PODCAST สำหรับคนรักการพัฒนาตัวเอง โดยพี่ฟ้าใส พึ่งอุดม OVERCOME = ก้าวข้าม ดังนั้น เราจะมาก้าวข้ามอะไรต่างๆในชีวิตกัน ไม่ว่าจะเป็น ความกล้ว ความไม่รู้ ความไม่มั่นใจในตนเอง และที่สำคัญ ก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกัน!
Podcast นี้สำหรับคนอยากฟิตแต่ไม่มีเวลา ทำยังไงติดตามได้จาก OVERCOME PODCAST EP.119
Overcome Reading | OVERCOME PODCAST EP.118 by Overcome Podcast
ฝ่าความเหงาในช่วง Social Distancing เราสามารถยอมรับได้ว่าเราเหงา แต่ต้องกลับมาพิจารณาตัวเองด้วยว่า ในยามปกติเราได้ละเลยอะไรในเรื่องของปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ บ้าง พี่ฟ้าได้กลับไปคุยกับครอบครัวในเรื่องอื่น นอกจากเรื่องงานได้มากขึ้น นอกจากนั้นยังได้คุยกันในไลน์กับทีมงาน เล่นเกมสนุก ๆ กันในไลน์เพื่อให้หายเหงา เพราะพอพี่ฟ้าบอกว่าเหงา หลาย ๆ คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเหงาเหมือนกัน ถามตัวเอง ว่าช่วงเวลาที่เราเหงา เราต้องการอะไรมากที่สุด และทำมัน (สถานการณ์นี้เราไ่ม่สามารถไปเจอใครได้ ก็ใช้เป็นการติดต่อทางไลน์ หรือโทรไป) หรือทำสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้คนที่สำคัญกับเราทราบว่าเขายังสำคัญอยู่ เช่น สั่งอาหารไปส่งให้เขา สั่งเจลแอลกอฮอล์ไปให้เขาใช้ เป็นต้น
ความเครียดในช่วงนี้ที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจากความไม่แน่นอน โดยเฉพาะปีนี้ที่รุนแรงมากขึ้นจากปีก่อน และเมื่อเกิดสถานการณ์ดังกล่าว ระบบของมนุษย์จะมีทางเลือกคือ Fight or Flight สำหรับพี่ฟ้า เลือกที่จะลงมือทำเพื่อแก้ปัญหา สิ่งแรกที่ทำคือการปรับตัว ให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง (ความรู้สึกหน่วง ๆ หนัก ๆ เครียด ๆ นั้น พี่ฟ้าเองก็เจอ แต่ก็ต้องแยกแยะสิ่งที่ควบคุมได้กับควบคุมไม่ได้ให้ออก และทำสิ่งที่ควบคุมได้ เช่น ควบคุมตัวเองให้ได้เต็มที่ เราต้องยอมรับว่าเราก็คือมนุษย์ เหนื่อยเป็น เครียดเป็น แต่เราต้องควบคุมตัวเองได้ โดยมีวินัยในการใช้เวลาของเรา เช่น พี่ฟ้าออกกำลังกายตอนเช้า ตอนเย็นทำสมาธิ หรือยืดกล้ามเนื้อ เป็นต้น อีกสิ่งหนึ่งคือยังมีคนที่ลำบากกว่าเรา เช่น ตอนนี้เราได้ Work From Home คนอื่น ๆ อีกหลายคนยังไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เทคนิคที่แนะนำ 1. วางแผนเวลาล่วงหน้า ว่ากี่โมง ต้องทำอะไร 2. การเลือกเสพข่าว ให้มั่นใจได้เลยว่า ถ้าข่าวนั้นสำคัญจริง ๆ เดี๋ยวก็มีคนมาบอกเราเอง
อยากเข้าห้องน้ำเป็นเวลา ต้องทำสิ่งนี้! | OVERCOME PODCAST EP.115 by Overcome Podcast
เราจะบริหารความคิดของเราอย่างไรเมื่อเจอวิกฤต 1. แบ่งความคิดของเราออกเป็น Timeline เช่น สิ่งใกล้ตัว สิ่งไกลตัว ว่าสิ่งที่เราคิดอยู่นี้มีผลกระทบกับเราเมื่อไหร่ อย่างเช่น ตอนนี้ฝนตก มันจะมีผลกระทบกับเราทันทีที่เราออกไปข้างนอก เราก็จะเตรียมตัวได้ 2. คิดล่วงหน้าและวางแผนได้ เช่น วางแผนรายปี ราย 3 ปี เป็นต้น การจะวางแผนล่วงหน้าได้ เกิดจากการคิดวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น เกิดวิกฤติ Covid ตอนนี้ ปีหน้าจะเกิดอะไรได้บ้าง เป็นต้น แต่การคิดถึงอนาคตที่ไกล หลาย ๆ ครั้งจะมีช่องว่างทำให้เราคิดผิดได้เยอะ หรือการปักใจเชื่อสิ่งใดมากเกินไป ก็จะทำให้เราเสียเวลาไปฟรี ๆ สิ่งที่เราควรต้องทำคือ เตรียมตัวรับมือโดยให้ทำตัวให้กว้าง พร้อมรับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้เสมอ โดยอิงจากการประมวลผลข้อมูลปัจจุบัน และข้อมูลที่อาจจะมีในอนาคต การคิดอย่างมีระบบทำให้เราสามารถที่จะคิดถึงข้อมูล หรือความเป็นไปได้อื่น ๆ ที่ยังไม่เกิดและอาจจะเกิดได้ในอนาคต
Start your day ทุกอย่างเริ่มต้น...เมื่อเราตื่นนอน การกด snooze นาฬิกาปลุกไปเรื่อย ๆ จะเป็นการสร้างนิสัยการยอมไปเรื่อย ๆ และอาจจะไปถึงการยอมตัวเองไม่ไปออกกำลังกายเพราะเหนื่อยทำงานมาแล้ว เราควรฝึกฝนให้ร่างกายตื่นเองเป็นกิจวัตร แต่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เพื่อเป็น back up เท่านั้น ตั้งคำถามต่อตัวเองว่า ตื่นมาวันนี้ทำไม และพูดกับตัวเองเพื่อให้ได้ยินเสียงตัวเองและเป็นการเน้นย้ำให้ตัวเราเข้าใจ
1. สภาพจิตใจ เน้นใช้ปรัชญา Stoic คือเรื่องที่เราสามารถทำได้ คือการโฟกัสสิ่งต่าง ๆ ที่เราควบคุมได้ เบื้องต้นคือการควบคุมตัวเองให้ได้ เป็นคนมีวินัยมากขึ้น สิ่งที่ควรทำคือวางแผนว่าเวลาไหนควรทำอะไร สิ่งที่ไม่ควรจะเกิดคือเอาเวลาไปเล่นในเวลางาน เพราะเราเครียดจากข่าวสารต่าง ๆ เลยต้องผ่อนคลาย - ตื่นมาตอนเช้า ควรตื่นตามปกติ ไม่ตื่นสาย เอาเวลามาพัฒนาตัวเอง เช่น ฝึกภาษา - ออกกำลังกาย - การวางแผนทั้งวันว่าจะต้องทำอะไรให้เสร็จบ้าง 2. การมีอิสรภาพในการทำงานมากไปก็จะเป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้เราพัฒนาตัวเองได้เช่นกัน ดังนั้นต้องมีวินัยกับตัวเองเหมือน หรือยิ่งกว่าตอนไปทำงานที่ออฟฟิศ
