Podcast สาระนานาประโยชน์ เช่นจิตวิทยา ปรัชญา ธรรมะ ฯลฯ และชวนคุยเรื่องปัญหาชีวิตในทุกแง่มุม ผสมผสานอย่างลงตัวด้วยความเชื่อที่ว่า 'ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ'
ข้อความโพสต์จาก Ray Dalio ได้เขียนข้อความไว้ว่า "รากของสาเหตุคือการอธิบายในแง่มุมของคำคุณศัพท์ ไม่ใช่กริยา จึงเป็นสิ่งที่ต้องหมั่นถามว่าทำยังไงถึงจะมองเห็นรากของปัญหา ตั้งแต่โลกนี้มีสิ่งมากมายสำเร็จและไม่สำเร็จ เพียงเพราะมีบางคนได้ตัดสินใจทำบางสิ่ง หรือไม่ทำบางสิ่งในหนทางหนึ่ง แม้กระทั่งรากของปัญหาก็ย่อมติดตามไปเหมือนเป็นเงาตามตัว ที่จะบ่งชี้ว่ารูปแบบใดเล่าจึงเกิดขึ้นแบบนั้น แล้วมันก็แน่นอนว่า คนที่น่าเชื่อถือมันก็จะมีโอกาสทำพลาดได้เช่นกัน แต่มันก็ยังพอให้อภัยได้ แต่ถ้าปัญหามันอยู่ที่บุคคลนั้น คุณควรจะตั้งคำถามว่า ทำไมคุณถึงทำมันพลาด และคุณควรจะมีการพินิจพิจารณาถึงความผิดพลาดนั้น ๆ เฉกเช่นเดียวกับอุปกรณ์ของการแก้ไขปัญหาหนึ่งเพื่อหาคำตอบที่ดีเยี่ยมร่วมกัน" - จงจดจำไว้ว่า รากของสาเหตุมิใช่ให้เราต้องไปทำอะไร แต่มันคือที่มาของเหตุผล - เรียนรู้ให้ได้ว่ารากของปัญหาเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของเหตุผลทั้งหมด ไม่ใช่บทสรุปว่ามันคือปัญหาจริง ๆ รึเปล่า - แต่ถ้าเราไม่รู้จะแก้ที่ไหนจริง ๆ การแก้ไขที่เหตุเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมของการแก้ไขปัญหาทั้งหมดอยู่แล้ว - สิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี ทุกอย่างเกิดแต่เหตุ และดับไปเพราะเหตุ ๆ นั้นเท่านั้นเอง ลองประดิษฐ์บางสิ่งดูแล้วเราจะเข้าใจมากขึ้น - สมการของชีวิตไม่เหมือนสมการคณิตศาสตร์ แต่มันมีความคล้ายคลึงกันว่า ถ้าสมการใดที่เราคำนวณผิด มันจะผิดไปทั้งหมดเลย
หนังสือ The Wisdom of the Bullfrog: Leadership Made Simple ของ William H. McRaven - ปัญญาของอึ่งนั่นมีคุณค่าอย่างไร แล้วเราจะสามารถเป็นผู้นำได้จากอึ่งได้ไหม - งานหนักมีส่วนสร้างผู้นำที่ดี การมีปรัชญาในการดำเนินชีวิตจะช่วยให้เพิ่มความสำเร็จได้ - ความอดทนอดกลั้น ไม่ใช่เพียงแต่มันคือความอดทน แต่มันเป็นการมุ่งมั่นที่จะไปต่อในทิศทางที่ใช่ - อย่าลืมว่าคนตัวเล็ก ไม่ใช่ว่าใจต้องเล็กตาม ใจไม่มีขอบเขตที่แน่นอน มันอยู่ที่เรากำหนดมันขึ้นมา - บรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้ให้ได้ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาที่ยาวนานสักเพียงใด เพราะนี่คือทั้งหมดของชีวิตผู้นำ
มีคนมาปรึกษาว่า ตอนนี้หนูรู้สึกเหนื่อยกับงานมาก ๆ เลย เรื่องของเรื่องก็คือเพิ่งย้ายสายงานมาเริ่มทำงานฝ่ายขาย แล้วมันต้องปรับตัวเยอะ แถมหาลูกค้ายากมาก ตอนนี้เลยรู้สึกมืดแปดด้านไปหมด หนูควรพยายามทำงานนี้ต่อไปดีไหม ตอนนี้อายุ 35 ปีแล้วรู้สึกปรับตัวกับงานยากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยค่ะ - ความรู้สึกเหนื่อยกับงานในยุคสมัยหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องปกติ แต่บางช่วงยุคสมัยก็อาจจะเป็นเรื่องแปลก - โดยมากแล้วเกือบทุกคนก็จะรู้สึกเหนื่อยกับงานอยู่แล้ว ซึ่งเราจะต้องสอบทานตัวเองว่าเรารู้สึกเหนื่อยกว่ายุคสมัยหรือเบากว่ายุคสมัย - เศรษฐกิจมีส่วนสำคัญอย่างมากในการที่เราจะมีความสบายหรือลำบาก ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ เพราะทุกสิ่งไม่ว่าดีหรือแย่มันจะทำให้เราหลงระเริง - อายุก็มีผลต่อการปรับตัว ยิ่งเราทำอะไรเดิม ๆ ซ้ำ ๆ นานเกินไป จนลืมไปว่าเราควรพัฒนาในสายงานอื่น หรือเกี่ยวโยงกันไปบ้าง เพื่อลับมีดในสมอง - การรับมือช่วงขาขึ้นของการขายย่อมบ่งชี้อะไรได้มากกว่า ช่วงขาลงของการขาย จงขายสินค้าและบริการที่ลูกค้ากลับไปแล้วเขาจะมีความสุข แล้วเราก็มีความสุข
ข้อความโพสต์จาก Ryan Holiday ได้เขียนข้อความไว้ว่า "เมื่อบุคคลใดไม่สามารถค้นหาความหมายเบื้องลึกได้ พวกเขามักจะถูกขัดขวางจากความสุขอันแท้จริง - Viktor Frankl" - ปัญหาของชีวิตส่วนใหญ่คือ เราไม่รู้ว่าความหมายของชีวิตมันคืออะไร - ความสุขในชีวิตมันอาจจะเป็นสิ่งที่ตามหาได้ยาก แต่มันอยู่ที่ตัวเราว่าเราจะจัดการอย่างไรกับความทุกข์ - จงตามหาความหมายของชีวิต ไม่ใช่ตามหาความสุข ถ้าเราเจอสิ่งที่เราต้องการ เราจะมีความสุข - ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว อย่างน้อยที่สุดเราควรจะทำสิ่งที่เรารักไว้บ้าง เช่น กิจกรรมเสริมความสุข - ความทุกข์จะช่วยให้เรารับรู้ว่าตัวเรามีอยู่ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าจมอยู่กับความทุกข์ที่เจอแต่ให้โต้คลื่นของความทุกข์ไป
หนังสือ Trading Beyond the Matrix: The Red Pill for Traders and Investors ของ Van K. Tharp - การเทรดเป็นเกมภายใน ไม่ใช่เกมภายนอก บางทีเราต้องจัดการกับความรู้สึกที่เราต้องรับมือ - จิตวิทยาในการเทรดก็คือ จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการเริ่มต้นใหม่ มันคือยาสีแดงของชีวิต - บางครั้งชีวิตเราก็ต้องเลือกระหว่างยาสีฟ้ากับยาสีแดง แล้วยาสีแดงมันหมายถึงการยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น - กราฟจะขึ้นหรือลง มันอยู่ที่คนมองเห็นมัน ระบบจะไม่มีอารมณ์ร่วม แต่มนุษย์มักมีอคติในการซื้อขายเสมอ - กลไกของตลาดสัมพัทธ์กันกับกลไกของความรู้สึกมันจึงเกิดเป็นกระบวนการสร้างที่เรียกว่า เมทริกซ์
มีคนมาปรึกษาว่า อยู่กับแฟนมา 4-5 ปี ช่วงปีแรก ๆ คือช่วยเหลือกันตลอด ขนาดมีลูกแล้วตอนนั้นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นก็ยังช่วยกันเหมือนเดิม แต่พอช่วงปีที่ 3 ของการคบกันก็ไม่เคยหยิบยื่นให้เลย เพราะจ่ายค่ารถไปหมด แถมมีค่าใช้จ่ายส่วนตัว แฟนเราก็มีรับผิดชอบเรื่องลูกบ้าง แต่ส่วนใหญ่พ่อแม่แฟนจะรับผิดชอบเกือบทั้งหมดเพราะเขาเอาหลานไปเลี้ยง มีบางครั้งที่พ่อแม่แฟนก็มาขอเงินเราด้วยซึ่งแฟนเราก็ไม่เคยให้เงินเราเลย โดยรวมแล้วแฟนเราก็รับผิดชอบตัวของเขาเองแค่นั้นเลย ตอนนี้เราต้องทนเลี้ยงดูเขา ที่มีทั้งค่าห้อง ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เต็มไปหมด จนกระทั่งมันสะสม แล้วเราก็เลยตัดสินใจจะจบความสัมพันธ์ พร้อมกับหางานใหม่เพื่อออกจากวังวนนี้ เพราะว่าเราให้แฟนเราออกไปอยู่ที่อื่นเขาก็ไม่ยอม เราผิดเหรอคะ เราเหนื่อยจริง ๆ กับเรื่องนี้ - เมื่อเวลาเปลี่ยนคนก็มักจะเปลี่ยนไป แต่ปัญหาจริง ๆ ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น - ความสุขของชีวิตจะเนื่องด้วยความสมบูรณ์ของจิตใจ มากกว่าความสมบูรณ์ของครอบครัว - ถ้าใจของเราบอกว่าให้แยกกันอยู่ หรือว่าเลิกกันแล้วพลังนี้มันรุนแรงมาก ๆ ก็ให้ตัดสินใจตามนั้น - การที่เรามีลูกด้วยกัน การตัดสินใจส่วนหนึ่งก็ให้คิดถึงลูกด้วยเสมอ อย่ามองแค่ความรู้สึกของตัวเองเด็ดขาด - เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใครออกใคร มันเหมือนว่าเราจะไม่สามารถตอบได้ว่า ถ้ามีเงินแล้วทุกอย่างจะดีกว่านี้ไหม
