจส่งผลต่อการปรับขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตร รายงานนำเสนอ มุมมองการลงทุน ในหลากหลายสินทรัพย์ เช่น หุ้น (คงน้ำหนักการลงทุนเกิน), พันธบัตร(คงน้ำหนักการลงทุนต่ำในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธบัตร Gilts ของสหราชอาณาจักร), สินเชื่อ (คงน้ำหนักการลงทุนเป็นกลาง แต่ชอบสินเชื่อกลุ่ม Investment Grade ของยุโรปมากกว่าสหรัฐฯ) และ สินค้าโภคภัณฑ์ (คงน้ำหนักการลงทุนเป็นกลาง) นอกจากนี้ ยังมีการ วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อตลาด เช่น การตัดสินใจของธนาคารกลาง การไหลเวียนของเงินทุน และความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ รายงานยังรวมถึง คำชี้แจงเกี่ยวกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และการรับรองของนักวิเคราะห์
แหล่งข่าวต่างๆ วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดการเงินโลก โดยมุ่งเน้นที่ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายงาน การจ้างงานและผลกระทบจากนโยบายอัตราภาษี นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึง แนวโน้มตลาดในยุโรปและเอเชีย รวมถึงผลกระทบจาก สงครามการค้าและการดำเนินงานของธนาคารกลาง โดยรวมแล้ว แหล่งข้อมูลให้ภาพรวมของ ความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง
รายงานวิจัยจาก HSBC Global Research นี้ วิเคราะห์ความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบันของจีน โดยเปรียบเทียบกับ ประสบการณ์ของญี่ปุ่นในช่วง "ทศวรรษที่สูญหาย" (Lost Decades) ซึ่งเกิดจาก การผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลังที่ไม่เพียงพอ และ การขาดการปฏิรูปโครงสร้างที่เร่งด่วน รายงานชี้ให้เห็น ความคล้ายคลึง เช่น ความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ ปัญหาวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ และหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ก็เน้นย้ำ ความแตกต่าง ที่สำคัญ เช่น ศักยภาพการเติบโตที่สูงกว่าของจีน และ สถานการณ์หนี้สินภาคเอกชนที่ดีกว่า บทความนี้ เสนอสามบทเรียนสำคัญจากญี่ปุ่น ได้แก่ ความจำเป็นของการขยายตัวทางการคลังที่เพียงพอ การผ่อนคลายนโยบายการเงินที่เด็ดขาดมากขึ้น และ ความสำคัญของการปฏิรูปโครงสร้างที่รวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์และหนี้เสียของรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว.
แหล่งข่าวนี้จาก Standard Chartered Bank มีการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่าง การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ กับ หนี้ภายนอกที่เพิ่มขึ้น โดยระบุว่า การลดลงของการออมภายในประเทศ และ การขาดดุลงบประมาณ ทำให้สหรัฐฯ ต้องพึ่งพา การออมจากต่างชาติ มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ หนี้ภายนอกสูงขึ้น และ ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลกว้างขึ้น แม้ว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้จะไม่ใช่ปัญหาเสมอไป ตราบใดที่สินทรัพย์สหรัฐฯ ยังคงน่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ แต่มีความเสี่ยงที่ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) และ ราคาพันธบัตรสหรัฐฯ (UST) อาจลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนโยบายทางการคลังและการค้าเพิ่มหนี้แต่ไม่กระตุ้นการเติบโต. นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ยังมองว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง USD และอัตราดอกเบี้ย อาจเปลี่ยนแปลงไป โดยอาจเกิดสถานการณ์ที่ USD อ่อนค่าลงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติลดลง.