พักสมอง แล้วมาฝึกทักษะการจำ พัฒนาทักษะเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น 1. เรียนผ่านการมองเห็น 2. เรียนผ่านการฟัง 3. เรียนผ่านการทำตาม เทคนิคการจำชื่อคน 1. เมื่อทราบชื่อเขาแล้ว ระหว่างสนทนา ควรทวนชื่อเขาประมาณ 3 - 5 ครั้งในบทสนทนาครั้งแรกเพื่อให้เราจำชื่อได้ 2. จดชื่อในสมุด หรือโทรศัพท์ แล้วก็หาสิ่งที่เป็นคาแรคเตอร์ของคน ๆ นั้นจดคู่ไปด้วย 3. จดว่าเราเคยเจอคน ๆ นั้นที่ไหน หรือในสถานการณ์อะไร 4. เลิกพูดคำว่าเราจำชื่อคนไม่เก่ง เพื่อให้ร่างกายเราไม่คุ้นชินกับการไม่จำชื่อคน จากหนังสือ Remember it เขียนโดย Nelson Dellis แนะนำเรื่องการ hack สมองเราให้จำได้มากขึ้น คุณสามารถใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนได้ด้วย (Sensory Overload) นอกจาก 3 ข้อด้านบน ซึ่งได้แก่ รสชาติ กลิ่น ในการช่วยจำ 1. Sensory Overload ให้เราจินตนาการตามว่าสิ่ง ๆ นั้นทำให้เรารู้สึกอย่างไร ได้กลิ่นอย่างไร ได้ยินอะไร มีรสชาติอย่างไร เช่น พูดถึงป้าแดงขายข้าวหมูแดง สิ่งแรกที่เราเห็นคือ คุณป้าใส่ผ้ากันเปื้อน ได้กลิ่นข้าวหมูแดง จินตนาการได้ถึงเสียงสับหมู และรสชาติน้ำข้าวหมูแดง เป็นต้น 2. Protest Absurdity เช่น ข้าวหมูแดงชิ้นใหญ่เท่าบ้าน กลิ่นหึ่ง (ใช้การทำให้เว่อร์วังเกินเบอร์) ทำให้จำได้ไม่ลืม 3. Movable Attribute คุณลักษณะที่เคลื่อนไหวได้ เช่นเห็นเป็นภาพการ์ตูน หมูวิ่งได้ ป้าแดงวิ่งไล่สับหมู เป็นต้น
ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จเริ่มต้นง่ายๆด้วยการทำให้ร่างกายเราแข็งแรง ถ้าความสำเร็จหรือความฝันของเราเปรียบเหมือนปลายทาง "ร่างกายของเราก็เหมือนรถ" ถ้ารถเรามีปรสิทธิภาพที่ดี เราจะสามารถไปถึงปลายทางได้อย่างรวด้ร็วและมีความสุข หลายคนคิดว่าการไปสู่ความสำเร็จ ร่างกกายเป็นเรื่องที่รอได้ เลยนำการทำงานเป็นตัวตั้ง รู้ตัวอีกที ร่างกายพังไปแล้ว ใช้ชีวิตประจำวันได้แบบไม่ 100% แต่จริงๆแล้วถ้าคุณ คือคนที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิต "การดูแลร่างกายให้แข็งแรง คือหน้าที่อันดับที่หนึ่งที่คุณต้องทำ" เพราะการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง คือ Number 1 priority
ปัญหาที่หลายคนมักจะเจอ นั้นก็คือง่วงละหว่างวัน พอกันทีกับวงจรแบบนี้ กินแล้วตื่นได้แปปเดียว ต้องหาขนมกินระหว่างวันเพราะง่วง เรื่องของความง่วง เป็นเรื่องที่ถ้าเราสามารถปรับได้ จะทำให้เราสำเร็จในชีวิตได้เร็วขึ้น เพราะถ้าเราไม่ง่วงเราจะสามารถ ทำงานได้มากขึ้น มีไอเดียดีๆ เยอะขึ้น มูลค่าต่อวันที่สามารถสร้างได้ก็เยอะขึ้น เพราะฉะนั้น คุ้มค่าที่เราจะปรับครับ อย่างแรกคือเรื่องของการปรับการนอน อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การปรับการกิน เริ่มจากปรับมื้อเช้าโดย -เพิ่มโปรตีน -ลดน้ำตาล -เพิ่มผักผลไม้และไขมันดี ปรับมื้อเที่ยง -เลี่ยงน้ำตาล ปรับมื้อเย็น -ไม่กินก่อนนอน อาหารดีๆเหล่านี้จะช่วยพัฒนาร่างกายของคุณ และทำให้คุณสามารถเปลี่ยนร่างกายให้สร้างผลงานได้มากขึ้น แต่ปัญหาคือ อาหารปกติที่เรากินในแต่ละวันมันกลับตรงกันข้าม ทั้งโปรตีนน้อย แป้งเยอะ และน้ำตาลสูง ทำให้เกิดอาการง่วงระหว่างวัน ทำให้ส่งผลต่อเรื่องๆต่างๆในชีวิต ในepisode นี้พี่ฟ้าใสมีเทคนิคดีๆในการเอาชนะความง่วงมากฝาก
เรื่องแย่ ๆ มี 3 ระดับ คือ 1. ระดับเล็ก มีผลทำให้เราหงุดหงิด 2. ระดับกลาง มีผลกับชีวิตเราพอสมควร 3. ระดับสูง อาจทำให้เราบาดเจ็บหรือตายได้ คนเราจะตระหนกเมื่อมีปัจจัยมากระทบกับเรา ทั้งปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในร่างกายของเราเอง และร่างกายอาจจะตอบสนองเช่น ใจสั่น เหงื่อออก ตีความภาษากายผิดไปจากความเป็นจริง เป็นต้น วิธีการ Overcome 1. รู้เป้าหมายอย่างแน่ชัด เพราะเมื่อเป้าหมายเราชัดแล้วเวลามีปัจจัยต่าง ๆ มากระทบกับชีวิตเรา จะได้ทราบว่าเรื่องที่มากระทบนั้นอยู่ระดับไหน 2. แยกแยะสิ่งที่เราคิดไปเอง กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง 3. โฟกัสกับสิ่งที่ควบคุมได้ก่อน เช่น ตัวเราเอง แล้วค่อยไปกังวลกับปัจจัยอื่น ๆ ถ้าเรากังวลผิดที่ เราจะแก้ไขปัญหาผิดที่