ข้อความโพสต์จาก Ryan Holiday ได้เขียนข้อความไว้ว่า "จงเงียบ ขยันหมั่นเพียร และมีสุขภาพที่ดี มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องใช้พลังหรือทักษะอะไรมากมายในการดำเนินไป มันคือส่วนหนึ่งของสติปัญญาที่เรามีอยู่แล้ว" - ต้นทุนของชีวิตก็คือทรัพยากรที่เรามี และสร้างมาได้ว่าเราจะจัดการมันอย่างไร - ปัญหาของทุกคนที่ใช้ชีวิต มักจะเป็นปัญหาที่เราเพิกเฉยมันไปเลยจนลืมว่าเราควรทำชีวิตให้ดีด้วย - ความเงียบคือเงียบฟัง ไม่ใช่ว่าให้เงียบและไม่สนใจสิ่งใด เราจึงต้องหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อกรอบขอบเขตที่เราคาดหวังไว้ด้วย - ความสุขของวันนี้คือการที่เราทำงานหนัก เพราะเรารู้ว่ามันคือสิ่งสุดท้ายที่เราจะต้องทำมัน ไม่ใช่ว่าเราเลือกไม่ได้ แต่ต้องเลือกให้ดี - สุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่ห้ามต่อรองโดยเด็ดขาด เราจึงต้องน้อมนำความจริงให้ได้ว่า เราคือคนที่ต้องรับผิดชอบร่างกายของเราเอง
หนังสือ The Bezos Blueprint: Communication Secrets of the World's Greatest Salesman ของ Carmine Gallo - เมื่อการสนทนา ตกลงทำสัญญา รวมไปถึงการสื่อสารอาจจะเป็น 80% ของความสำเร็จในองค์กร - การขายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจว่าเรามีดีอะไร แล้วมันเป็นส่วน 20% ที่เหลือของความยั่งยืน - ความสำเร็จของ Amazon.com เป็นเพียงแค่แง่งามหนึ่งของคนก่อตั้ง Jeff Bezos เพราะกระบวนการสร้างอยู่ที่คน - ลองทำมันให้ง่าย สร้างเรื่องราวให้น่าติดตาม และพยายามรวบรัดให้สั้น แต่ได้ใจความนี่เป็นส่วนหนึ่งของการสื่อสาร - ทักษะใดเล่าจะมีคุณค่าไปมากกว่าการทำให้ชีวิตดีขึ้นได้จริง นั่นคือแสดงออกอย่างสิ่งที่เหมาะสมต่อบริบทที่เรายืนอยู่
มีคนมาปรึกษาว่า อยากปรึกษาหน่อยค่ะ คือทุกครั้งที่เรามีการไปเที่ยวต่างประเทศกับแฟน เราจะคิดในใจตลอดทุกครั้งว่า ถ้ากลับไทยไปคราวนี้จะเลิกแน่ ๆ ไม่ไหวแล้ว ไม่อยากทนอะไรแบบนี้ พอดีคนนี้คือแฟนคนแรก เราเลยไม่รู้ว่าจริง ๆ เราควรใจเย็นกว่านี้ ค่อย ๆ คิดหรือมันเป็นบทพิสูจน์คะ ว่าเราไปกันไม่ได้จริง ๆ คือเรื่องมันก็จะประมาณว่าเดินไปทางไหนพอแฟนเราเจอคนสวย ๆ ก็จะชมแบบลาว ๆ เสี่ยว ๆ ว่าสวยจังน้องสาวไปไหนจ๊ะ แล้วก็จะบอกให้เพื่อนมองตลอดทางว่าให้ดูคนนั้นสิคนนี้สิ เวลาพาเขาหลงทางขึ้นรถไฟผิดสถานีเขาก็โทษเราว่า เราไม่มีความสามารถ ไม่รู้เรื่อง เวลาเราอยากไปที่นั่นที่นี่ คือมันเป็นที่ขายขนมต่าง ๆ แต่เขาไม่รู้จัก เขาก็ตัดสินไปเลยว่ามันน่าเบื่อไม่น่าไปหรอก รูปภาพเขาก็ไม่สนใจเหมือนกัน เขาไม่เชื่อว่ามันจะดี โดยรวมก็จะประมาณนี้ทุกครั้งที่ไปเที่ยวเลยค่ะ จะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไงดีคะ - ถ้าหากว่ามันเป็นปัญหาที่ใจให้แก้ที่ใจ แต่ถ้ามันเป็นปัญหาที่สภาพแวดล้อมให้แก้ที่ตรงนั้น - อย่าลืมว่าการไปเที่ยวด้วยกันที่ต่างประเทศ หรือต่างจังหวัดเป็นจุดวัดใจที่สำคัญ หากว่าเราไม่เรียนรู้ที่จะยอมรับเราจะไม่มีความสุข - ปัญหาของคนส่วนใหญ่ก็คือลืมมองไปว่า เราไม่สามารถจะไปเปลี่ยนใครได้นอกเสียจากเปลี่ยนแปลงตัวเอง - การจะพิสูจน์ว่าคู่ของเราใช่หรือไม่อย่างไร พิสูจน์ได้ด้วยการลองไปเที่ยวด้วยกัน แล้วหลังจากไปเที่ยวเราทบทวนตัวเองบ้างไหม - ทั้งนี้ ไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับความสัมพันธ์ บางครั้งเราก็อาจจะรู้จักคน ๆ นึงด้วยระยะเวลา หรือไม่ก็การไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันก็มี
ข้อความโพสต์จาก Mark Minervini ได้เขียนข้อความไว้ว่า "คำคมของวันนี้ก็คือ มันไม่มีอะไรที่เราจะไปต่อต้านการซื้อและถือหุ้น แต่มันจะต้องย้ำเตือนตัวเองว่าให้ต่อต้านการซื้อและถือหุ้นที่มันไม่มีแนวโน้มที่จะขึ้นอีกต่อไป" - เราถือหุ้นได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องถือหุ้นทั้งหมดที่เราเคยซื้อ - หากว่าหุ้นที่เราซื้อและถือมันไม่มีโอกาส หรือแนวโน้มที่จะขึ้นน้อยมาก ให้ขายหุ้นนั้นทิ้งโดยไม่ต้องคิดมาก - ตั้งกรอบเวลาให้ชัดเจนว่า หุ้นที่เราจะถือต้องการถือเท่าไหร่และนานแค่ไหน ไม่ใช่ว่าซื้อทุกตัวแล้วไม่ยอมขาย - บางคนมีหุ้นในพอร์ตเกิน 10 ตัว แถมบางคนมีเป็น 100 ตัว ซึ่งเราจะไม่สามารถโฟกัสได้เลยว่าหุ้นแต่ละตัวนั้นมีประสิทธิภาพอย่างไร - แนวโน้มเป็นตัวกำหนดว่าเราควรจะซื้อและถือ หรือขายมันทิ้งไป ไม่ใช่จำนวนขาดทุนอย่างเดียว เพราะจะต้องดูว่าอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
หนังสือ กุญแจอ่านงบการเงิน ของ เอิญ สุริยะฉาย - กุญแจที่ไขไปสู่อีกประตูของความสำเร็จ ก็คือการอ่านงบการเงินอย่างละเอียด - ปัญหาของนักลงทุนส่วนใหญ่ ไม่ค่อยเข้าใจความแตกต่างระหว่างหนี้สินที่ดีกับหนี้สินที่เสีย - เราจึงต้องสังเกตงบกระแสเงินสดให้บ่อยครั้ง จำนวนวันที่เราต้องชำระหนี้คืนกับเจ้าหนี้ก็สำคัญ - ศึกษางบการเงินไปเรื่อย ๆ โลกของการเงินไม่มีวันจบสิ้น มันจะทำให้เรารู้สึกมหัศจรรย์ว่ามีอะไรแบบนี้ด้วย - หนังสือของผู้เขียนอาจจะมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่ยังไงแล้วอ่านซ้ำหลายรอบเป็นสิ่งที่จำเป็น
มีคนมาปรึกษาว่า อยากมาสอบถามค่ะว่าเราควรตัดสินใจเกี่ยวกับแฟนยังไงดี คือข้อดีของแฟนคือ เขาสามารถเลี้ยงตัวเองกับครอบครัวเขาได้ ไม่ต้องเป็นภาระให้เรา แถมเขายังพร้อมที่จะสร้างครอบครัวกับเราได้ แต่เขาชอบพูดจาไม่ให้เกียรติเราต่อหน้าคนอื่น เช่น คำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาพูดเล่น แบบเวลาที่เราทำอะไรผิด ก็จะพูดประมาณว่า ทำแบบนี้ทำไม ไม่รู้เรื่องเลยเหมือนเราดูโง่มากเลย หรือบอกว่าเราอ้วนไม่สวยและชอบพูดว่าตัวเองเขามีกิ๊กนะ เคยมีบ้างอะไรแบบนี้ พอพูดเยอะเราก็โมโห แฟนเราเขาก็หัวเราะชอบใจ แต่เขาก็มีมุมดี เขาช่วยเหลือเราตอนเราลำบากดูแลเอาใจใส่ พาไปเที่ยวกินข้าว ภาพอนาคตเขามีเราอยู่ในนั้นด้วย แต่เรื่องเดียวก็คือคำพูด คือปากไม่ค่อยดี แล้วเราจะรับมือกับเขาได้จริงไหมคะ - ถ้านิสัยส่วนตัวของเขาไม่ได้กระทบต่อความสัมพันธ์ แสดงว่าความสัมพันธ์อยู่ในเกณฑ์ดี - แต่ถ้าเรารู้สึกว่าความสัมพันธ์ไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกที่มีให้กับแฟนของเรา มันจะปัดตกไปทันที - บางทีชีวิตก็เหวี่ยงบททดสอบให้เราเรียนรู้ว่า การจะอยู่กินกันไปยันแต่งงานกันไม่ใช่เรื่องง่ายดาย - ความถูกใจก็สู้ความถูกต้องไม่ได้ เขาถูกต้องกับใจเรารึเปล่า เรื่องเล็กน้อยมองข้ามไปได้ไหม - การเอาใจเขามาใส่ใจเราจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ บางคนนิสัยดีจริง แต่ไม่เคยคิดจะเอาใจใส่เราเลย
ข้อความโพสต์จาก Mark Minervini ได้เขียนข้อความไว้ว่า "5 กฎที่เราจะสร้างชีวิตให้เป็นนักเทรด 1. เอาเงินออกมาจากบัญชี และไม่ต้องสนใจผลลัพธ์ และไม่ต้องคำนึงถึงจุดที่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง 2. เลือกท่ามาหนึ่งท่า เลือกฟังครูสอนเพียงหนึ่งเดียว ที่จะมาเป็นผู้นำทางให้กับเราว่าเขาได้ผ่านประสบการณ์ที่โชกโชนมาบ้างไม่มากก็น้อย 3. อย่าเพิ่งรีบตัดสินว่าทำได้หรือไม่ได้ ไม่ต้องสนใจนาฬิกาที่กำลังเดินไป ไม่ต้องกำหนดแรงต้านให้กับตัวเอง แล้วก็ให้เวลาตัวเองได้ทดลอง 4. ยอมรับทุกผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นใน ณ ตอนนี้ที่มันจะมาเป็นครูสอนที่ดี จงสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับการสูญเสียหรือผิดพลาด แล้วมองเป็นบทเรียนที่ล้ำค่า และ 5. จงฝึกซ้อมตัวเองในการเทรดว่าเป็นความสำคัญมากที่สุดลำดับต้น ๆ ในทุกวัน" - อย่าเพิ่งรีบที่จะประสบความสำเร็จจากการเป็นนักเทรดโดยเด็ดขาด - หากว่าเรารีบ ผลลัพธ์ที่น่าจะเป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็นนั้นจะไม่สามารถปรากฏขึ้นมาได้เลย - ใช้เวลา ใช้เวลา และใช้เวลา ทุกการเดินทางจำเป็นจะต้องใช้เวลา เพราะบางทีจุดเรียนรู้คือจุดเดือดที่สูงพอสมควร - สนใจใคร่รู้ในเรื่องที่ควรสนใจ เช่น หน้าเทรด ระบบเทรด จิตวิทยาการเทรด และจำนวนเงินที่ลงไปในแต่ละครั้งที่เราเทรด - เมื่อเรามีเป้าหมายชัด วันนี้ที่เราพอทำได้คือ ฝึกซ้อมในการเทรดให้มากที่สุด ใช้เงินจำนวนหนึ่งที่เราพอที่จะเสียได้ แต่ก็รู้สึกชัดถ้าเราเสียเงินไป