UBS วิเคราะห์แนวโน้มการคลังของสหรัฐฯ และความพยายามที่จะควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตร โดยเน้นย้ำว่าการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะยังคงสูงในอนาคตอันใกล้ และรัฐบาลอาจจำเป็นต้องใช้วิธีการที่เรียกว่า การกดดันทางการเงิน (financial repression) ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยตรงหรือโดยอ้อมเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเพื่อช่วยในการบริหารจัดการหนี้จำนวนมาก รายงานนี้ยังกล่าวถึงความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อตลาดการเงินทั่วโลกหากสหรัฐฯ ใช้มาตรการกดดันทางการเงินที่รุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจหนทางต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาหนี้ รวมถึงความเป็นไปได้ของการกดดันทางการเงินเป็นเครื่องมือในการจัดการหนี้สินภาครัฐให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น
BofA – The Flow Show (29 พ.ค. 2025) Big Move is Coming: ตลาดพร้อมระเบิดทั้งขาขึ้นหรือขาลงจับตา 3B: Brokers, Banks, Bitcoin... เบรกไหนนำทางDollar's Peak, Gold's Glory: ดอลลาร์อ่อน = ทองคำขึ้น = โลกเปลี่ยน ภาษีสูงสุดของสหรัฐฯ = จุดเริ่มเกมค่าเงินอ่อนBarbell Strategy 2025: Mag7 vs Global Valueขาลุยคือ Mag 7 / ขาล็อกกำไรคือหุ้นโลกแบบ Valueกระแสเงินบอกอะไร? หุ้นไหลออก | ทองคำ–คริปโตไหลเข้า | ญี่ปุ่นโดนเทหนักสุดกลยุทธ์ ‘BIG': Bonds – International – Gold Asset Allocation ปีนี้ไม่ต้องหรู แค่เข้ากับสภาวะ “เงินเฟ้อ+ดอลลาร์อ่อน” ก็พอBubble Risk: ฟองสบู่ใหม่กำลังก่อตัว ถ้ารัฐบาลเลือก “นโยบายแบบพองตัว” ตลาดอาจไปต่อ แต่ก็เปราะมากBull & Bear Indicator บอกว่า “กลางๆ” แต่ภายในร้อนแรง Breadth ของตลาดเริ่มกระจายสัญญาณเชิงบวกQuote of the Week:"The Bourse is whispering… and when it speaks, it roars."– Michael Hartnett(“ตลาดกำลังกระซิบ และเมื่อมันเปล่งเสียง มันคือคำราม”)
แหล่งข้อมูลเหล่านี้ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับ ผลกระทบทางการเงิน ที่อาจเกิดขึ้นจาก มาตรการภาษีตอบโต้ ของสหรัฐฯ ต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเน้นย้ำถึง ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น สำหรับการย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการสร้างโรงงานใหม่และการจัดหาเครื่องมือเครื่องจักร นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงศักยภาพในการ เพิ่มราคารถยนต์ สำหรับผู้บริโภค และระบุว่าผู้ผลิตรถยนต์บางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีการบูรณาการในแนวตั้งสูง อาจได้รับผลกระทบน้อยกว่า ในขณะที่ ผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิม ที่พึ่งพาการผลิตในต่างประเทศจะเผชิญความเสี่ยงสูงกว่า สุดท้าย ยังได้พิจารณาถึงผลกระทบของมาตรการภาษีต่อ ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการขายรถยนต์ในสหรัฐฯ และจีน
เอกสารชุดนี้เป็น บทวิเคราะห์ทางการเงิน ของ Bloomberg Intelligence ที่ประเมิน ผลประกอบการและแนวโน้มในอนาคต ของ Nvidia โดยเน้นที่ความต้องการที่แข็งแกร่งสำหรับ Blackwell และ GB300 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลักสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI รายงานกล่าวถึงผลกระทบของการตัดจำหน่ายที่เกี่ยวข้องกับ H20 และข้อจำกัดในการจัดส่งไปยังประเทศจีน แต่ชี้ว่า การเติบโตหลัก ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังวิเคราะห์ อัตรากำไรขั้นต้นที่กำลังทรงตัว และความแข็งแกร่งของ ธุรกิจเครือข่าย รวมถึงการเปิดตัว NVLink Fusion ที่งาน Computex ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของแพลตฟอร์ม Nvidia บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากนักวิเคราะห์อาวุโสของ Bloomberg Intelligence และรวมถึงลิงก์ไปยังวิดีโอปฏิกิริยาของนักวิเคราะห์ต่อผลประกอบการ.