การกู้โลก ภารกิจกู้โลกของพี่ฟ้าเกิดมาจากการเห็นอุปสรรคของชีวิตเยอะ เช่น สงคราม วิกฤติเชอร์โนบิล ภัยพิบัติ จึงทำให้สัญญากับตัวเองว่าจะทำงานให้หนักเพื่อให้มีความมั่งคั่ง มั่นคงต่อสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบกับครอบครัว พี่ฟ้าทำงานมาหลายอย่าง ทั้งขายของเอง ทำงานร้านอาหาร รับจ้างแปลหนังสือ เพื่อให้มีเงินเก็บและสามารถต่อยอดได้ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ เรื่องการมีวินัย จากเด็ก ๆ ที่พี่ฟ้าต้องมีวินัยนั่งซ้อมดนตรี (ไวโอลิน) วันละหลายชั่วโมง วินัยที่เกิดจากความสม่ำเสมอ กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาจไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ อาจเป็นสิ่งเล็กๆ แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี จากนั้นจึงเริ่มธุรกิจสุขภาพเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จึงเกิดเป็น Fit Junctions และค่อย ๆ ต่อยอดเป็น Youtube content ช่อง Fit Junctions และได้มาทำรายการ What’s the fat พี่ฟ้าใช้วินัยในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และต้องรักษารูปร่างเพื่อใช้ทำงานมาหลายปี เพื่อเป็นตัวอย่างกับทีมงานและเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนทั่ว ๆ ไป และในปี 2020 นี้พี่ฟ้าจะเข้าสู่สื่ออื่น ๆ มากขึ้นเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ไม่เพียงเฉพาะร่างกายแข็งแรงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่จะรวมถึงการพัฒนาตัวเองอย่างการพัฒนาทักษะภาษา การบริหารเวลา การพัฒนาคุณภาพชีวิต หากคุณอยากกู้โลก ให้ทำตัวเองให้ดีขึ้นในหลาย ๆ ด้าน และฝึกให้ตัวเองมีพลังในการมีวินัยและควบคุมตัวเองให้เลือกสิ่งที่สะท้อนถึงเป้าหมายของเรา
OVERCOME PODCAST โฉมใหม่! ที่จะตอบโจทย์คนรักการพัฒนาตัวเองมากกว่าเดิม กับหลักการพัฒนาตัวเองสไตล์พี่ฟ้าใส ด้วยเทคนิค 3S SELF SOCIAL SUCCESS ที่จะช่วยให้คุณพัฒนาตัวเองรอบด้าน พร้อม OVERCOME อุปสรรคต่างๆในชีวิต OVERCOME PODCAST โฉมใหม่! ที่จะตอบโจทย์คนรักการพัฒนาตัวเองมากกว่าเดิม กับหลักการพัฒนาตัวเองสไตล์พี่ฟ้าใส ด้วยเทคนิค 3S SELF SOCIAL SUCCESS ที่จะช่วยให้คุณพัฒนาตัวเองรอบด้าน พร้อม OVERCOME อุปสรรคต่างๆในชีวิต
การลงทุนที่ดีที่สุดของคุณคือออะไร ? สำหรับพี่ฟ้าใส การเริ่มลงทุน “เวลา” เป็นอย่างแรก คือสิ่งที่พี่ฟ้าใสเลือก เพราะทุกคนมีเท่ากัน คือ 24 ชั่วโมง เราควรต้องพิจารณาว่าทุกวินาทีของเรานั้นมีประสิทธิภาพหรือยัง ทำอย่างไรให้มูลค่าเวลาของตัวเราแพงขึ้น โดยเริ่มจากพิจารณาว่าในแต่ละชั่วโมงที่เราทำงานนั้นเราทำสิ่งที่ “ต้องทำ” หรือสิ่งที่ “เราอยากทำ” ซึ่งเราควรต้องทำสิ่งที่ต้องทำ แต่ทำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เราเก่งขึ้น อย่างที่สอง คือการลงทุนกับความรู้ ง่ายที่สุดคือการทบทวนกับตัวเองว่า “เรายังไม่รู้อะไรบ้าง" และ “รู้อะไรจริงบ้าง” เพื่อให้รู้ว่าเราต้องพัฒนาอะไรอีกบ้าง และเอาตัวเองไปอยู่ในบรรยากาศที่ทำให้เราอยากพัฒนาบ่อย ๆ เช่น เราอยากเก่งภาษาอังกฤษ ก็ควรไปอยู่ในที่ ๆ เขาใช้ภาษาอังกฤษให้มากขึ้น เป็นต้น พี่ฟ้าแนะนำให้เอาสิ่งที่เรารู้และชำนาญมาเล่าให้คนอื่น ๆ ฟัง เป็นการทบทวนความรู้และฝึกการนำเสนอไปในตัว ข้อที่สาม คือ การลงทุนกับคน เป็นการวางความสำคัญว่าใครสำคัญกับชีวิตคุณและใช้เวลาด้วยกัน เริ่มจากการลงทุนกับตัวเองโดยการพัฒนาให้ตัวเองเก่งขึ้น แล้ววันนึงจะดึงดูดคนเก่ง ๆ อื่น ๆ เข้ามาหาคุณ ข้อที่สี่คือการทำ 3 ข้อที่ผ่านมาให้เป็นกิจวัตร
Connection การตีความคำนี้ บางคนก็ตีความแบบ below the line คือมองแบบลบ แต่ถ้าเราเป็นคนที่อยากพัฒนาตัวเอง และอยากมีชีวิตที่ดีจริงๆ คำถาม คือทำอย่างไรถึงจะมี connection อย่างเขาได้บ้าง สิ่งที่อยากให้ทำคือ เลิกคิดว่า connection ดี ๆ จะเดินเข้ามาหาเราเอง เราต้องมีความคิดแบบ proactive คือลงมือทำให้มันเกิดขึ้น ยังไม่มี connection ก็สร้างมันขึ้น และ เลิกคิดว่าคนอื่นโชคดี เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง สิ่งที่ต้องทำ ข้อแรก ตั้งเป้าหมายให้แน่วแน่ และเข้าใจว่ากว่าจะถึงเป้าหมายจะยากเพียงใด ต้องทำอะไรบ้าง (เป้าหมายที่ใหญ่จะต้องใช้ connection ที่มากขึ้นตามไปด้วย) ข้อที่สอง สิ่งที่เป็นอุปสรรค (pain point) ที่ต้องก้าวข้าม ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ ภาระหนี้สิน เป็นต้น เมื่อเราเห็น 2 ข้อนี้แล้ว เราจะเห็น purpose หรือจุดประสงค์ในการทำอะไรต่าง ๆ ข้อที่สาม สร้างประโยช์น ต่อตนเอง และผู้อื่น การที่อยากได้ connection ดี ๆ ต้องไม่ขอ อย่าคิดว่าเขามีประโยชน์อะไรกับเรา เราจะได้อะไรเมื่อทำความรู้จักกับเขา แต่ให้คิดว่า เรามีประโยช์นอะไรต่อเขา เราช่วยอะไรเขาได้บ้าง แล้วนำเสนอสิ่งนั้นออกไป ให้กับคนที่เราอยากมี connection ด้วย ข้อที่สี่ ลงมือทำ เพราะ connection ที่ดีไม่เคยเดินไปหาใคร