หนังสือ The Will to Change: Men, Masculinity, and Love ของ bell hooks - ความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลง ซึ่งผู้ชายสามารถทำได้ ไม่ใช่แค่เพศ แต่เป็นความเชื่อมั่น - บางทีความเป็นชาย ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเพศชายสูงเกินไป มันก็อาจจะส่งผลต่อความเป็นพิษได้เช่นเดียวกัน - หากว่าเราลองมองดูความเป็นเพศชาย เช่น พ่อ ปู่ ตา หรือบรรพบุรุษที่มีความเป็นชายสูง เขาก็มักจะส่งต่อความเจ็บปวดแฝงภายในมาตลอดเวลา - ความเปราะบางของเพศชายนั้นยิ่งใหญ่กว่าเพศหญิง เหตุผลที่ผู้ชายหลายคนไม่ค่อยพูดคำว่าขอโทษ ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากพูด แต่เขาถูกสอนมาว่าห้ามอ่อนแอ - มันจึงเป็นผลกระทบที่เป็นวงกว้างไปรุ่นสู่รุ่น ว่าเพศชายต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ในความเป็นจริง เพศทุกเพศก็มีความรู้สึกไม่แพ้กัน แต่การรับมือต่ออารมณ์นั้นต่างกัน
มีคนมาปรึกษาว่า ขอปรึกษาเรื่องความรักหน่อยค่ะ เราคบกับแฟนมาปีกว่าแล้ว อยู่ด้วยกันมาครึ่งปี แรก ๆ ทุกอย่างก็ดูดีไปหมด พอหลัง ๆ เริ่มทะเลาะกันทุกวัน มือถือก็เปลี่ยน ลบข้อมูลรูปภาพหมดเหมือนคนโสดคนนึง แถมแยกห้องกันนอน เราเข้าใกล้เขาไม่ได้เลย พอเข้าไปใกล้ก็หงุดหงิดขึ้นเสียงตะคอกใส่เรา เขาเอาแต่ด่าว่าเราว่าเราเป็นภาระตกงาน สมัครงานที่ไหนก็เงียบ เราทำอะไรก็ผิดไปหมด ส่วนตัวรักเขามากและยอมเงียบทุกอย่าง เราควรทำยังไงดีคะ - ลองจับเข่าคุยกับแฟนเลยว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้เพราะว่าอะไร แล้วตั้งใจฟังทุกคำที่เขาพูดออกมา - บางทีคู่รักส่วนใหญ่ไม่เคยที่จะ Deep Conversation กันจริง ๆ เหมือนแต่ละคนก็มีความคิดที่แตกต่างกันไป - แฟนเราเขาอาจจะอยากเลิกมาก ๆ ก็ได้ ซึ่งเหตุผลนั้นเราอาจจะไม่ได้เข้าใจมันทั้งหมดในวันนี้ แต่วันหนึ่งเราย่อมเข้าใจได้แน่นอน - ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตก็เหวี่ยงปัญหามาให้เรา แต่แน่นอนว่ามันก็ย่อมเหวี่ยงความเข้าใจมาได้ถ้าเรารู้จักตั้งคำถามให้ถูกทาง - คนหมดใจก็จะมีอาการ เบื่อหน้า รำคาญเวลาได้ยินเสียง รวมไปถึงทำอะไรก็ดูขัดหูขัดตาไปเสียทุกอย่าง ให้เราแก้ที่ใจจะดีที่สุด
ข้อความโพสต์จาก Mark Minervini ได้เขียนข้อความไว้ว่า "สำหรับนักลงทุน นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีที่เวลาราคามันย่อลงมาแล้วจะมองว่ามันคือโอกาสของการซื้อ ความผันผวนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องเติมเงินใส่เข้าไปหรือว่าเริ่มอยากให้หุ้นมันขึ้น มันจะไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยที่จะบอกว่าการที่ราคาร่วง 50%-90% คือโอกาสในการซื้อ แต่ความเป็นจริงเราจะต้องจัดการความเสี่ยงเพื่อที่จะเลี่ยงให้หุ้นร่วง รักษามูลค่าของสินทรัพย์ และให้ดูว่ามันจะสามารถสร้างกำไรทบต้นได้หรือไม่ คำตอบก็คือความผันผวนเป็นสิ่งที่อันตราย จงเคารพและเลี่ยงได้ยิ่งดี" - หากว่าเราต้องการจะซื้อหุ้นที่ย่อจริง ๆ เราก็ต้องดูกราฟทางเทคนิคให้ดี ๆ เพื่อป้องกันการขาดทุน - สิ่งที่เรารับรู้ กับสิ่งที่มันเป็นไปอาจจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ปัญหาก็คือต้องสังเกตว่าเรารับรู้ตรงกับความจริงไหม - ไม่ใช่เราจะไปนั่งบอกว่า ทุกการลงของราคาหุ้นมันจะจบลงที่ใจเราคิด เพราะเราไม่มีทางรู้จนกว่ากราฟจะสร้างแนวรับที่ชัดเจน - จุดตัดขาดทุนจะเป็นตัวเน้นย้ำว่า เราพลาดไปแล้ว อย่ามัวแต่มองเงินจนลืมอนาคตที่เราสามารถสร้างได้อย่างเด็ดขาด - นักลงทุนไม่ใช่ง่ายที่จะเป็นอาชีพนี้ เพราะมันไม่มีใครมาบอกให้เราทำ เราทำงานนี้ด้วยเหตุผลใดก็ตามขอให้ตั้งใจทำ
หนังสือ Wealth Exposed: This Short Argument I Overheard Made Me A Fortune... Can It Do The Same For You? ของ M.J. DeMarco - การสนทนาที่มีมูลค่าแบบประเมินค่ามิได้เป็นอย่างไร นั่นคือการสนทนาที่มาจากการตกตะกอน - อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ สังเกตทุกสรรพสิ่งให้ได้แล้วเราจะเข้าใจว่าทุกเรื่องในชีวิตสามารถพัฒนาไปได้ - ถ้าเราอยากจะกินเค้กชิ้นใหญ่ เราก็ต้องสร้างแป้งให้มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ไม่ลงทุนลงแรงอะไรเลย - มันคงเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่ใคร่รู้กับบางสิ่งบางอย่างมาก ๆ การที่เราจะร่ำรวยได้ก็จำเป็นจะต้องสร้างผลกระทบด้านบวกให้มาก - งานประจำเป็นงานที่มั่นคง แต่ไม่ใช่งานที่จะสามารถสร้างอิสรภาพทางการเงินได้ รวมไปถึงเราต้องเข้าใจว่าทิศทางสำคัญกว่าความเร็วเสมอ
มีคนมาปรึกษาว่า ขอคำปรึกษาได้ไหมคะ พอดีว่าหนูรู้สึกเหมือนว่าเข้าข่ายจะเป็นโรคซึมเศร้า ตั้งแต่เลิกกับแฟนที่คบกันได้ 3 ปีมาแล้ว หนูควรไปพบจิตแพทย์ดีไหมคะ อาการก็ประมาณว่ากินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไปข้างนอกก็มีร่าเริงบ้าง พอกลับมาห้องก็เอาแต่ร้องไห้ มันพอจะมีวิธีเยียวยาจิตใจยังไงได้บ้างคะ - ถ้าอยู่ในช่วงระยะทำใจก็อาจจะเป็นเรื่องที่ปกติสามัญ ที่เราจะรู้สึกเสียอกเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา - การจะไปพบจิตแพทย์ก็ขอให้ความรู้สึกของเรามันกระทบกับชีวิตเราจริง ๆ รวมไปถึงเปิดใจรับฟังทุกเรื่องก่อนอย่างแรก - หากว่าอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับยาวนานเกิน 1 เดือนหลังจากที่เรารู้สึกซึมเศร้า ก็สามารถปรึกษาแพทย์ได้เลย - วิธีเยียวยาจิตใจได้ก็จะขึ้นอยู่กับนิสัยเรา แต่ตามหลักก็คือ ออกกำลังกาย ฟังธรรม และหาหนังสือจิตวิทยามานั่งอ่านบ้าง - ยังไงแล้วก็ลองหาเพื่อน ครอบครัวมารับฟังหรือเราลองไปปรึกษาคนที่ปรึกษาได้ดูก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องกังวลเกินไป หายใจเข้าลึก ๆ เผื่ออาการจะทุเลาลง
ข้อความโพสต์จาก Ray Dalio ได้เขียนข้อความไว้ว่า "สิ่งหนึ่งที่ต้องเน้นย้ำถึงปัญหา นั่นก็คือความแม่นยำของการวินิจฉัย และประสิทธิผลของผลลัพธ์นั้นดีอย่างไร เราควรที่จะมีแผ่นกรองเพื่อทดสอบว่าปัญหาที่เราแก้นั้นมันเป็น 1. เขาสามารถระบุถึงปัญหาที่แก้ได้ด้วยวิถีทางใด และ 2. เขามีการแก้ไขปัญหาที่ประสบความสำเร็จอย่างไรบ้างในอดีต" - ในความหมายที่ว่าผู้คนที่ไม่รู้ว่าควรทำอะไร ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรู้ว่าคุณควรทำอะไร - ปัญหาใหญ่ที่สุดของชีวิตก็คือ เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราคิดมันเป็นอย่างไร แล้วอะไรกันแน่ที่ควรคิด - แผ่นกรองคือตัววัดผลว่าเราควรจะต้องคิด พูด หรือกระทำอย่างไร ในสิ่งที่ชีวิตนั้นบอกให้เราทำ - สังเกตผู้คนที่เราจะเชื่อมั่นในตัวเขาว่า เขามีท่าทีอย่างไรต่อปัญหาและ ปัญหาที่เขาได้ทำมาเป็นอย่างไรบ้าง - ความสำเร็จในอดีตอาจจะไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ดีของอนาคต แต่พอนำมาเป็นแง่มุมได้ว่า เขาใช้หลักการใดในการตัดสินใจ