แหล่งข้อมูลนี้เป็นบทความจาก J.P. Morgan ในหัวข้อ "Comfortably Uncomfortable" สำหรับการคาดการณ์กลางปี 2025 โดยมุ่งเน้นการให้คำตอบสำหรับคำถามสำคัญ 5 ข้อเพื่อช่วยให้นักลงทุนปลดล็อกโอกาสท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด บทความชี้ให้เห็นถึง ความผันผวนในปัจจุบัน ที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบายภาษีที่คาดเดาได้ยาก การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยนำเสนอแนวคิดในการสร้าง พอร์ตโฟลิโอที่ยืดหยุ่น และกระจายความเสี่ยงเพื่อรับมือกับสภาวะตลาดที่หลากหลาย รวมถึงการพิจารณาในสินทรัพย์ทางเลือกและโอกาสในการลงทุนใน ตลาดส่วนตัว และ กีฬา นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงบทบาทของ เงินดอลลาร์สหรัฐ และการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับสถานะสกุลเงินสำรองของโลก
แหล่งข้อมูลเหล่านี้สำรวจผลกระทบจากการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติมาใช้ในธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบรองที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นภายในองค์กร นอกจากนี้ยังวิเคราะห์ว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการลดต้นทุนแรงงานผ่านระบบอัตโนมัติจะถูกแบ่งปันอย่างไรระหว่างลูกค้า ผู้ถือหุ้น และพนักงาน พร้อมกับพิจารณาว่าตำแหน่งงานใดบ้างที่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติและบริษัทจะสามารถปรับตัวเพื่อช่วยเหลือพนักงานให้มีทักษะใหม่เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร โดยมีการนำเสนอเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อประเมินผลกระทบเหล่านี้ในระดับบริษัทและระดับอุตสาหกรรม.
รายงานจาก Goldman Sachs ฉบับนี้ วิเคราะห์ความเสี่ยง สำหรับตลาดหุ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงที่จะเกิดการปรับตัวลงอีกครั้งหลังจากที่เคยฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว การประเมินนี้พิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง รวมถึง มูลค่าปัจจุบันของหุ้น สภาพเศรษฐกิจโดยรวม และ สภาวะความเชื่อมั่นและความเสี่ยงของตลาด นอกจากนี้ ยังได้ประเมินถึง โอกาสที่จะเกิดการปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งบ่งชี้ถึงความไม่สมดุลสำหรับตลาดหุ้น และเสนอแนะ กลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์แบบไดนามิก เพื่อรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ พร้อมทั้งแนะนำให้พิจารณา การกระจายความเสี่ยง ไปยังสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้ต่างประเทศ สกุลเงินที่ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และทองคำ รวมถึงการใช้ การป้องกันความเสี่ยงด้วยออปชั่น
แหล่งข่าวสำรวจสถานะความพร้อมของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลกในปี 2025 โดยคาดว่ายอดขาย EV จะเพิ่มขึ้นสองเท่าภายในปี 2030 นำโดยจีน ยุโรป และอเมริกาเหนือ รายงานประเมินความพร้อมของตลาดต่างๆ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพเศรษฐกิจ นโยบายรัฐบาล การแข่งขันในตลาด โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จแร่ธาตุสำคัญ และการผลิตแบตเตอรี่แม้จีน สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ EV แต่ก็ยังมีความท้าทายต่างๆ เช่น ความกังวลด้านอุปทานแร่ธาตุสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษี ความล่าช้าในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ รายงานยังเน้นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น คุณสมบัติดิจิทัล การขับขี่อัตโนมัติ การชาร์จแบบเร็วพิเศษ และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ๆ เช่น แบตเตอรี่โซเดียมไอออน ในการขับเคลื่อนตลาด EV