ผลงานวิจัยจาก UCLA 40% ของคนไทย มีปัญหาเรื่องความเหงา และกลุ่มคนที่เจอปัญหานี้มากที่สุดคือ คนวัยทำงาน และวัยรุ่น ตามลำดับ ผิดกับที่เราคิดว่าผู้สูงอายุจะเป็นกลุ่มคนที่เหงาที่สุด แล้วอะไรกันที่ทำให้คนวัยอย่างเราที่น่าจะ happyที่สุด กลับเหงามากที่สุด ...“พ่อแม่ก็ไม่เหงาเท่าเรา” มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม เพราะการอยู่คนเดียวจะมีความปลอดภัยน้อยลง (เป็นสัญชาตญาณตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์) แต่ในปัจจุบันเราสามารถใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวได้ง่ายขึ้น ในทุกวันนี้หากคนเราเหงาก็เข้า social media เพื่อคลายเหงา จนถึงให้เราเสพติด Novelty (ความสดใหม่) เช่น การกดไลค์จากเพื่อน ๆ หรือต้องไถฟีดบ่อย ๆ เพราะต้องการ content ใหม่ ๆ เนื่องจากสมองเสพติด Dopamine และต้องการมันมากขึ้นเสมอ เมื่อเราได้ความสุขมาง่าย ๆ ทำให้เวลาที่เราได้เท่าเดิมแล้วจะไม่พอใจ หรือเบื่อง่ายนั้นเอง
คิดอย่างไร ได้อย่างนั้น ในปี 1960 นักวิจัยชื่อ Rosenthal ทำการวิจัยแล้วพบว่าทุกครั้งที่เราพูดหรือเชื่ออะไร ร่างกายจะซึมซับและตอบรับสิ่งนั้น ๆ จนเกิดเป็น Pygmallion effect Henry Ford เคยกล่าวไว้ว่า "ไม่ว่าคุณจะเชื่อว่าคุณทำได้ หรือไม่ได้ ก็ถูกทั้งคู่" ซึ่งพี่ฟ้าเชื่อและเข้าใจว่านอกจากความเชื่อแล้วต้องมีความพยายามด้วย พี่ฟ้านั้นฝันและเชื่อว่าตัวเองจะต้องมียิมเป็นของตัวเอง โดยที่มีอุปกรณ์และวิธีการสอนในแบบที่เชื่อว่ายั่งยืน และก็พยายามทำงานเก็บเงิน สะสมประสบการณ์ในการสอนเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันพี่ฟ้าใสสามารถเปิด Fit Junctions ได้ และมีถึง 3 สาขา เพราะฉะนั้น คิดถึงความฝันของคุณตลอดเวลา และอย่าหยุดทำมัน เราควรปรับความคิดจากความรำคาญ หรือดูถูกคนอื่น ๆ ในเรื่องที่เขาไม่รู้ หรือเข้าใจผิด ให้เป็นหน้าที่ของเราในการเข้าไปช่วย หรือแม้กระทั่งเราเองที่ยังไม่รู้ทั้งหมด ก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น
ในปัจจุบัน Team building ถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการทำงานให้สำเร็จรุร่วง Rapport (แรพพอร์) คือ การสร้างความสัมพันธ์รวมกับผู้อื่น หรือ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและไปด้วยกันได้อย่างสวยงามระหว่างผู้คนที่เข้าใจแนวคิดหรือความรู้สึก และมีการสื่อสารระหว่างกันอย่างดี เราสามารถดูว่าใครเป็นพวกเราได้ ดูได้จากภาษากายเป็นหลัก เช่น ท่าทาง สีหน้า วิธีการวางมือ ขา เวลานั่ง ซึ่งต้องเกิดจากการฝึกซ้อมในการวิเคราะห์ท่าทาง ในส่วนของภาษาพูดที่ใช้ก็ควรเป็นแบบเดียวกันกับคนที่เราจะเข้าไปพูดคุยด้วยเช่นกัน รวมไปถึงน้ำเสียง และวิธีการพูดด้วย เวลาสื่อสารกับคนที่อยากให้เป็นพวกของเราก็ควรต้องชื่นชมความชอบ หรือสิ่งที่คนกลุ่มนั้นสนใจด้วย ไม่ใช่เพียงแค่สนใจเรื่องของตัวเราเท่านั้น
ถ้าเราไม่ชอบสิ่งต่าง ๆ ในโลกใบนี้ ทางแก้ที่เราทำได้คือต้องเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองก่อน คำว่า “โลกของฉัน” มันมีสเกลของมันอยู่ ตั้งแต่ ครอบครัว เพื่อน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน จังหวัด ประเทศ โลก เป็นแนวคิดของคนที่เป็น Proactive คือคนที่เริ่มทำอะไรซักอย่างก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น เช่น เริ่มจากทำร่างกายให้แข็งแรงก่อน เริ่มเรียนภาษาเพื่อให้เราเก่งขึ้น เป็นต้น ให้คิดเสมอว่าทุก ๆ การกระทำของเรามี impact ต่อโลกเสมอ เช่น การทำงานต่าง ๆ คุณจะต้องทำอย่างไรให้โลกมันดีขึ้น เพื่อให้คนในองค์กรได้ประโยชน์จากการทำงานของเรามากที่สุด
ถอดสูตรความสำเร็จ พี่ฟ้าใส พึ่งอุดม ตอนเด็กพี่ฟ้าใสเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร แต่หลังจากที่ได้ไปเจอโลกแห่งความเป็นจริงจากการไปทำงานในเรือสำราญ จึงทำให้เห็นความเป็นจริงอะไรหลาย ๆ อย่างและทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น สาเหตุหนึ่งที่พี่ฟ้าชอบการ overcome เพราะเกิดจากการห่วงใยคนสำคัญของพี่ฟ้า จึงต้องมีอำนาจ เงินทองเพื่อมีอำนาจต่อรองเพื่อปกป้องคนที่สำคัญของพี่ฟ้าให้ผ่านพ้นไปจากเหตุการณ์ร้าย ๆ ได้ พี่ฟ้าเห็นปัญหาของโลกนี้เป็นปัญหาของตัวเอง ทำให้ขยันเพื่อจะแก้ไขปัญหานี้ให้ได้ โดยเริ่มจากตัวเองก่อนเสมอ พี่ฟ้ามีการดำเนินชีวิตที่เหมือนคุณแม่อย่างหนึ่งคือ การทำอะไรอย่างสุดความสามารถ ไม่ A ก็ F ไปเลย พี่ฟ้ามีนิสัย Hyperfocus เนื่องมาจากการเป็นคน Hyperactive ที่เหมือนคุณแม่ ข้อเสียอย่างหนึ่งที่เกิดคือคนรอบ ๆ ข้างอาจไม่ได้เป็นแบบนี้ ทำให้คนที่ทำงานด้วยอาจจะเหนื่อย