หนังสือ Mastering the Market Cycle: Getting the Odds on Your Side ของ Howard Marks - สินทรัพย์ภายใต้การจัดการรวมของ Oaktree ทั้งหมด อยู่ที่ 193 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 6 ล้านล้านบาท - การจะรู้ว่าเราควรจะลงทุนในสินทรัพย์ใด ณ ช่วงเวลาใด จะขึ้นอยู่กับความรู้ บวกกับผลตอบแทนเฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปี (YTD) - ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม แต่จะไม่ได้เหมือนเดิมแบบครบถ้วนสมบูรณ์ มันจึงมีจุดแตกหักของการเข้าไปลงทุนของรายย่อยได้เสมอ - กองทุนของเอกชน และกองทุนของรัฐบาล ล้วนมีสิ่งที่คล้ายคลึงกันนั่นก็คือ เขาจะไม่ยอมขาดทุนโดยเด็ดขาด แล้วถ้าเกิดการขาดทุนรายย่อยจะเจ็บหนักสุด - ระยะเวลาของวัฏจักรตลาด คือ 1. เริ่มมองโลกในแง่ดี 2.ตื่นตัว นี่คือจุดสูงสุดของอารมณ์ หลังจากนั้น 3.เริ่มผิดคาด 4.เริ่มมองโลกในแง่ร้าย 5.ยอมแพ้ นี่คือจุดต่ำสุดของอารมณ์ และ 6.เริ่มฟื้นตัวต่อไป
มีคนมาปรึกษาว่า รบกวนขอแนวทางแก้ไขปัญหาหน่อยค่ะ เราย้ายมาอยู่บ้านแฟน ที่บ้านแฟนจะมีย่าซึ่งอายุมากแล้ว พร้อมกับพี่สาวเขาและก็แฟนพี่สาวเขา เมื่อไม่นานมานี้พี่สาวกับแฟนเขาก็ทะเลาะกันจนเลิกกันไป แล้วก็ย้ายออกจากบ้านนี้ไปเลย แล้วพี่สาวเป็นแม่บ้าน ทำงานบ้านอยู่คนเดียว มีลูก 2 คน ตอนที่แฟนพี่สาวเขามาขนของเขาก็เอาลูกคนโตไปด้วยค่ะ เหลือลูกคนเล็กไว้ พี่สาวก็เลยไปสมัครงานชั่วคราวที่ห้างใกล้ ๆ บ้าน ปัญหาคือเจ้าตัวคนเล็กไม่มีคนเลี้ยง เขาชอบเอามาฝากไว้ที่ห้องเรา แล้วหนีไปทำงานแบบไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ซึ่งเราก็ทำงานที่บ้านมานานแล้ว แต่ก็มีไปที่ทำงานบ้างเหมือนพนักงานทั่วไป แล้วตอนเวลาที่เขาเอาลูกคนเล็กมา เราก็จะไม่มีเวลาทำงานเลยค่ะ เหมือนเขายังเป็นเด็กเล็ก เล่นอะไรไม่นานก็ร้องไห้ ร้องไห้เสร็จก็ต้องพาเดิน บางทีเราก็โดนหัวหน้าดุด่าด้วยว่าทำไมส่งงานช้า ส่วนแฟนเราเขาก็ทำงานโรงงานอยู่แล้วดูหลานไม่ได้ พร้อมกับย่าก็แก่ด้วยดูไม่ไหว เราก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี มาเป็นสะใภ้เขาแบบมันก็พูดยากค่ะ จะหาทางออกกับเรื่องนี้ยังไงได้บ้างคะ - ลองแบ่งเวลามาดู ฝึกเรื่องนี้ให้เยอะขึ้น แล้วก็รู้จักหลานเราให้ดีว่าเขานิสัยอย่างไร - การทำงานเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่การเลี้ยงหลานก็อาจจะสำคัญกว่าก็ได้ มันจึงการฝึกทักษะในการบริหารเวลา - แน่นอนว่าแม่ของเด็กก็ควรที่จะรับผิดชอบเป็นหลัก แต่เขาฝากเอาไว้ให้ดูแลแบบนี้มันก็ต้องไม่มีทางเลือก โฟกัสสิ่งที่ควรโฟกัสให้ดีที่สุด - ปัญหาใหญ่คือเรื่องของเวลา คนส่วนใหญ่มีภาระรับผิดชอบมากกว่าเวลาที่ตัวเองมี งานก็มี เงินก็อาจจะไม่ค่อยมี แถมทำงานก็ต้องทำเป็นต้น - ทั้งนี้ อย่าลืมฝึกฝนทักษะการจัดการเวลา เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในโลก มองตรงนี้ให้ออกแล้วเราจะรักษาได้ทุกสิ่งที่เราปรารถนา
ข้อความโพสต์จาก Mark Minervini ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ทุกครั้งที่คุณกำลังโทษสิ่งนอกตัวคุณ คุณกำลังอยู่ในภาวะที่ขาดการพึ่งพาตนเอง ตลาดหุ้นไม่ได้เป็นคนที่ควบคุมทุกอย่าง มันไม่มีคนที่สมรู้ร่วมคิดที่จะมากำจัด 'คนตัวเล็ก ๆ' แล้วมันก็ใช่ คุณสามารถเอาชนะตลาดหุ้นได้และมันจะเกินกว่าที่คุณวาดฝันเอาไว้อีก แต่ก่อนอื่นอย่างแรก คุณต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง 100% ถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น คุณต้องรู้ชัดว่าบริบทที่เผชิญอยู่เป็นเพียงประสบการณ์หนึ่งเท่านั้น คุณสามารถควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้ คุณจำเป็นต้องรับรู้ในตอนนี้เลยว่า ฉันมันห่วยแตก จนกระทั่งตระหนักรู้ให้ได้ว่าเราไม่ได้เรื่องจริง ๆ หลังจากนั้นมันจะทำให้คุณหาเหตุผลต่าง ๆ นานาที่จะทำให้ภาพลักษณ์ดูดีอยู่ แต่มันคงไม่ช่วยคุณหยุดคำตำหนิใด ๆ ได้ และคุณจะไม่สามารถยกระดับทักษะ เพียงเพราะคุณได้ละทิ้งอำนาจอันชอบธรรมที่คุณมีไปหมดสิ้นแล้ว ตัวเลือกที่จะยอมรับว่า โอเคฉันต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นมากกว่านี้ ซึ่งผมได้เทรดมาห่วยแตกร่วม 6 ปี และมันก็ส่งผลต่อความอ่อนแอในจิตใจ จนมันทำให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้น แน่นอนว่าคุณก็สามารถเป็นแบบผมได้เหมือนกัน มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ว่าชีวิตจะต้องไม่มีข้ออ้างใด ๆ เลย" - ปัญหาใหญ่ที่สุดของการรับรู้ว่าเราต้องควรปรับปรุง คือการยอมรับตัวเองว่าพัฒนาได้หรือไม่ได้ - ไม่ใช่ทุกคนจะพัฒนาตนเองได้ แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้ ชีวิตมาสอนเราคนละแบบกัน - การเทรดแบบห่วยแตกมันอยู่ที่เราจะตระหนักมันได้รวดเร็วแค่ไหน เพราะไม่ใช่แค่การเทรดแต่มันรวมถึงทุกสิ่ง - รับรู้ภาพที่มันเป็นไปให้ได้ไวที่สุด อย่าเนิ่นช้านานเกินไปเพราะมันจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ - ตลาดหุ้นไม่ได้เป็นบ่อนการพนัน แต่มันคือภาพสะท้อนของตัวเราเองไม่ว่าเรื่อง ความโลภ ความโกรธหรือความหลงนั่นเอง
หนังสือ Drama Free: A Guide to Managing Unhealthy Family Relationships ของ Nedra Glover Tawwab - ชีวิตที่ปราศจากความดราม่าก็คือ การปล่อยวางในเวลาที่เหมาะสม และยอมรับมันในที่สุด - ขอบเขตของความรู้สึกเป็นเรื่องปัจเจกชน ซึ่งเราก็จะต้องสังเกตว่าตัวเราเองนี้ รับและปล่อยได้มากน้อยแค่ไหน - เมื่อมีคนบอกว่าเราทำไม่ได้ในเรื่อง ๆ หนึ่ง หน้าที่เราคือสอบทานตัวเองว่า เราทำเรื่องนี้ไม่ได้จริงไหม แล้วเพราะอะไรถึงทำไม่ได้ - เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง บางครั้งเราจะไม่ได้มีคนมาแนะนำสั่งสอนเราโดยตรง เราก็จึงต้องมีทักษะในการเก็บเกี่ยวสาระสำคัญ - การไม่เป็นตัวเองก็คือการไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แถมการแสร้งทำเป็นคนอื่นยิ่งจะทำให้ตัวตนของเราถูกทำลายไปกว่าเดิม