งานวิเคราะห์ของ Goldman Sachs นี้กล่าวถึงประเด็นสำคัญของ ประชากรโลกที่มีอายุยืนยาวขึ้นและอัตราการเกิดลดลง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เด่นชัดในประเทศพัฒนาแล้วแต่ก็พบในประเทศกำลังพัฒนาเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงนี้มักถูกมองว่าเป็น “ระเบิดเวลาประชากร” เนื่องจากสัดส่วนของประชากรวัยทำงาน (15-64 ปี) ลดลง อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์นี้เน้นย้ำว่าการมีอายุยืนยาวขึ้นเป็นสิ่งที่ดี และชี้ให้เห็นว่า ผู้คนไม่เพียงแต่อายุยืนขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย โดยยกตัวอย่างว่าคนอายุ 70 ปีในปัจจุบันมีความสามารถทางปัญญาเทียบเท่ากับคนอายุ 53 ปีในอดีต ที่สำคัญคือ ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการสูงวัยของประชากรไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เข้าใจกันทั่วไป เนื่องจาก อายุการทำงานที่แท้จริงได้เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยการลดลงของสัดส่วนวัยทำงาน ส่งผลให้อัตราการพึ่งพิงในประเทศพัฒนาแล้วลดลง แม้ว่าสัดส่วนวัยทำงานจะลดลงอย่างมากก็ตาม งานวิเคราะห์สรุปว่าการสูงวัยของประชากรไม่ได้เป็นปัญหาที่ต้องกังวลมากนัก เมื่อพิจารณาจากความคืบหน้าในการขยายอายุการทำงาน
รายงานจาก Goldman Sachs วิเคราะห์ถึง การแข็งค่าของเงินหยวน (Rmb) ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ในช่วงสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนครั้งก่อนที่ค่าเงินอ่อนลงอย่างมาก ปัจจัยที่สนับสนุนความแข็งแกร่งของเงินหยวนในปัจจุบัน ได้แก่ การบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนโดยธนาคารประชาชนจีน (PBoC), การปรับปรุงศักยภาพการแข่งขันของภาคการส่งออกจีน, การที่ค่าเงินหยวนอาจถูกประเมินค่าต่ำเกินไป, และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยทั่วไป รายงานคาดการณ์ว่า เงินหยวนจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยมีแนวโน้มที่ หุ้นจีนจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเมื่อเงินหยวนแข็งค่า ซึ่งเป็นไปตามรูปแบบที่สังเกตได้ในตลาดเกิดใหม่ในเอเชียหลายแห่ง รายงานยังได้ระบุ ภาคส่วนและหุ้นรายตัวที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินหยวน ให้กับนักลงทุนพิจารณา.
พูดคุยกันถึงเรื่อง Stablecoins โดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งที่มาที่คุณได้ให้ไว้ ซึ่งแหล่งข้อมูลเหล่านี้ให้ภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสถานะและแนวโน้มของ Stablecoins ในปี 2025
Biden's Build Back Better spending + Trump's Big Beautiful Bill taxation do not a AAA-rating makeเอกสารนี้จาก BofA Global Investment Strategy นำเสนอภาพรวมของตลาดการเงินทั่วโลก ณ วันที่ 22 พฤษภาคม 2025 โดยมีประเด็นสำคัญที่น่าสนใจได้แก่ ผลตอบแทนที่ติดลบอย่างมากของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเปรียบเทียบได้กับผลตอบแทนของหุ้นในปี 2009 และสินค้าโภคภัณฑ์ในปี 2018 รายงานยังระบุถึงแนวโน้มการกลับมาของ "bond vigilantes" ที่อาจสร้างโอกาสในการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปีที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 5% นอกจากนี้ ยังมีการสรุป ผลตอบแทนปีต่อปีของสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ทองคำ หุ้น และพันธบัตรรัฐบาล และวิเคราะห์ กระแสเงินทุนไหลเข้าออกรายสัปดาห์ ในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ รวมถึงหุ้นกู้ชั้นดี หุ้นกู้ความเสี่ยงสูง และคริปโตเคอเรนซี รายงานยังได้นำเสนอ ตัวชี้วัด Bull & Bear ของ BofA ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับเป็นกลาง.
แหล่งข่าวนี้คือรายงานของ Goldman Sachs ที่ให้ภาพรวมการซื้อขายสกุลเงินทั่วโลก ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2025 โดยวิเคราะห์แนวโน้มและปัจจัยขับเคลื่อนสำหรับ USD, CNY, JPY, KRW, RON และ TRY รายงานระบุว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาที่ชัดเจนต่อการเปลี่ยนแปลงด้านการคลัง และคาดว่าจะอ่อนค่าลงในระยะสั้น ขณะที่เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างน่าสังเกต โดยได้รับการสนับสนุนจากการผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าและการแข็งค่าของสกุลเงินในภูมิภาคเอเชีย รายงานยังเน้นย้ำถึงผลกระทบของความกังวลทางการคลังที่เพิ่มขึ้นและนโยบายปกป้องทางการค้าต่อตลาด FX และการเปลี่ยนแปลงของสถานะสกุลเงินที่ปลอดภัย เช่น EUR และ JPY ในขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ สูญเสียเสน่ห์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย.