คนทุกคนถูกนินทาด้วยกันทั้งนั้น เพราะเราไม่สามารถทำให้ทุกคนรักเราไม่ได้ และทุกคนในโลกสำคัญกับคุณทุกคนไหม ต้องเข้าใจ 2 อย่างนี้ก่อน และเมื่อเราเข้าใจทั้ง 2 ข้อนี้แล้ว การกระทำของเราจะเริ่มชัดขึ้นว่าเราทำสิ่งต่าง ๆ แล้วดีต่อใครบ้าง ถ้าทำแล้วดีต่อคนที่สำคัญต่อคุณก็จงทำต่อไป ให้ลองพิจารณาว่าในอีก 10 - 20 ปีข้างหน้า คนที่นินทาคุณจะยังอยู่กับคุณหรือไม่ หากได้รับคำตอบว่าไม่ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับคำนินทานั้น เพราะสิ่งที่เราทำจะมี impact กับคนที่สำคัญต่อเรามากกว่า
“คุณเท่านั้นที่ช่วยโลกได้ ” ความรู้สึกของ Superman complex คนที่เป็น Superman complex คือมีความคิดที่ว่าคุณเชื่อว่าคนอื่น ๆ ไม่สามารถทำอะไรได้ เราเลยต้องทำแทน (ตัวแบก) สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเราจะเหนื่อยมาก และกังวลมากว่ามันจะออกมาไม่ดีและผิดพลาด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ 1. เราควรช่วยคนที่มีความสำคัญกับเรา เพื่อให้เราไม่ต้องแบกภาระมากจนเกินไป 2. Superman ไม่ควรทำงานคนเดียว ควรมีทีมงานที่เก่งมาทำงานร่วมกัน Superman complex ในคนแต่ละวัยก็จะต่างกัน สเกลในการช่วยเหลือมันก็จะต่างกัน เช่น วัยรุ่นก็สเกลที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย พอมาทำงานก็จะใหญ่ขึ้นโดยมีทั้งครอบครัว และที่ทำงาน เป็นต้น
มันจะมีเส้นบาง ๆ ระหว่างการคิดบวก กับโลกสวย ดังนั้นต้องระวังในการเลือกที่จะมองด้วย การมองโลกอย่าง Positive Thinking คือการมองเห็นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ในสถานการณ์ต่าง ๆ พี่ฟ้าเป็นคนมองโลกแบบ Realistic คือการมองเห็นความจริง และเป็นคนที่ Proactive คือต้องแก้ไข โดยเริ่มจากตัวเราเองที่เป็นคนกำหนดว่าเราจะเจออะไรบ้าง
กินกบตัวนั้นซะ แนะนำหนังสือ Ask Fassai EP.96 ชีวิตคนเรามีงานหลายอย่างให้ทำ สิ่งที่เป็นปัญหาคือเราเลือกที่จะทำสิ่งที่ง่ายหรืองานที่ไม่ส่งผลสำคัญกับชีวิตเรา หนังสือเล่มนี้พูดถึงการเอาชนะการผัดวันประกันพรุ่ง โดยเปรียบงานที่สำคัญเป็นกบ เพราะกบดูน่าเกลียด ในหนังสือจะมีการบอกสิ่งที่ควรทำสำหรับการจัดลำดับความสำคัญของงาน โดยมีวิธีต่าง ๆ ดังนี้ 1. พูดคุยกับหัวหน้าของเราว่าคาดหวังอะไรจากเรา 2. คิดเสมอว่าทำไมบริษัทต้องจ้างเรา 3. งานที่เราทำแต่ละวันมีอะไรบ้าง และอะไรที่สำคัญมากสำหรับองค์กรและตัวเรา เพื่อเอามาเรียงลำดับความสำคัญใหม่ 4. จดจ่อกับงาน และเลือกวิธีการสื่อสารสำหรับงานสำคัญกับคนอื่น ๆ เท่านั้น
เทคนิคเลือกอ่านหนังสือ 1. เลือกหนังสือที่เหมาะกับเรา ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องอ่านหลาย ๆ เล่มเพราะกลัวว่าจะพลาดอะไรไป (FOMO) ประเภทของหนังสือมีดังนี้ - Textbook (หนังสือเรียน) - Novel (วรรณกรรม) - Visual guide - Graphic novel - Comic - Listical พวก 100 ข้อที่คุณต้องทำเพื่อ....... เป็นต้น - Self help คือหนังสือจำพวกการพัฒนาตัวเอง เช่น วิธีการเอาชนะความกลัว เป็นต้น 2. เริ่มอ่านจากหนังสือที่เนื้อหาไม่หนักเกินไป โดยการกรีดนิ้วดูผ่าน ๆ ว่าเล่มนั้นมีรูปภาพเยอะไหม ตัวอักษรเยอะไหม ตัวอักษรอัดแน่นเกินไปไหม แล้วพิจารณาว่าชอบหรือเปล่า ค่อยดูเนื้อหา 3. เลือกหนังสือตามจริตของเรา เช่น เราเป็นคนสนุกสนาน ก็ไม่ควรเลือกหนังสือวิชาการจนเกินไป
ดีดนิ้วสร้างวินัย Ask Fassai EP.94 by Overcome Podcast
Daniel Goldman แบ่ง EQ ไว้เป็น 5 เสาหลักดังนี้ 1. Self Awareness การรู้ตัว หรือการมีสติ รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ 2. Self Regulation การควบคุมตัวเองให้ทำสิ่งที่ควร หรือห้ามทำสิ่งที่ไม่ควร 3. Motivation ปลุกแรงบันดาลใจ แรงจูงใจส่วนตัวขึ้นมาใช้ มีทั้ง Extrinsic (ภายนอก) Intrisic (ภายใน) 4. Empathy การเข้าใจผู้อื่น ทำให้เราหาเหตุผลในการกระทำของผู้อื่นเพื่อทำความเข้าใจ 5. Social Skills ทักษะทางสังคม เราสามารถเพิ่ม EQ ได้ด้วยการมองหาข้อที่เรามีน้อยและยอมรับตัวเอง รวมถึงการปรับปรุงให้ดีขึ้น จะทำให้เรามี Social Skills โดยรวมที่ดีขึ้นได้
ปัจจัยที่ทำให้คนร้องไห้นั้นต่างกัน ทั้ง อายุ เพศ สภาพการเลี้ยงดู ความเชื่อของพี่ฟ้าคือร้องไห้เพราะสงสารคนอื่นมากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการร้องไห้นั้นเป็นเรื่องเสียเวลา เราเอาเวลาไปช่วยเหลือคนด้วยวิธีการต่าง ๆ แทนดีกว่า การร้องไห้นับเป็นการผ่อนคลายอารมณ์ตนเองอย่างหนึ่ง แต่ไม่ควรจะร้องจนไม่ทำอย่างอื่นเป็นการผ่อนคลาย เพราะการร้องไห้นั้นบ่อย ๆ นั้นอาจจะเกิดจากตัวเราสนใจแต่ปัญหาของตัวเราเองใหญ่มากจนลืมว่าปัญหาของคนอื่นก็มีและหนักหนาไม่แพ้กัน คนทุกวัยสามารถร้องไห้ได้ แต่ต้องรู้ก่อนว่าร้องทำไม ถ้าคนที่มาร้องไห้กับเรา ต้องพิจารณาว่าเขาสำคัญแค่ไหน หากสำคัญควรให้การสนับสนุนทางอารมณ์ (Emotional support) และการปลอบหรือช่วยเหลือคือการตั้งใจฟังเขา และไม่พยายามสอนเขา เพียงแค่ตั้งใจฟังและทำความเข้าใจปัญหาเขาก็พอ