มีคนมาปรึกษาว่า อยากถามความเห็นหน่อยค่ะ คือเมื่อวานเป็นวันเกิดเรา แม่ก็พาไปกินข้าวแล้วเราก็กลับบ้าน เราบอกแม่ว่าขอกลับไปกับแฟนนะ แล้วทีนี้แฟนเราก็สั่งเค้กมาเซอร์ไพรส์เรา เสร็จเราก็กลับบ้านตามปกติ แม่พอเห็นเค้กที่แฟนเอามาให้เราก็เหมือนว่าไม่ค่อยพอใจ ดึงหน้า แล้วก็หลบหน้าเราไป เรารู้สึกโกรธแม่นะคะที่เหมือนแม่ไม่พอใจที่แฟนเอาเค้กมาให้เราก่อนที่แม่เราจะเอามาให้ แล้วก่อนหน้านี้แม่เรามีอาการประมาณนี้บ่อยมาก ที่เวลาแฟนทำไรให้เรา เขาก็จะดูไม่พอใจ เพราะแฟนก็ดูรักเรามาก เราก็เลยเดินไปถามแม่ว่า หนูผิดขนาดนั้นเลยเหรอกับการที่แฟนเอาเค้กมาให้หนูในวันเกิด หนูไม่สามารถมีคนรักได้เลยใช่ไหม เราก็เดินมานั่งในห้อง น้องสาวเราก็เห็นท่าทีไม่ค่อยดี เลยเข้าไปอธิบายให้แม่ฟังว่า เขาแค่เอาเค้กมาให้เป่าเทียนเองจะอะไรมากมาย แล้วแม่ก็ถือเค้กมาง้อเรา แต่แม่ก็เหมือนพูดน้ำเสียงแบบประชดประชันอีกเหมือนเดิม เขาชอบเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง จนเรากับน้องสาวก็ไม่รู้จะให้แม่เข้าใจได้ยังไง แล้วเริ่มที่จะยอมรับตัวเองสักที คือแม่เราเขาต่อให้ผิด ก็ไม่ยอมขอโทษค่ะ จะปรับใจยังไงดีกับเรื่องนี้ดีคะ - คนเรามีความรู้สึก แน่นอนว่าความน้อยใจเป็นสิ่งที่น่ากลัว ถ้าเราแสดงออกผิดที่ผิดเวลา - บางคนก็ลืมตัวเองไปว่า คำว่าพ่อแม่อาจจะทำได้แค่เป็นห่วง แต่ถ้าเริ่มหวง และดึงดันที่จะไม่ยอมปล่อยลูกไปนั่นจะเป็นปัญหา - หัวอกคนที่เลี้ยงดูเรามา ก็อาจจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า ลูกเห็นแฟนดีกว่าแม่ ซึ่งต้องใช้เวลาปรับตัวกันทุกคน - หวงมากก็ทุกข์มาก หวงน้อยก็ทุกข์น้อย บางทีอย่างที่พระท่านว่าไม่มีอะไรเป็นของเราจริง ๆ ทุกสิ่งอย่างเป็นของไม่เที่ยงแท้ถาวร - ในฐานะลูกก็อาจจะต้องเข้าใจพ่อแม่ด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะคิดว่าต้องให้แม่เข้าใจอย่างเดียว แต่ถ้าเราคิดว่าสมควรแก่เวลาก็บอกแม่ไปตามตรงอย่างนั้นเลย
ข้อความโพสต์จาก James Clear ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ฉันเพิ่งได้พบเจอกล่องที่เต็มไปด้วยข้อความที่ได้บันทึกเอาไว้ ฉันเขียนถึงตัวเองในอดีตว่า 1. รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และ 2. ไปยังทิศทางนั้นอย่างไม่หยุดยั้ง" - ปัญหาใหญ่ของการค้นพบกล่องที่มีข้อความที่เขียนเอาไว้ในอดีตนั่นคือ เรามีนิสัยอย่างไรจริง ๆ กันแน่ - เมื่อเราเขียนข้อความบางอย่างเอาไว้ อย่าลืมว่าเราเคยผ่านอะไรมา แล้วมันสอนอะไรเราบ้าง เอามาเป็นแง่มุมหนึ่งในชีวิตได้ - หากการค้นพบตัวเองได้อุบัติขึ้น หลังจากนั้นเราจงทุ่มสรรพกำลังลงไปยังทิศทางนั้น โดยไม่ต้องสนใจว่ามันจะเป็นอย่างไร - น้อยคนมากที่จะรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง แล้วนั่นจึงเป็นจุดเหลื่อมล้ำมากที่สุดในสังคม เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักตัวเองเลย - ความเสี่ยงของชีวิตไม่ใช่การทุ่มเทไปยังจุดใดจุดหนึ่ง แต่ปัญหาคือเราไม่รู้ผลลัพธ์กันจริง ๆ ว่ามันจะออกมาเป็นรูปแบบไหน
หนังสือ How The Mighty Fall: And Why Some Companies Never Give In ของ Jim Collins - ปัญหาของบริษัทที่ต้องล้มหายตายจาก สาเหตุหลัก ๆ นั้นเกิดจากอะไรแล้วเลี่ยงได้ไหม - เมื่อเราร่วงลงเราจงยอมรับยืนหยัด แล้วก็ต่อสู้ต่อไปให้ได้ สิ่งนี้ย่อมเป็นแง่มุมของการดำเนินชีวิตต่อไป - 5 ระยะของการถดถอย ก็คือ 1. ความสำเร็จอันโอหัง 2. ขาดการตระหนักถึงคำว่ามาก 3. หลีกเว้นความเสี่ยงและภัยอันตราย 4. การหาทางรอด และ 5. การจำนนที่ไม่ปรารถนาหรือความตาย - คนที่ถูกต้องย่อมเป็นกุญแจสำคัญขององค์กรที่ปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะทำให้มันรอดพ้นต่อไปได้อย่างยาวนาน - ปัญหาของบริษัทส่วนใหญ่ ก็คือไม่เข้าใจคำว่าการยอมรับกับยอมแพ้นั้นแตกต่างกัน ลองจัดการกับความพ่ายแพ้อย่างไรให้มีชัยชนะ
มีคนมาปรึกษาว่า ทำของแฟนพังแบบไม่ได้ตั้งใจ จะทำอย่างไรดีคะ มันคือของที่ซื้อใหม่ได้นะ แต่เขาโมโหมาก ๆ ค่ะ ที่เราทำพังเพราะก็เล่นกันสองคนแล้วจังหวะเราพลิกตัวมันก็เลยทำให้ของมันเสียหายไป หลังจากนั้นเราก็ขอโทษแล้ว แต่เหมือนเขาหงุดหงิดเลยออกไปอยู่ใต้ต้นไม้คนเดียว แล้วเราก็ทำกับข้าวเสร็จพอดีในตอนนั้น ก็เลยเดินออกไปชวนเขากินข้าว และขอโทษแบบจริงจังอีกครั้ง พร้อมกับพูดว่าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ เราเล่นกันอยู่แล้วมันมองไม่เห็น เราสั่งอันใหม่ให้แล้วนะขอโทษนะ แต่เหมือนเขาก็ยังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ควรทำยังไงดีคะ - ถ้าเราทำอะไรลงไปแล้วไม่ได้ตั้งใจ ต่อให้เขาจะสบายใจหรือไม่สบายใจมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา - บางคนก็เสียดายของมาก ๆ ก็จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องวิตกกังวลไปด้วย แต่ละคนแตกต่างกัน - มันอาจจะเป็นเรื่องที่เราทำผิดพลาดหลายรอบแล้วรึเปล่า เพราะคงไม่มีใครไม่พอใจเพียงแค่ครั้งเดียว - ลองสังเกตสิ่งรอบตัวให้มาก ๆ อะไรที่เล่นได้ก็เอามาเล่น แต่อะไรที่มันเป็นสิ่งที่รักก็อาจจะเก็บเอาไว้จะดีกว่า - การแสดงออกถึงการรับผิดชอบเป็นสิ่งที่ดีแล้ว เราทำหน้าที่เราจบครบถ้วน แต่มันอาจจะต้องใช้ระยะทำใจที่มากน้อยแล้วแต่คน
ข้อความโพสต์ Morgan Housel ได้เขียนข้อความไว้ว่า "สองเศรษฐกิจ ที่ได้ซื้อบ้านก่อนปี 2022 ซึ่งแตกต่างกับคนที่ไม่ได้ซื้อนั่นก็คือ ดอกเบี้ยเงินฝากสูงกว่าการดอกเบี้ยจำนอง แล้วดอกเบี้ยสินเชื่อการจดจำนองสูงถึง 7% จึงเพิ่มน้ำหนักการตัดขายออกไป" - ยุคนี้ต้องลงทุนอย่างเดียว นี่คือความคิดเห็นหนึ่งที่ผุดขึ้นมาหลังจากได้เห็นการพาดหัวข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจ - ถ้าหากเราซื้อบ้านตอนนี้ด้วยสินเชื่อ เราก็จะเสียดอกเบี้ยที่ค่อนข้างสูงมาก แล้วถ้าหากว่าไม่สามารถชำระหนี้ตรงเวลาก็มีความเสี่ยง - บางช่วงเวลาการออมเงิน รวมไปถึงการลงทุนในกรอบที่เรามั่นใจ เราจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการใช้จ่ายเงินไป - อย่าลืมว่าจังหวะเวลาในการลงทุนและซื้อของเป็นเรื่องของเวลา หากเราไม่รู้เรื่องนี้เราจะพลาดโอกาสของชีวิตไป - ทั้งนี้ การโต้คลื่นกับเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ดี เพียงแค่เราสังเกตอะไรบ้าง ไม่เช่นนั้นเราจะไม่เห็นสิ่งที่ควรเห็น
หนังสือ Enchantment: Awakening Wonder in an Anxious Age ของ Katherine May - เมื่อเสน่ห์ของชีวิตก็คือการลดความสุขลงสักหน่อย เพื่อพื้นที่ของชีวิตที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น - เราจะอยู่บนสังคมนี้อย่างไร ถ้าสังคมบอกให้เราต้องทำแบบนั้นแบบนี้ เราควรจะรับมือกับมันอย่างไร - บางครั้งเราอาจจะต้องมองออกไปนอกกระจกหน้าต่างที่อยู่อาศัยบ้าง เพราะว่าโอกาสของความสุขมันจะได้เริ่มต้นขึ้น - ฤดูกาลของภูมิอากาศย่อมบ่งชี้ถึงความเหงา เศร้า เซ็ง รวมไปถึงความสุข สดใส และร่าเริง มันอยู่ที่เราให้ค่านิยามนั้น - ชีวิตหลังจากผ่านวิกฤตของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน แต่เราทุกคนร่วมค้นหาจุดเดียวกันนั่นคือทางออกอย่างยั่งยืนร่วมกัน
มีคนมาปรึกษาว่า พ่ออยู่บ้านเฉย ๆ ควรให้เงินท่านใช้เดือนเท่าไหร่ดีคะ - เมื่อเราสวมบทบาทของผู้เลี้ยงดู แทนพ่อแม่ที่เคยเลี้ยงดูเรา เราก็ต้องสอบทานการเงินให้ดี ๆ ว่าเป็นอย่างไร - บางครอบครัวก็อาจจะให้เป็นเงินเดือน บางทีก็ให้เป็นเงินรายปี แล้วแต่ว่ารายได้เราเป็นรูปแบบใด - ปัญหาของการเงินก็คือ เราอาจจะมองว่าพ่อแม่เราไม่ค่อยได้ใช้อะไรอยู่แล้วก็เลยให้น้อยไว้ก่อน การสนทนาจึงจำเป็น - สังเกตตัวเองว่าเราอยากให้ชีวิตของพ่อแม่เราเป็นอย่างไร ถ้าอยากให้เขาสบายก็ให้เยอะ ถ้าเรากันเงินบางส่วนออมเงินให้ท่านแล้วก็ไม่ต้องให้เยอะมาก - ทั้งนี้ ทุกการตัดสินใจต้องขึ้นอยู่กับสถานะการเงินของตัวเราเองเป็นหลัก ไม่ต้องถามครอบครัวคนอื่นจนเราวิตกกังวลจนเกินไป