แหล่งข่าวจาก YouTube นี้ให้ภาพรวมเกี่ยวกับ การเจรจาการค้าของทรัมป์กับจีนและผลกระทบต่อตำแหน่งในการเจรจาในอนาคต ผู้บรรยายมองว่า การที่ทรัมป์ยินยอมในรอบที่สองเป็นการเปิดโอกาสให้จีนได้รับประโยชน์มากกว่าประเทศอื่น โดยชี้ให้เห็นถึงข้อตกลงที่อนุญาตให้จีนยังคงภาษีตอบโต้การนำเข้าของสหรัฐฯ ขณะที่ประเทศอื่นไม่ได้ ผู้บรรยายยังเชื่อมโยง การตัดสินใจของทรัมป์กับความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าพร้อมกันกับทั้งจีนและรัสเซีย ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างนาโตและรัสเซีย ผู้บรรยายสรุปว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังไม่สิ้นสุด แต่ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากการขยายตัวของสงครามในยูเครนอาจเข้ามาแทนที่ความเสี่ยงจากการค้า และมองว่า การเผชิญหน้ากับอิหร่านก็เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ควรพิจารณา ซึ่งอาจมีผลต่อตลาดการเงินเช่นกัน
แหล่งข้อมูลนี้มาจากรายงาน "Calibrating Expectations" เดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งสำรวจความกังวลของชาวอเมริกันเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจ เช่น อัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพ โดยอ้างอิงผลสำรวจ Reuters/Ipsos นอกจากนี้ รายงานยังวิเคราะห์ ความไม่แน่นอนทางนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ โดยเน้นย้ำถึง ความถี่ของการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนำเข้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อ ตลาดการเงินโลก รวมถึง การชะลอตัวของการเติบโตทั่วโลก และ ความผันผวนในตลาดหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยน รายงานยังกล่าวถึง ความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายภาษีและการค้า ตลอดจน การตอบสนองของตลาดและการเจรจาทางการค้า ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
บทความนี้กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่ **เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างผิดปกติ** ในปี 2025 แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ได้ย่ำแย่และ Fed ยังไม่ลดดอกเบี้ย ซึ่งสวนทางกับทฤษฎีดั้งเดิมที่มองดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเวลาไม่แน่นอน บทความเสนอ **"ทฤษฎีดอลลาร์หน้าบึ้ง" (The Dollar Frown Theory)** เพื่ออธิบายสถานการณ์นี้ โดยชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ **ความไม่มั่นคงในความเชื่อมั่นของนักลงทุน** ต่อแนวนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนของ Trump, **การเคลื่อนย้ายเงินทุน (Flows)** ที่มีอิทธิพลมากกว่าปัจจัยพื้นฐานในช่วงที่ความไม่แน่นอนสูง, และ **มุมมองเชิงลบต่อนโยบายการคลังของสหรัฐ** ที่กดดันความเชื่อมั่นทั้งในเศรษฐกิจและค่าเงินดอลลาร์ ทฤษฎีดอลลาร์หน้าบึ้งสะท้อนถึง **ความไม่เชื่อมั่นทั้งในสถานะของดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยและความน่าเชื่อถือทางการคลังของสหรัฐ** ทำให้ทิศทางดอลลาร์ขึ้นอยู่กับการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเสถียรภาพทางการคลังมากกว่าแค่การเติบโตทางเศรษฐกิจหรือการปรับอัตราดอกเบี้ยของ Fed.