Policy Analysts คือ นักวิเคราะห์นโยบาย มีหน้าที่วิเคราะห์แผน/กลยุทธ์โครงการพัฒนาประเทศ และโน้มน้าวหรือจูงใจให้หน่วยงานอื่น ๆ เห็นคล้อยกับกลยุทธ์ที่เราวิเคราะห์มา ความเหมือนกันกันระหว่าง 2 หน้าที่นี้คือ ทักษะการคิดให้ละเอียดว่าใครมีส่วนได้ส่วนเสียอะไร และต้องทำอะไรให้บรรลุเป้าหมาย รวมถึงทำอย่างไร (What, Why, How) ปัญหาที่มักจะพบคือพื้นฐานทางความคิดที่ต่างกันระหว่างการทำงานของคน 2 รุ่นอายุ (Gap of Generation) ซึ่งรับมือด้วยการกล้านำเสนอสิ่งต่าง ๆ ในมุมมองของเราโดยมีความนอบน้อม และเคารพความคิดคนอื่น รวมถึงพยายามทำความเข้าใจเขาด้วย สิ่งหนึ่งที่ต้องจำคือเรามักคิดว่าคนอื่นไม่เปิดใจให้เรา ต้องฝึกด้วยว่าเป็นเราเองหรือเปล่าที่ไม่เปิดใจให้เขาด้วยเช่นกัน
มั่นใจ VS มั่นหน้า ทำยังไงให้เรามั่นใจ ให้คนไม่เกลียดเรา 1. วิเคราะห์และให้คะแนนตัวเองอย่างเป็นธรรม จุดเด่นจุดด้อยเรามีอะไรให้พัฒนาและแก้ไข 2. ทำใจให้สบาย ไม่ต้องกังวลจนเกินไป 3. นำเสนอสิ่งที่เรามั่นใจและเป็นจุดแข็งของเรา แต่ไม่ควรนำเสนอโดยทำลายโอกาสคนอื่น 4. ชั่งน้ำหนักระหว่างความจริง และการขัดความเชื่อคนอื่น ว่าบริบทไหนควรทำอะไร 5. เลือกสิ่งที่จะมั่นใจเพื่อจะนำเสนอ 6. เราไม่สามารถจูงใจคนทั้งโลกได้ แต่สามารถทำให้คนที่สำคัญกับเราเชื่อเท่านั้นพอ
How to deal with Bossy people รับมือกับคนบ้าอำนาจ (เจ้ากี้เจ้าการ) อย่างไร คนประเภทนี้มี 2 แบบ 1. Real bossy มีอำนาจจริง เช่น พ่อแม่ หัวหน้างาน ผู้บังคับบัญชา 2. Fake bossy เช่น คนชอบสั่งการทั้ง ๆ ที่เป็นตำแหน่งเดียวกัน หรือเป็นเพื่อนกัน วิธีรับมือ 1. เราต้องแยกให้ออกว่าคนที่มาเจ้ากี้เจ้าการกับเราเขามีสิทธิ์ในการจัดการหรือไม่ 2. ยับยั้งตัวเองไม่ให้ไปหาเรื่องคนเหล่านั้น 3. ทราบบทบาทตัวเองในสังคมนั้น ๆ เช่น เราอยู่ตรงจุดไหนขององค์กร ขึ้นตรงกับใคร 4. ชั่งน้ำหนักอิทธิพลของคน ๆ นั้น ว่าถ้าเราไม่ทำตามเขาจะมีผลอะไรบ้าง จากนั้นเก็บข้อมูล ทำความรู้จักเขาไว้ 5. หยุดเขาด้วยการไม่สนับสนุน (ปฏิเสธการสั่งการจากเขา) อย่างมีระบบ อย่างมีเหตุผล
Attachment Types 4 ประเภท 1. Secure ปลอดภัย กับการที่ได้รัก หรือถูกรัก 2. Anxious กังวล ว่าเราถูกรักหรือเปล่า (เป็นผู้ตาม) มักจะเป็นคนขี้หึง 3. Avoidance หลีกหนี (เป็นผู้ถูกตาม) ไม่ชอบให้ใครมาตามจิก 4. Fearful กังวล และปิดใจ (เป็นผลจากข้อ 2, 3) เราควรเข้าใจคนแต่ละแบบ และวิเคราะห์ได้ว่าเราเป็นแบบไหน แล้วเราจะเข้าใจสถานะของคนแต่ละแบบมากขึ้น สิ่งที่เราทำได้ถ้าไม่อยากวิ่งไล่ตามใคร 1. ต้องเริ่มจากมีความมั่นใจในตัวเอง (เรามีดีอะไรในตัว) เริ่มจากการดูแลสุขภาพตัวเอง รูปร่างหน้าตา การแต่งตัว เป็นต้น 2. รักสิ่งที่ตัวเองเป็น (ข้อดีต้องยิ่งทำให้ดี ข้อเสียต้องพัฒนาหรือแก้ไข) และให้อภัยตัวเอง ไม่พยายามหาข้ออ้างในข้อเสียของตัวเอง 3. มองเห็นจุดประสงค์ในการใช้ชีวิตของเรา (เรามีเป้าหมายอะไรในชีวิต)
1. รักแบบไม่คาดหวัง หรือคาดหวังให้น้อยเพราะการคาดหวังจะทำให้เราอาจจะทำลายความสัมพันธ์ที่เรามีต่อฝ่ายตรงข้ามได้ 2. ลดความพยายาม เพราะความพยายามจะมาพร้อมความคาดหวัง 3. ไม่พยายามนิยามความรักของตัวเอง เพราะแต่ละคนมีบรรทัดฐานที่ต่างกันในแต่ละเรื่อง การนิยามอาจตามมาด้วยความหวังด้วย ซึ่งทำให้เราผิดหวังได้ Love is a skill, you can’t get better at love by quitting
ไวรัสโคโรน่า เราจะเตรียมรับมืออย่างไรได้บ้าง ติดตามได้จาก Episode นี้ได้เลยครับ
ฝึกนำเสนอสิ่งที่งานทำอยู่ได้ทุกวัน หรือสิ่งที่เราสนใจ (ไม่จำเป็นต้องนำเสนอแค่ตัวเองอย่างเดียว) ให้จำไว้ว่าทุกครั้งที่เราเล่า เราจะจำได้มากขึ้นและเก่งขึ้นเสมอ หากเราต้องเจอบริบทที่ต้องคุยเพื่ออนาคต ให้ถามตัวเองว่าเรามีอะไรจะเสีย หากไม่มีก็สามารถเปิดการสนทนาได้เลย (ต้องเอาชนะความเขิน) ต้องเป็นฝ่ายรุก เช่น การดึงสิ่งที่น่าสนใจรอบ ๆ ตัวมานำเสนอต่อคนรอบข้างได้ เพราะมันอาจจะต่อยอดไปยังสิ่งอื่น ๆ ที่จะเป็นผลดีต่อเราได้อีก
1. ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับการเจอคนครั้งแรกและเข้าไปคุยด้วย ทางแก้คือ ให้นึกถึงบริบทที่จะสนทนาว่าการสนทนาครั้งนี้จะได้อะไรบ้าง หากพิจารณาแล้วว่าไม่คุ้มก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการสนทนา (เลี่ยง Small Talk เน้น Big Talk) 2. จริงใจกับตัวเอง จริงใจกับคู่สนทนา จริงใจกับความต้องการของบริบทของตัวเอง 3. ยึดอยู่กับบริบทที่ตัวเองต้องการตลอดเวลา