ข้อความโพสต์จาก Ray Dalio ได้เขียนข้อความไว้ว่า "เมื่อเราประเมินข้อดีของการตัดสินใจ บนพื้นฐานของคำว่าอะไรที่คุณไม่รู้ แต่มันคืออะไรที่คุณสามารถรู้ได้ในขณะที่ตัดสินใจไปแล้ว ทุกครั้งที่ตัดสินใจควรนึกถึงข้อดีข้อเสียเอาไว้บ้าง เนื่องด้วยคุณจะไม่สามารถนึกถึงตัวเลือกที่คุณไม่ได้เข้าใจมันจริง ๆ ได้เลย จึงเป็นคำถามที่ต้องถามตัวเองว่า 'อะไรที่ควรตัดสินใจใน ณ โอกาสนั้น' มันรวมไปถึงการจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ของตัวเรานั้น มันคือการตระหนักว่า เขาเป็นคนอย่างไร คิดอย่างไร และเรียนรู้จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างไร" - หลีกเลี่ยงในการวิจารณ์ติชม กับสิ่งที่มันได้ตัดสินใจไปแล้วจะดีที่สุด - ผู้คนมากมายชอบวิจารณ์ตอนตัดสินไปแล้ว ซึ่งทางที่ดีควรขบคิดหาทางออกจะดีกว่า - การโทษกันก็ไม่สมควรทำ นิสัยผู้ใหญ่จะช่วยให้ปัญหาทุเลาลงได้เหมือนกัน - ใช้สติในการตัดสินใจเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ของชีวิต ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อไป - ทั้งนี้ ห้วงเวลาหนึ่งอาจจะคงตัดสินใจให้ดีที่สุดของอีกห้วงเวลาหนึ่งไม่ได้ อยู่กับปัจจุบันแล้วทำให้ดีที่สุดก็พอ
หนังสือ Money Mindset ของ จักรพงษ์ เมษพันธุ์ - 50 บทที่เปี่ยมไปด้วยสาระสำคัญของการบริหารการเงินส่วนบุคคล - ผู้คนมากมายเกิดมาอยู่บนยุคทุนนิยม แต่ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงมันสักเท่าไหร่ - บางคนเอาผลการเรียน มาเทียบเคียงกับผลการรวย ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้นเลย - มีคนหลายคนมากที่มีรายได้ที่สูง แต่ก็มีวิถีชีวิตที่อาจจะสูงกว่ารายได้ที่ได้รับนั่นคือ Lifestyle Inflation - หนังสือเล่มนี้จะสอนการปรับมุมมองเรื่องการเงิน ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องการเงินอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการใช้ชีวิตด้วย
มีคนมาปรึกษาว่า คือว่าตอนนี้เราอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปี 1 คือเราก็ไปคบกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง คือเปลี่ยนไปมาสองกลุ่มแล้ว เพราะรู้สึกว่านิสัยไปกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีการที่พูดจาใส่กันไม่ดีนะคะ แค่พอมากลุ่มนี้ก็คบกันยาว แต่ยังไม่สนิทอะไรมากมีอะไรก็พูดกันตรง ๆ เรื่องมันมีอยู่ว่าอาจารย์ชอบสั่งงานกลุ่มค่ะ แล้วเราจะเป็นคนพวกหาข้อมูลทำสไลด์ต่าง ๆ แบบทำคนเดียวเลย ตอนแรกก็ไม่อะไร แต่หลัง ๆ มันเริ่มแบบต้องทำทุกอย่างเองทั้งหมด ออกไปพูดงานเอง เตรียมทุกอย่างเอง โดยปกติเราก็จะแบ่งหน้าที่กันตั้งแต่แรกว่าใครจะพูดหรือใครจะเป็นคนรวบรวมข้อมูล แต่พอถึงเวลาต้องไปพูดหน้าห้องกลับไม่มีใครไปเลยสักคน สุดท้ายเราก็ต้องออกไปนำเสนออยู่ดี ซึ่งมันมีหลายครั้งที่เราก็สีหน้าออกแบบไม่โอเคกับสิ่งที่เป็นแบบนี้ พอเสร็จงานเพื่อนก็จะเข้ามาถามว่าเป็นอะไร เราก็คิดในใจว่าไม่รู้จริงดิ งานก็ทำ ตอนไปนำเสนอก็ต้องทำ แล้วมันเป็นทุกรอบแบบนี้เลย มันเลยเป็นคำถามว่าจะพูดกับเพื่อนกลุ่มนี้ยังไงดี ขอวิธีรับมือกับเรื่องแบบนี้หน่อยนะคะ - คำว่าเพื่อนมันมีหลายประเภท ทั้งเพื่อนในห้องเรียน เพื่อนในที่ทำงาน เพื่อนกิน หรือเพื่อนแท้ - ไม่ใช่ทุกคนจะเข้ามาในชีวิตเราแล้วเราจะกล้าพูดว่า คน ๆ นี้จะอยู่ร่วมกันไปตลอดรอดฝั่ง - มันจึงเป็นคำตอบว่า เราไม่ควรคาดหวังโดยการเปลี่ยนกลุ่มเพื่อนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอเพื่อนที่ดีที่สุด - อดทนอาจจะเป็นทางออกของปัญหานี้ เพียงเพราะ ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ใครที่ไม่ทำพอถึงเวลาสอบเขาก็จะทำไม่ได้ - อนาคตที่สดใสจะต้องมาจากอดีตที่ขมขื่น ซึ่งมันไม่ใช่เป็นสูตรสำเร็จที่ต้องเป็นแบบนี้ แต่ประสบการณ์จะต้องมีเบ้าหลอมที่ชัดเจน
ข้อความโพสต์จาก Simon Sinek ได้เขียนข้อความไว้ว่า "วัฒนธรรมที่แข็งแรงมักจะมีผู้คนที่ทำงานพร้อมกันที่จะทำเพื่อคนอื่น แต่วัฒนธรรมที่อ่อนแอมักจะมีผู้คนที่ทำงานต่างคนต่างทำ แถมเขาทำงานเพื่อตัวของเขาเอง" - วัฒนธรรมของสังคมไม่ว่าจะเป็น ที่ทำงาน ครอบครัว รวมไปถึงเพื่อนก็ย่อมสลักสำคัญ - ถ้าหากว่าเรายังพอเลือกได้ ที่จะกำหนดค่านิยามของกลุ่มก้อนขึ้นมา ก็จงเริ่มต้นทำได้เลย - ชีวิตของคน ๆ หนึ่งย่อมหมุดหมายไปยังจุดหมายที่ใช่ที่สุด กระนั้น เราจึงต้องเลือกทางที่ใช่ที่สุดเสมอ - การทำงานเพื่อตัวเอง หรือนึกถึงแต่ตัวเองก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่คนเดียว สิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน - แม้ว่าการนึกถึงคนอื่นเพียงแค่เล็กน้อย นั่นก็อาจจะเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะว่ามันหมายถึงการเริ่มต้นของวัฒนธรรมที่ทำงานร่วมกัน
หนังสือ The Little Book of Market Wizards: Lessons from the Greatest Traders ของ Jack D. Schwager - มันคือหนังสือซีรีส์เล่มเล็ก ที่อัดแน่นไปด้วยความรู้ทางการเทรดที่นักเทรดระดับโลกตามหา - ถ้าเราอยากเพิ่มแต้มต่อของการเทรด เราอาจจะต้องใช้มาร์จิ้น แต่ว่ามันอาจจะไม่ได้ง่ายที่จะทำแบบนั้น - จุดออกสำคัญมากกว่าจุดเข้า บางคนซื้อหุ้นไปแล้วไม่อยากขายก็จำเป็นจะต้องรักษาแผนให้ได้ - คนส่วนใหญ่อาจจะพูดถึงความสำเร็จของตัวเอง แต่คนที่พูดถึงความล้มเหลวย่อมได้ประสบการณ์มากกว่า - วันนี้อาจจะเป็นวันที่แย่ แต่มันย่อมมีวันที่ดีในวันหนึ่งอย่างแน่นอน ถ้าเลือกแล้วก็ลุยให้เต็มที่ น้อยคนที่จะรอดไปได้
มีคนมาปรึกษาว่า ถ้าแฟนพูดว่าทนอยู่เพราะลูก หลายครั้งแล้ว ควรจะต้องรู้สึกยังไงคะ - บางคนไม่มีพันธะกันก็อาจจะเลิกรากันไปแล้ว แต่บางคนยังมีพันธะอยู่ก็คือยังอยู่ด้วยกันอยู่ - ไม่มีเหตุผลใดที่สำคัญไปเท่ากับลูก บางคู่รักก็อาจจะมีความรู้สึกว่าอยู่กันเพราะลูกก็เป็นได้ - แต่ละคนจะมีเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ที่แตกต่างกัน มันอยู่ที่คน ๆ นั้นว่ามองอย่างไร - หากว่าเราน้อยใจที่เหตุผลนั้นไม่ใช่เราเองที่เขาอยากอยู่ด้วย ก็อย่าเสียใจไปเลยอย่างน้อยก็ยังมีลูก - ทั้งนี้ ผู้คนมากมายชอบใส่อารมณ์ไปกับความรู้สึกจนลืมว่า ในความเป็นจริงชีวิตไม่ได้เป็นดังใจเราเสียทุกอย่าง
ข้อความโพสต์จาก James Clear ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ลงทุนเพิ่มขึ้นกับสิ่งคุณมั่นใจว่า มันจะได้เรื่องจริง ๆ กับสิ่งนั้น" - เริ่มต้นให้เจ็บ แสบ ๆ คัน ๆ พอ ไม่ต้องเริ่มต้นด้วยท่าทีของการปรับไฟแรงเกินไป - ลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าหนึ่งกับสิ่งที่คุณเริ่มเห็นสัญญาณชัดแล้วว่า มันดีอย่างสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ - สังเกตท่าทีของสิ่งที่ได้ทำลงไปในทุกขณะจิต การมีสติจะทำให้เรารับรู้ว่าสิ่ง ๆ หนึ่งมีวิถีทางอย่างไรบ้าง - ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งบนโลกตั้งอยู่บนคำว่าบังเอิญ เมื่อคำว่าบังเอิญไม่มีอยู่จริง มันก็จะหลงเหลือแค่สิ่งที่ทำว่ามันได้เรื่องไหม - อะไรที่สัญญาณมาย้ำเตือนมากกว่า 2 รอบ สิ่งนั้นย้ำไปยังจุดเดียวกัน เราจำเป็นจะต้องสอบทานว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้