เอกสารนี้คือบทวิเคราะห์กลยุทธ์ช่วงกลางปีจาก Morgan Stanley ซึ่งนำเสนอ มุมมองการลงทุนทั่วโลก โดยให้ความสำคัญกับตลาดสหรัฐฯ เป็นพิเศษ โดยแนะนำให้ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ และตราสารหนี้หลัก และคาดการณ์ว่า ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง นอกจากนี้ ยังให้ เป้าหมายราคาสำหรับสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ดัชนี S&P 500, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และราคาน้ำมัน Brent พร้อมทั้งให้คำแนะนำ การจัดสรรสินทรัพย์ และเน้นย้ำว่า ความไม่แน่นอนด้านนโยบายและการตัดสินใจของธนาคารกลาง จะส่งผลต่อตลาดอย่างมีนัยสำคัญ.
แหล่งข่าวจาก Goldman Sachs นี้เป็น การวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับตลาดหมี ซึ่งระบุว่าหุ้นส่วนใหญ่เข้าสู่หรือกำลังเข้าสู่ภาวะดังกล่าว รายงานจำแนกตลาดหมีเป็นสามประเภท: โครงสร้าง วงจร และเหตุการณ์เฉพาะ โดยแต่ละประเภทมีลักษณะและระยะเวลาฟื้นตัวแตกต่างกัน ตลาดหมีจากเหตุการณ์เฉพาะและวงจรมีการลดลงเฉลี่ยใกล้เคียงกัน แต่ตลาดหมีจากเหตุการณ์เฉพาะมีระยะเวลาสั้นกว่าและฟื้นตัวเร็วกว่า ผู้เขียนมองว่าตลาดปัจจุบันเป็นแบบเหตุการณ์เฉพาะแต่มีแนวโน้มเปลี่ยนเป็นแบบวงจรได้ การดีดตัวของตลาดหมีเป็นเรื่องปกติ แต่การฟื้นตัวที่ยั่งยืนต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ เช่น มูลค่าที่น่าสนใจ การวางตำแหน่งเชิงลบที่รุนแรง การแทรกแซงนโยบาย และการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจที่แย่ลง ขณะนี้ มูลค่าหุ้นยังคงแพง และตลาดต้องการการปรับฐานเพิ่มเติมเพื่อเข้าสู่ระยะ "ความหวัง" ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนผ่านสู่ตลาดกระทิงใหม่ นอกจากนี้ รายงานยังกล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ที่อาจส่งผลต่อผลตอบแทนระยะยาว เช่น การสิ้นสุดการลดลงของอัตราดอกเบี้ย การเพิ่มขึ้นของหนี้ภาครัฐ และผลกระทบต่อส่วนแบ่งกำไรของบริษัท.
ดัชนั S&P500 ปรับตัวลงมาที่ 5205 คริปโทร่วงต่อด้วย แนะนำให้รู้จัก #XLE หุ้นพลังงานสหรัฐ #IXC หุ้นพลังงานทั่วโลก และ #AMLP หุ้นพลังงานปันผลสูง
ธีมลงทุน วันที่ 2 เมษายน 2024 ตลาดตลาดหุ้นยังไม่ไปไหน แม้มีแรงบวกจากภาคอุตสาหกรรมสหรัฐ การลงทุนแนะนำให้รู้จัก #XLI #DJT
มองธุรกิจดาวเด่นที่จีนต้องการ มีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไรจะทำได้จริงไหม
ชวนคุยเรื่องอุตสาหกรรมดาวดับดาวเด่นของจีนกันครับ Baidu Alibaba Tencent อาจโดนกดดันจากนโยบาย common prosperity อยู่ แต่ทั้งสามบริษัทมีทางรอดต่างกันไป
เริ่มต้นปีด้วยความผันผวนสูง ต่อจากนี้ยังมีความเสี่ยงรออีกมาก ส่วนตัวมองว่า สหรัฐมีปัญหาเลือกตั้ง ยุโรปมีปัญหาสงคราม และจีนมีความเสี่ยงสงครามเย็น มาตามฟังกันเลยครับ
ทิ้งภาคบริการ มุ่งหาภาคเทคโนโลยี ทำไมจีนถึงทำแบบนี้ มาจุยกับผมและซุนซุนว่าเกิดอะไรขึ้น และลงทุนอย่างไรดีครับ
ผมกับซุนซุนกลับมาคุยบน ประเด็นฮอตฮิตอย่าง Evergrande นโยบายเศรษฐกิจเปลี่ยน นักลงทุนต้องเปลี่ยนตาม