1. ดึงสิ่งที่เราสนใจ หรือเราเก่งนั้นมาเกี่ยวพันกับคนที่เราสื่อสารด้วยให้ได้ 2. การเลือกใช้คำในการสื่อสาร ต้องดึงดูด 3. ตั้งเป้าหมายในการแนะนำตัวเอง หรือนำเสนอ โดยทำทุกวัน รวมถึงฝึกฝนเพื่อแก้ไขและปรับปรุงตลอด ทั้ง 3 ข้อนี้ ให้นำเสนอตัวเองเพื่อให้คนฟังเกิด FOMO (Fear Of Missing Out - กลัวจะพลาดอะไรดี ๆ ไป)
เทคนิคแรกคือพูดช้า ๆ และอ้าปากกว้างกว่าปกติ และต้องลองใส่จริตหรือน้ำสเียงในการพูด โดยคิดว่าเหมือนเราร้องเพลง เราควรวอร์มกล้ามเนื้อหน้า ปาก ของเราด้วยการพูด ขยับเยอะ ๆ ตั้งแต่ตื่น แล้วก็เอาสิ่งที่เราจะต้องพูดในวันนั้น ๆ มาซ้อม ก็จะได้วอร์มกล้ามเนื้อ และสามารถจำเนื้อหาได้ และยิ่งไปกว่านั้นคือสามารถปรับแก้ไขข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า เพราะเราอ่านและพูด จึงได้เห็นข้อเสียแล้ว
อยากจะเริ่มพัฒนาตัวเองเพื่อรองรับโอกาสในอนาคต ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร 1. ใช้หลักคิดของ STOIC คือ ควรจะโฟกัสสิ่งที่เราควบคุมได้ และไม่โฟกัสสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ควบคุมวินัย แต่ไม่ต้องควบคุมปัจจัยภายนอกอย่างสภาพแวดล้อม คู่แข่ง เป็นต้น 2. ฝึกทบทวนความผิดพลาดในทุกครั้งที่เราทำงานใด ๆ ก็ตาม 3. ฝึกทักษะภาษา โดยฝึกทุกวัน วันละ 2 - 3 คำเท่านั้น ใน 1 ปีก็จะรู้ศัพท์เป็นพันคำเลย เพื่อนำไปต่อยอดในการอ่านข่าว อ่านหนังสือ 4. การพัฒนาทักษะงานที่ทำอยู่ หรืองานที่อยากจะทำ เช่น การศึกษาเทรนด์ใหม่ ๆ ของวงการที่เราอยู่
คนที่ทำอะไรหลายอย่าง แต่ไม่เก่งสุดทาง “เป็นเป็ด” ภาษาอังกฤษเรียกว่า Jack of all trade, but master of none ความสามารถหลักที่ควรมีของคนที่เป็นเป็ดคือ “ทักษะการเชื่อมโยง” เอาหลาย ๆ อย่างที่เราทำเป็นมารวมกันให้ได้ ความหลากหลายทางทักษะ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Versatility
ความสม่ำเสมอ คือหัวใจของความสำเร็จ จริงหรือ วันนี้พี่ฟ้าใสมีเทคนิคดีๆ สำหรับคนที่อยากเริ่มต้นฝึกเป็นคนที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อให้เข้าใกล้ความสำเร็จอีกหนึ่งก้าว แต่เทคนิคที่ว่าจะมีอะไรบ้าง ติดตามได้จาก Episode นี้เลย!
ผ่านไปแล้ว 1 เดือน สำหรับปี 2020 จากที่เคยตั้งเป้าหมายไว้ตอนต้นปี ตอนนี้คุณพัฒนาะไรไปแล้วบ้าง ผมเองตั้งเป้าหมายไว้ตอนแรกคือ ทำงานต่อเนื่อง 16 ชั่วโมงโดยไม่นอนหรือไม่พักระหว่างวัน 1 เดือนที่ผ่านมานี้มีพักไปไม่กี่ครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นดีมาก รู้่สึกสดชื่นมากขึ้น ตั้ง challenge ให้ตัวเองไว้ว่าสัปดาห์ที่ไปญี่ปุ่นจะต้องทำงานอะไรเสร็จบ้าง แล้วก็ทำ time boxing โดยมีการทำงาน 3 - 4 ชั่วโมงต่อวัน และสิ่งที่ได้กลับมาคือไอเดียที่คิดว่าสามารถทำงานระหว่างอยู่บนเครื่องบินได้ และเริ่มทำการเซ็ทตารางของชีวิตในระดับนาที เจาะลึกแต่ละวัน พี่ฟ้าใสทำอะไรบ้าง สิ่งแรกที่ทำหลังตื่น (ตื่นเวลา 6.00 - 6.30) ดื่มน้ำ 500 มิลลิลิตร ร่างกายจะได้รับน้ำทำให้สดชื่นได้ตลอดทั้งวัน จากนั้นเป็นการเกร็งกล้ามเนื้อ และเตรียมตัวไปออกกำลังกาย (กินคาเฟอีนอัดเม็ด) ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย (อาบน้ำเย็น) พูดกับตัวเองว่าวันนี้จะต้องได้อะไรและสร้าง commitment ที่หน้ากระจก ซึ่งจะเป็นการพูดภาษาอังกฤษเพื่อเป็นการฝึกการพูดและฝึกทักษะภาษาไปในตัว ขั้นต่อมาคืออ่านหนังสือเล่มที่ตั้งใจไว้ แบบจับใจความหรือสรุปเนื้อหาสำคัญ กินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ พี่ฟ้าเน้นไปที่โปรตีน จากนั้นก็ไปออกกำลังกาย หรือไปทำงาน สิ่งที่เปลี่ยนไปของพี่ฟ้าคือจะกินข้าวหลังออกกำลังกายเท่านั้น และเน้นโปรตีนสูงมาก (ข้อดีคือทำให้อิ่มและไม่อยากกินขนม และไม่ง่วงนอนง่าย) ระหว่างวันก็คือทำงานและไม่ลืมดื่มน้ำตลอดทั้งวันเพื่อให้ร่างกายคงความสดชื่นอยู่เสมอ
1. เริ่มจากการฝึกร่างกายให้มีสมาธิ หรือจดจ่อกับอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยส่วนมากการมีสมาธิสั้น จะเป็นกาเสพติดสาร Dopamine ในร่างกาย เช่น การเช็คแชทในไลน์ หรือเมื่อเมล์ใหม่เข้ามาแล้วรีบกดดูทันที เพราะร่างกายคุ้นชินกับการค้นหาของใหม่ เพื่อให้ร่างกายได้รับ Dopamine แก้ไขโดยการ ทุกครั้งที่จะเปิดมือถือ หรือเช็คเมล์ใหม่ ๆ ให้รู้ตัวก่อนว่าเรากำลังจะทำอะไร และดึงตัวเองกลับมายังงานที่เราทำอยู่ อีกวิธีคือการใช้ Time Boxing ในการจัดการงานในแต่ละวัน จะได้รู้ว่าเวลานี้ควรทำอะไรบ้าง ไม่ควรทำอะไรบ้าง เพื่อให้เกิดนิสัยการหักห้ามใจ 2. ทำให้ตัวเองอยู่ใน Flow stage ในการทำงาน โดยการเตรียมตัวล่วงหน้า คือการเตรียมสภาพแวดล้อมในการทำงานให้พร้อมสำหรับการจดจ่อ เช่น ปิดเสียงเตือนอีเมล์ ปิดเสียงโทรศัพท์ ถ้ามีเรื่องด่วนให้เลือกช่องทางใดช่องทางหนึ่งไว้ติดต่อ และเลือกเวลาที่เราว่าง (จาก time boxing) เพื่อทำการเช็คอีเมล์ หรือ notification อื่น ๆ และเมื่อเราสามารถทำงานเสร็จ ร่างกายก็จะมีความยินดีที่ทำงานได้เสร็จ และหลั่งสาร Dopamine ออกมาเช่นกัน