หนังสือ Financial Intelligence: A Manager's Guide to Knowing What the Numbers Really Mean ของ Karen Berman and Joe Knight - วิชางบการเงิน เป็นวิชาที่สำคัญอย่างยิ่งต่อนักลงทุนทุกคน - หากเราไม่ศึกษางบการเงินเลย เราจะขาดนัยสำคัญที่เรียกว่าแก่นของบริษัทไป - การเชื่อมโยงของงบการเงิน จะทำให้เราตระหนักรู้ได้เลยว่าไม่มีอะไรที่จะทำให้เราพลาดได้เท่ากับการไม่สังเกต - งบกระแสเงินสดมันคือการดูการไหลเข้า และไหลออกของการเงินในบริษัทนั้น ๆ มันคือเคล็ดลับที่ไม่ลับของสินทรัพย์ - บางคนอาจจะไม่ใช่นักลงทุนก็สามารถศึกษาได้ เช่น อยู่สายการเงินอื่น ๆ เพื่อเพิ่มข้อสังเกตของความผิดปกติต่าง ๆ ที่เราควรเห็น
มีคนมาปรึกษาว่า ขออนุญาตปรึกษาและสอบถาม ตอนนี้มีเงินอยู่ก้อนนึง แต่ไม่รู้ว่าจะลงทุนทำอะไรดี ระหว่างเปิดร้านอาหารตามสั่งหรือจะเปิดร้านตัดเย็บชุดข้าราชการ และชุดทั่ว ๆ ไป รับปะแก้อะไรแบบนี้ค่ะ สถานการณ์เศรษฐกิจแบบตอนนี้ จะลงไปทางไหนดีได้ยาว ๆ ส่วนทำเลน่าจะไปเปิดแถวบ้านพักค่ายทหารค่ะ ซึ่งตอนนี้ร้านตัดเย็บนั้นที่บ้านมีอุปกรณ์อยู่แล้ว แม่รับปะแก้เล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าจะเปิดรับตัดชุดเพิ่มตัวเองจะไปเรียนเพิ่ม ฉะนั้นไม่ต้องไปลงทุนอุปกรณ์อะไรแล้ว แค่ลงเรียนเพิ่มแค่นั้น ส่วนเรื่องร้านอาหารนั้นมีฐานลูกค้าอยู่บ้าง เพราะเคยเปิดขายอาหารแบบตามสั่งอยู่ แต่ไม่ได้ทำแบบจริงจังสักที เลยได้กำไรแบบไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตอนนี้อยากมุ่งเป้าไปสักทางให้ดีไปเลย ขอบคุณล่วงหน้านะคะสำหรับคำปรึกษา - ปัญหาหลัก ๆ ก็คืออันไหนดีกว่า แต่จริง ๆ แล้วมันไม่สามารถตอบแบบนั้นได้ - ความรู้สึกของเราเท่านั้นที่จะรู้ชัดว่า อะไรดีกว่าอะไร ทำสิ่งที่ตัวเองมั่้นใจที่สุดว่าจะทำได้ดี - ส่วนเรื่องความคุ้มค่าก็เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่เราก็ต้องดูว่าคุ้มค่าเทียบกับอะไรบ้าง - คำว่า ทุนสำรองก็อาจจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้เราได้ตระหนักว่า ทุกการทำธุรกิจอย่าทุ่มหมดตัวถ้าเรายังไม่มั่นใจจริง - การโฟกัสงานใดงานหนึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ ก็เพราะว่าเรามีแค่ร่างกายเดียว ความคิดเดียวในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
ข้อความโพสต์จาก Morgan Housel ได้เขียนข้อความไว้ว่า "คุณสมบัติหนึ่งมีความจำเป็นเกี่ยวกับความสำเร็จ ก็มักจะเป็นโอกาสให้ผิดพลาดได้เช่นกัน เราควรระมัดระวังการได้รับชัยชนะ หรือก่นด่าความล้มเหลว เพราะว่ามันก็มีส่วนคล้ายคลึงกันพร้อมกับความแตกต่างของโชคลาภนั่นเอง" - ปัจจัยของความสำเร็จมีปัจจัยประกอบมากมาย คนส่วนมากคิดว่าไม่มีโชคอยู่ข้างเราเลย - แต่ในความเป็นจริงโชคไม่ได้อยู่ข้างเรา มีแต่การเตรียมพร้อมของตัวเราเองที่อยู่ข้างเราเสมอ - คนที่ไม่หยุดที่จะพัฒนาตนเองอยู่ตลอด เขาก็มักจะเรียนรู้ว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นปัจจัยเดี่ยวที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ - บางคนทำแบบเดียวกันก็ล้มเหลว แต่กลับกลายเป็นบางคนกลับประสบความสำเร็จ ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา - คำว่าโชคลาภ มันเหมือนว่าเราอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จถ้าเราไม่มีโชค แต่การที่โชคดีที่ไม่มีโชคอาจจะใช้ได้มากกว่า
หนังสือ เด็กวัดดอน ชีวิต ความฝัน และการลงทุน ของ นิเวศน์ เหมวชิรวรากร - จุดเริ่มต้นของชีวิต มักจะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่ง - การจะสร้างคน ๆ หนึ่งขึ้นมาได้ มันจำเป็นจะต้องมีการบ่มเพาะและก็ต้องรู้ว่า เราทำอะไรได้ดีด้วย - จังหวะสำคัญอย่างมาก ถ้าไม่มีจังหวะที่ดี ชีวิตก็คงจะไม่ได้เดินมาสู่จุดหมายที่ยอดเยี่ยมไปได้เลย - แต่อย่าลืมว่า ความรู้อาจจะไม่สำคัญเท่ากับปัญญา เมื่อเรามีปัญญาเราจะนำความรู้ไปใช้ได้อย่างถูกวิธี - การที่เราโตมาแบบหนึ่ง แล้วลูกของเราโตมาเป็นอีกแบบหนึ่งเป็นเรื่องปกติสามัญ อย่าเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐานทุกสิ่งอย่าง
มีคนมาปรึกษาว่า เราแต่งงานกับแฟนอยู่ด้วยกัน คนละบ้านกับพ่อแม่ แต่ก็ยังเป็นพื้นที่เดียวกันอยู่ พอเวลาทะเลาะกันเถียงกัน ก็จะมีคำพูดของพ่อแม่คอยพูดให้เราคิดมาก เสียใจไปกว่าเดิม จนล่าสุดพ่อแม่ส่งเรามากรุงเทพ มาอาศัยญาติอยู่ ญาติที่อาศัยอยู่ก็ชอบมาลวนลาม จนต้องมาอาศัยอยู่ที่พัทยา แล้วมาทำงานด้วย แต่เรากับแฟนก็ยังติดต่อกันอยู่ตลอด แต่พอแม่รู้ว่าติดต่อกับแฟนอยู่เขาก็ห้ามไม่ให้ติดต่อลูกเขา โพสต์ด่าเยอะแยะเต็มไปหมด เราคิดถึงลูกเรา เราจะทำยังไงดีคะ ที่ผ่านมาออกจากบ้านมาแล้ว 4 เดือน แถมก็ยังส่งเงินให้ลูก เดือนละ 5,000-6,000 บาทถึงจะไม่มาก แต่เราก็พยายามจนสุดความสามารถแล้วในตอนนี้ - ถ้าปัญหาหลักก็คือคิดถึงลูก ก็ให้โฟกัสเรื่องนี้เป็นหลักเลย ไม่ต้องใส่ใจเรื่องพ่อแม่กีดกัน - การส่งเงินไปไม่ว่ามากหรือน้อยก็ถือว่าส่งเงินไปแล้ว นี่คือหน้าที่อันสำคัญของพ่อแม่ทุกคน - สิ่งที่พ่อแม่ควรให้มากที่สุด ก็คือความเข้าใจ ในฐานะแม่อาจจะรักลูก แต่พ่อแม่บางคนก็รักลูกแบบผิดวิธีไป - ไม่ว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อชนะใจคน ก็อาจจะเป็นการเทน้ำลงทะเลทราย มันไม่มีวันที่จะอุ้มน้ำเลย แต่มันจะได้กับตัวเราเอง - เมื่อเราชนะใจตัวเองได้ ถึงแม้จะไม่มีใครรับรู้แต่ฟ้าดินก็ยังรับรู้อยู่ดี ทำหน้าที่ของตัวเองให้ได้ดีที่สุด อย่าละเลยหน้าที่ของตนก็พอ
ข้อความโพสต์จาก Ray Dalio ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ยกตัวอย่าง เช่น อย่าพยายามที่จะพูดว่าทีมบริการลูกค้าไม่สามารถสื่อสารได้อย่างยอดเยี่ยมกับทีมวิเคราะห์ จงเน้นย้ำตรงจุดที่ว่า คนใดในทีมบริการลูกค้าไม่สามารถตอบโจทย์ รวมถึงในทางใดที่จะแก้ไขได้บ้าง ให้ลองที่จะระบุไปเลย และก็สังเกตการณ์เอาทีหลัง" - จงระบุให้ชัดเจนถึงปัญหาที่เกิดขึ้น มิใช่ใช้ระบบเหมารวมที่จะบอกแบบกว้าง ๆ ออกไป - ปัญหาบางอย่างเราอาจจะเหมารวมได้ แต่มันไม่ใช่การโฟกัสถึงการแก้ปัญหาอย่างตรงจุดเท่าที่ควร - ลองดูว่าทีมใดบ้าง ที่มีดีมีเสีย แล้วเราสามารถแก้ปัญหาใดได้บ้าง เพราะไม่ใช่ว่าทั้งหมดของทีมดีหรือเสีย - การปรับใช้ ปรับปรุง และปรับแก้ ในสิ่งที่สมควร มันจะทำให้สิ่งเหล่านั้นถูกปรับเปลี่ยนให้สมดุล - ความสามารถของบุคคลจะทำให้ทีมนั้นสว่างไสวมากยิ่งขึ้น ถ้าเราได้บริหารคน เราจะต้องมีวิชาใช้คนเป็นด้วยเสมอ
หนังสือ Naked Statistics: Stripping the Dread from the Data ของ Charles Wheelan - มันจะพอเป็นไปได้ไหมที่วิชาสถิติ เป็นวิชาที่เอาไว้คำนวณเฉย ๆ ไม่ได้มีผลทางจิตวิทยา - บางคนเห็นค่าของตัวเลขสถิติก็หลงเชื่อไปว่า นี่คือตัวเลขที่มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ซึ่งในความจริงไม่ใช่ - ภาษาของนักวิทยาศาสตร์ที่เขามักจะใช้สื่อสาร ก็คือการใช้หลักของคำพูดเท่านั้นเอง ต้องศึกษาเพิ่มเติมด้วย - แล้วเป้าหมายหลักของสถิติที่พยายามประโคมข่าวออกสื่อ เพื่อให้เราคิดตามกับตัวเลขโดยไม่ได้ดูกลุ่มตัวอย่างเลย - ทั้งนี้ บางกลุ่มตัวอย่างไม่สามารถนำมาเป็นมาตรวัดได้ เช่น การหากลุ่มตัวอย่างเฉพาะกลุ่มที่มีความคิดคล้ายคลึงกัน