1. ต้องมีร่างกายที่แข็งแรงจากการออกกำลังกาย เพื่อให้ทำงานได้นาน ๆ โดยไม่ปวดเมื่อย หรือไม่เหนื่อยง่าย เริ่มจากการทำคาร์ดิโอ เพื่อให้ปอด หัวใจแข็งแรงมากขึ้น 2. บริหารเวลาการทำงาน ด้วยการจัดลำดับความสำคัญของงานเสมอ อะไรที่เป็นงานที่สำคัญมากและมีผลโดยรวมต่อเราหรือองค์กรก่อน 3. การทำงานด้วยสภาวะ Flow stage (สมองลื่น) บางคนเป็นช่วงเช้า บางคนช่วงบ่าย ลองทบทวนดูว่าตัวเองสมองลื่นตอนช่วงไหน แล้วเอาไว้คิดงานในช่วงนั้น 4. อย่าให้มีอะไรมารบกวนเราในช่วงเวลาสมองลื่น
ความเห็นแก่ตัว ถ้าเรารู้สึกว่าเราเห็นแก่ตัว ควรจะแก้ไขยังไงดี มนุษย์เรานั้นลึกๆ แล้วล้วนเห็นแก่ตัว แต่เพราะเป็นการที่เห็นแก่ตัวนั้น ทำให้เราวิวัฒนาการมาได้ ทั้งนี้ เราจำเป็นต้องทำให้ตัวเองรอดก่อน ถึงจะสามารถช่วยคนอื่นได้ (โดยเริ่มจากช่วยครอบครัวเรา แล้วถึงเป็นคนอื่น) นอกจากนั้นเรายังมีความเห็นแก่ตัวแบบ collective selfishness เช่น ชาตินิยม ถิ่นนิยม อยากให้คิดว่าสิ่งที่เราต้องพัฒนาตัวเอง สำคัญต่อตัวเราเองอย่างไร และสำคัญต่อครอบครัวเราอย่างไร อยากให้เน้นเรื่องการพัฒนาตัวเอง เพื่อให้สามารถดูแลตัวเองได้ หลังจากนั้นเราจึงสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้
ตอบคำถามนี้ให้ได้ - ตั้งแต่ตื่น เราทำชีวิตให้คุ้มค่า แบ่งเวลาทำงาน ดูแลร่างกาย ของตัวเองให้เหมาะสมกับการจะมีเงินเดือนสูง ๆ แล้วหรือยัง - มีการลงทุน (ไม่ว่าจะด้านความรู้ เงินทอง การพัฒนาตัวเอง) มากแค่ไหน และมีเป้าหมายกับมันหรือไม่ ความรู้มีทั้งแบบ Nice To Know ไม่ต้องรู้ก็ได้ตอนนี้ กับ Need To Know ต้องรู้เพื่อพัฒนาตัวเองตอนนี้เลย เช่น หัวข้อที่เกี่ยวกับวิชาชีพโดยตรง และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงาน ณ ปัจจุบัน เน้นการบริหารเวลาให้ตรงกับเป้าหมายของตัวเอง อยากไปเที่ยวก็ไปได้ แต่ต้องไปเพื่อตักตวงประสบการณ์เพื่อพัฒนาตัวเอง แนะนำให้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการบริหารเวลา เช่น หนังสือเรื่อง กินกบตัวนั้นซะ เป็นต้น
คำหนึ่งที่อยากให้จำไว้คือ “อย่าใช้ชีวิตมั่วซั่ว” ตั้งเป้าหมายของชีวิตและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด เช่น ถ้าเป็นวัยรุ่น ลองตั้งเป้าหมายว่าจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง เริ่มจากการหาเงินและตั้งเป้าหมายว่าจะเลิกขอเงินพ่อแม่ใชัเมื่ออายุเท่าไหร่ ทั้งนี้ต้องไม่ทิ้งการเรียนด้วย การจะทำแบบนี้ เราต้องแลกด้วยการเสียสละเวลาเที่ยว และเวลาสังสรรค์ลง
คำหนึ่งที่อยากให้จำไว้คือ “อย่าใช้ชีวิตมั่วซั่ว” ตั้งเป้าหมายของชีวิตและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด เช่น ถ้าเป็นวัยรุ่น ลองตั้งเป้าหมายว่าจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง เริ่มจากการหาเงินและตั้งเป้าหมายว่าจะเลิกขอเงินพ่อแม่ใชัเมื่ออายุเท่าไหร่ ทั้งนี้ต้องไม่ทิ้งการเรียนด้วย การจะทำแบบนี้ เราต้องแลกด้วยการเสียสละเวลาเที่ยว และเวลาสังสรรค์ลง
ถ้าเราเป็นวัยรุ่นและทำงานอยู่ สิ่งที่เราต้องเลือกระหว่างไปเที่ยวเพื่อให้รางวัลตัวเอง กับเก็บเงิน ควรเลือกอะไรดี ให้เลือกระหว่างความรู้สึก หรือคุณค่าต่อสิ่งนั้น ๆ โดยให้เป็นคะแนน เช่น ให้คะแนนความอยากมีเงินเยอะ ๆ 10 เต็ม 10 และให้คะแนนความอยากไปเที่ยว 7 เต็ม 10 ก็จะสามารถตอบได้ว่าเราควรเลือกอะไร แต่หลาย ๆ คนจะมีอาการ FOMO (Fear Of Missing Out - กลัวพลาดอะไรไป แล้วจะมานั่งเสียดายทีหลัง) ซึ่งอาการนี้จะทำให้เราซื้อ เที่ยว หรือใช้เงินโดยไม่จำเป็น เพราะเรากลัวต้องมาเสียดาย ให้ชั่งน้ำหนักเสมอระหว่าง 2 ข้อนี้ว่าถ้าเราทำสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งจะทำให้เราเป็นทุกข์ในอนาคตมากน้อยแค่ไหน พี่ฟ้าแนะนำให้ไปเที่ยว แต่ต้องไปแล้วได้เรียนรู้เพื่อที่จะพัฒนาตัวเองได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ Hard skill แต่นับรวมถึง Soft skill ด้วย แม้ระหว่างการเดินทางคือการอ่านหนังสือ เขียนไดอารี่ ทำงานในระหว่างการเดินทาง เป็นต้น
Ask Fassai EP.70 เป้าหมายที่ดี ต้องใหญ่แค่ไหน เท่าไหร่ถึงพอดีกับตัวเรา by Overcome Podcast