มีคนมาปรึกษาว่า ขอคำปรึกษาหน่อยค่ะ คุณแม่ของหนูอายุ 45 ปีได้แล้ว แต่คุณแม่อยากจะไปทำงานที่เกาหลี แต่ตอนนี้คุณแม่มีที่ทำงานค่อนข้างมั่นคงอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากจะไปทำงานที่ต่างประเทศอยู่ดี ซึ่งความรู้สึกหนูคือแม่คุยกับผู้ชายคนนึงเชิงชู้สาว ที่ทำงานอยู่เกาหลีด้วย เลยไม่รู้ว่าอันนี้อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านอยากไปรึเปล่า คือบางทีท่านพูดเรื่องนี้กับลูก ๆ ทุกคนซึ่งหนูก็ไม่แน่ใจว่าน้อง ๆ ว่ายังไงบ้าง แต่หนูก็พูดไปกับแม่หลายรอบแล้วว่า จะไปทำไมอายุเยอะแล้ว หนูก็ใกล้จะเรียนจบแล้วด้วย ซึ่งไม่กี่วันมานี้แม่ก็พูดเรื่องนี้อีก แต่คำตอบหนูยังเหมือนเดิม จนตอนนี้หนูก็ไม่รู้จะหาคำตอบไหนมาตอบอีกแล้ว ถ้าคุณแม่ถามเรื่องนี้อีกจะตอบท่านยังไงดีคะ ตอนนี้หนูเรียนอยู่ปี 4 นะคะ แล้วก็อยู่ในช่วงฝึกงานอยู่ - เรื่องของความรู้สึก มันอาจจะไม่เกี่ยวว่าอายุเท่าไหร่ ใจคนเราไม่ได้แปรผันตรงกันกับอายุ - เหตุและผลสำคัญที่สุด บางทีการไปทำงานก็เป็นเหตุผลนึง แต่การอยากมีความสุขในชีวิตก็อาจจะเป็นอีกเหตุผลนึง - ถ้าใจของคน ๆ นึงต้องการสิ่ง ๆ หนึ่งเราคงจะไปห้ามอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวก็ห้ามไว้ให้ถึงที่สุดจะดีกว่า - คนอื่นหรือสิ่งอื่นที่เราไม่มั่นใจว่าจะดีจริง ๆ ไหม ก็อย่าเพิ่งไปปักใจเชื่อ บางคนก็หลงลืมตัวไปว่า ใครจะมารักกับคนที่ยังไม่เคยเจอกันจริง ๆ เลย - ทั้งนี้ การเตือนสติจะต้องอาศัยความต่อเนื่อง อย่าลืมชักแม่น้ำทั้งห้ามาดึงประเด็นถึงข้อเสีย และโทษของการไปทำงานที่ต่างประเทศด้วย
ข้อความโพสต์จาก James Clear ได้เขียนข้อความไว้ว่า "ทำสิ่งเดียวซ้ำทุกวันมันจะทำให้กลายเป็นการกระทำทบต้น" - พลังงานทั้งหมดจะอยู่ในจุดที่ใช่เสมอ เราจงทำตัวให้เป็นแหล่งสะสมพลังงาน - การทำซ้ำเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ สรรพสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ มันอยู่ที่ตัวเราเอง - ไม่มีใครกำหนดชีวิตของเราได้ นอกเสียจากตัวของเราเอง จงตั้งใจใช้ชีวิตต่อไป - อุปสรรคเป็นเพียงแค่การขัดขวางของพลังงานใหม่ ซึ่งมันไม่ได้จะอยู่แบบนั้นตลอด - ทั้งนี้ การกระทำแบบทบต้นก็คือการทำซ้ำจนเกิดกระบวนการสร้างที่สลักสำคัญต่อชีวิต
หนังสือ Elite: High Performance Lessons and Habits from a Former Navy SEAL ของ Nick Hays - การฝึกฝนแบบหน่วยรบพิเศษนั้นเป็นอย่างไร เราจำเป็นจะต้องฟังไหม - ทีมเป็นสิ่งที่สำคัญ มันเหมือนประมาณว่าเราจะทำคนเดียวไม่ได้ เพราะถึงจุดนึงก็ต้องพึ่งพาคนอื่น - เมื่อเราปรับใช้กับการทำธุรกิจ เราก็จะได้ทักษะในการปรับตัว เปลี่ยนแปลง รวมไปถึงพัฒนาต่อยอดไปได้ - อย่าลืมเด็ดขาดว่า หน้าที่ของนักธุรกิจคือบริหารธุรกิจ และการมองภาพรวมให้ออก เปรียบเสมือนการดูแลคนในทีม - ทั้งนี้ ชีวิต งาน เงิน รวมไปถึงส่วนอื่นของชีวิต ล้วนเกี่ยวข้องกันเป็นเนื้อเดียวกันเสมอ ไม่แยกออกจากกัน
มีคนมาปรึกษาว่า สวัสดีค่ะ ผู้ชายที่มีข้อเสียทุกข้อเช่น เจ้าชู้ ติดผู้หญิง ติดเกมส์ ติดการพนัน อารมณ์ร้ายโมโหง่าย ทำร้ายข้าวของ ทำร้ายร่างกายเมีย แถมยังเป็นลูกแหง่ติดแม่ ทำตัวเป็นเด็กฟ้องแม่ให้แม่โอ๋ตลอด ดูเขาไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ให้พึ่งพาได้เลย อนาคตมืดมนทุกทาง แต่ละวันหาแต่หนทางให้ตัวเองหลุดพ้น แค่อยากระบายและอยากมาขอกำลังใจค่ะ ขอบคุณค่ะ - ปัญหาของจิตใจคนมักจะแก้ไขยาก เพราะแต่ละคนเลือกวิถีชีวิตแตกต่างกัน - ถ้าเราไม่ชอบก็ขอให้เราระลึกรู้ให้ชัดว่าไม่ชอบเพราะสิ่งใด ไม่ใช่แค่ไม่ชอบก็บ่นไปเรื่อย ๆ ก็จะไม่ค่อยดี - บางคนเขาก็ต้องการพื้นที่ในการใช้ชีวิตเยอะ มันเหมือนว่าเราก็แค่ใช้ชีวิตตามบริบทที่ได้รับมาแค่นั้นเอง - หากว่าเรามอบพื้นที่ให้กับผู้คนได้ก็จงทำแบบนั้น แต่ถ้าเราให้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยวางไป ไม่งั้นเราจะแบกทั้งหมดบนบ่าตัวเอง - ความสมดุลคือคำตอบ บางเรื่องต้องยึดไว้เพื่อเรียนรู้ พอถึงเวลาหนึ่งก็ต้องหัดเข้าใจ และยอมรับมันไปด้วย
ข้อความโพสต์จาก Robert Greene ได้เขียนข้อความไว้ว่า "เมื่อคุณแสดงออกถึงพรสวรรค์ที่คุณมีให้กับโลกใบนี้ได้เห็น มันจะมีความรู้สึกที่สับสนวุ่นวายที่เป็นเรื่องปกติสามัญ ไม่ว่าจะเป็นความไม่พอใจ อิจฉาริษยา รวมไปถึงความไม่ปลอดภัยต่าง ๆ ที่ผู้คนมอบให้กับคุณ แต่กระนั้นคุณจึงไม่จำเป็นจะต้องไปเสียเวลากับความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ที่ผู้คนนั้นพูดถึงคุณ" - เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาของผู้คนที่เขากำลังตัดสินเราได้เลย - ปัญหาของเราก็คือ เราต้องการเป็นที่ยอมรับ แต่บางทีก็ไม่ได้มีคนยอมรับในตัวเราเท่าที่เราต้องการ - ตัวเราเองย่อมจำเป็นต้องยอมรับตัวตนของตัวเองก่อน มิใช่ไปเรียกร้องให้ผู้คนนั้นมายอมรับในตัวเรา - เมื่อเราก้าวขาเดินออกนอกบ้าน นั่นคือความท้าทายของการเดินทางแล้ว จงเตรียมตัวเตรียมใจรับทุกสิ่งที่เข้ามา - ทั้งนี้ ชีวิตไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัวว่า เราต้องเป็นที่ยอมรับจากผู้คนในสังคม แค่เริ่มต้นรู้จักตัวเองก็จะเริ่มพอใจมากขึ้นแล้ว
หนังสือ How to Invest: Masters on the Craft ของ David M. Rubenstein - The Carlyle Group มีสินทรัพย์อยู่ภายใต้การบริหาร $435 billion in assets - แล้วก็หลักการบริหารแบบภาพใหญ่ก็คือ การลงทุนระยะยาว เพื่อลดการผันผวนแบบวงกว้าง - บางครั้งการกระจายความเสี่ยงก็จำเป็น แต่มันไม่ใช่กระจายแค่สินทรัพย์ มันจะต้องรวมไปถึงสภาพมวลรวม ณ ขณะนั้นด้วย - นักลงทุนมากมายต้องการคำตอบว่า ใครจะเป็นผู้ถือครองสินทรัพย์มากกว่าคนอื่น นั่นจึงเป็นการแย่งชิงในเรื่องทักษะของการถือครอง - บทสนทนาแบบถาม-ตอบ ย่อมได้อะไรมากกว่าการเล่าเรื่องเฉย ๆ เพราะมันคือการเรียนรู้ที่มาจากคำถามว่า คุณภาพของคำถามสำคัญไฉน
มีคนมาปรึกษาว่า เราคบกับแฟนมานานแล้วเกือบ 10 ปี มีลูกด้วยกันแล้ว พอมาปีนี้เราเป็นซึมเศร้า เคยจะฆ่าตัวตายมาแล้ว 1 ครั้ง แล้วเราก็พยายามทำตัวให้ปกติ เอาลูกเป็นเป้าหมาย แต่ใจเรามันไม่มีความสุขเลย ความสัมพันธ์กับแฟนก็ยิ่งห่างกันไป กลายมาเป็นเราเป็นคนเงียบ ๆ ชอบอยู่คนเดียว ไม่จู้จี้ ไม่โทรตาม อยู่บ้านเงียบ ๆ สบายใจดีเหมือนกัน จนเมื่อวาน เราทะเลาะกันเรื่องเล็กน้อย แต่คำพูดที่ด่าก็รุนแรงมาก เราเสียความรู้สึกจนบอกเลิกแฟนไป เพราะเรารู้สึกว่าอยู่คนเดียวสบายใจกว่า อยากรู้ว่าเราเห็นแก่ตัวไหม ที่ทำให้ครอบครัวพังเพราะความรู้สึกของตัวเอง เหมือนแฟนก็รู้ว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า แต่ก็ยังพูดว่าถ้าไม่มีลูกกับมึงกูเลิกไปนานแล้วประมาณนี้ค่ะ - โรคซึมเศร้ากับอาการหมดรัก มันคนละความรู้สึกกัน ให้ลองแยกสองสิ่งนี้ก่อนอย่างแรก - เหมือนว่าการที่สามีบอกว่า ถ้าไม่มีลูกด้วยกันก็เลิกกันไปแล้ว ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีมากกว่าไม่ดีก็ได้ - เมื่อคำว่าครอบครัวมันค้ำคอเราอยู่ มันก็จึงเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับว่า ความรับผิดชอบมันสำคัญมากกว่าความสุขมวลรวม - บางครั้งชีวิตก็ต้องเสียสละบ้าง ความเห็นแก่ตัวคือเรามักจะคิดว่า สิ่งใดเป็นภาระ ปัญหา หรือความทุกข์แล้วเราจะปัด ๆ มันทิ้งไป - ชีวิตไม่ได้ง่ายขนาดที่ว่าเราเลือกตัดสินใจทางใดทางหนึ่ง แล้วเราจะถอนตัวทีหลัง บางเรื่องก็ไม่สามารถถอนตัวได้